Skip to content

I Shall Seal The Heaven Chapter 959

ตอนที่ 959

ตะเกียง!

ภาพที่แสดงอยู่ตรงหน้าของฟางเต้าหงและฟางหลินเหอ ทำให้พวกมันต้องสั่นสะท้านอยู่ภายในใจ พวกมันติดตามไปทางด้านหลังในทันที จ้องมองไปยังนักรบศิลาซึ่งเป็นรูปปั้นที่อยู่ข้างกายเมิ่งฮ่าว ฟางเต้าหงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ในขณะที่ฟางหลินเหอต้องประหลาดใจไปโดยสิ้นเชิง

สูงขึ้นไปในกลางอากาศ ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดมองไปยังเมิ่งฮ่าวอย่างใกล้ชิด สีหน้ามันเริ่มเคร่งเครียดมากขึ้นไปเรื่อยๆ ในตอนนี้ จากทุกสิ่งทุกอย่างที่เมิ่งฮ่าวได้กระทำมาตลอดทั้งเส้นทาง และความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนทั้งหมดของเขา ตราบเท่าที่เขาไม่ได้เสียชีวิตไป ก็แน่ใจได้ว่าเขาต้องเป็นคนที่ทำให้ขุนเขาทะเลที่เก้าต้องสั่นสะเทือนขึ้นสักวันหนึ่ง

“ในอนาคต มันจะเป็นเสาหลักของตระกูลฟาง!”

ในเวลาเดียวกันนั้น ฝานตงเอ๋อร์ยังคงอยู่ในท่ามกลางทัณฑ์เซียนของนาง กำลังโจมตีไปยังประตูเซียนของนาง ในคฤหาสน์โบราณตระกูลฟาง ฟางซิ่วซานกำลังจ้องมองไปยังก้อนผลึกด้วยใบหน้าที่ซีดขาว คอยเฝ้าสังเกตดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในห้องโถงที่เก็บแผ่นหยกชีวิต

คนแล้วคนเล่า ในเวลาชั่วธูปไหม้หมดไปเพียงแค่ครึ่งดอกเท่านั้น แผ่นหยกชีวิตที่เป็นของสองผู้อาวุโสอาณาจักรโบราณก็เกิดเป็นเสียงแตกร้าวขึ้น และจากนั้นก็แตกกระจายออกเป็นชิ้นๆ…

แผ่นหยกชิ้นอื่นที่มันกำลังเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลา ยังคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป

“เป็นไปไม่ได้…การตายไปของสองคนก่อนหน้านี้ อาจจะเกิดจากอันตรายที่อยู่ในดินแดนบรรพบุรุษ แต่…แต่ผ่านไปแล้วหนึ่งเดือนเต็ม ฟางฮ่าวก็ยังคงมีชีวิตอยู่ และผู้อาวุโสอาณาจักรโบราณก็ได้ตายไปอีกสองคน!”

“กำลังเกิดอะไรขึ้นในดินแดนบรรพบุรุษ? เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไรกัน? กำลังเกิดอะไรขึ้น!?!?” ดวงตาฟางซิ่วซานกลายเป็นสีแดงก่ำไปโดยสิ้นเชิง และเส้นผมของมันก็ยุ่งเหยิงเป็นกระเซิง นั่งตัวสั่นสะท้านอยู่ที่นั่น มันได้ย้ายออกจากที่พักของตัวเองมาอยู่ที่ห้องลับนานแล้ว

ห้องลับนี้อยู่ใกล้กับบุตรชายของมัน, ฟางเว่ย ซึ่งกำลังอยู่ในท่ามกลางการเข้าฌาณตามลำพัง ในตอนนี้ฟางซิ่วซานไม่กล้าจะย่างเท้าออกไปที่ด้านนอก ตอนนี้มันไม่มีทางจะแก้ไขสถานการณ์ใดๆ ได้ ดังนั้นมันจึงต้องหลบซ่อนตัวเองอยู่ในที่แห่งนี้อย่างไร้ทางเลือก

“ตราบเท่าที่เว่ยเอ๋อร์กลายเป็นเซียนแท้ ผู้เฒ่าสูงสุดก็จะจัดการทุกอย่างตามกฎของตระกูลเอง ตระกูลเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุด ดังนั้นผู้เฒ่าสูงสุดจะไม่ทำให้ข้าต้องยุ่งยากใจ รวมทั้งข้ายังมีบิดาที่คอยช่วยจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ ในที่สุดเรื่องนี้ก็จะผ่านไป”

“ฟางฮ่าว เจ้าต้องตาย! ถ้าเจ้าไม่ตายอยู่ในดินแดนบรรพบุรุษ เจ้าก็ต้องตายด้วยมือของเว่ยเอ๋อร์!” สีหน้าฟางซิ่วซานบิดเบี้ยวไปมาและกัดฟันแน่น เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้มันรู้สึกตกใจและกระวนกระวายมากขึ้น แต่มันก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมผู้อาวุโสอาณาจักรโบราณทั้งเก้าคนที่มันได้จ้างมา ถึงไม่อาจจะสังหารฟางฮ่าวเพียงคนเดียวได้ อันที่จริงในช่วงหนึ่งเดือนมานี้ สี่คนในพวกมันได้ตายไปแล้วในตอนนี้ ในขณะที่ฟางฮ่าวยังคงมีชีวิตอยู่

สิ่งที่เกิดขึ้นในที่แห่งนั้น อาจจะทำให้เกิดเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น? นี่คือสิ่งที่ทำให้มันรู้สึกสับสนมากเป็นอย่างยิ่งอยู่ในตอนนี้

ในขณะที่ฟางซิ่วซานนั่งครุ่นคิดอยู่ที่นั่น ผู้เฒ่าสูงสุดอยู่ในคฤหาสน์โบราณตระกูลฟางอีกแห่งหนึ่ง มันกำลังมีโทสะ ใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นด้วยความกราดเกรี้ยว ยังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้องโถงที่เก็บแผ่นหยกชีวิต แน่นอนว่ามันตระหนักดีว่าทำไมผู้อาวุโสทั้งหมดถึงได้ตกตายไป

ดวงตามันสาดประกายอันเย็นเยียบขึ้น เมื่อร้องเรียกฟางซิ่วซาน แต่ก็ได้รับคำตอบมาแค่ว่า ฟางซิ่วซานอยู่ในช่วงการเข้าฌาณตามลำพังใกล้กับฟางเว่ย ทำให้ผู้เฒ่าสูงสุดต้องลังเลอยู่ชั่วขณะ

ในช่วงเวลานี้ การบรรลุกลายเป็นเซียนของฟางเว่ย เป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุดของตระกูล เรื่องอื่นๆ ทั้งหมดสำคัญรองลงมา

“ฟางเว่ย ฟางฮ่าว…มาดูกันว่าพวกเจ้าทั้งสอง…ใครจะเป็นผู้ถูกเลือกที่แท้จริง” หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ผู้เฒ่าสูงสุดก็โบกสะบัดชายแขนเสื้อและจากไป

ย้อนกลับไปในดินแดนบรรพบุรุษ เมิ่งฮ่าวเดินต่อไป รอยแตกปิดลงในทุกที่ที่เขาเดินผ่านไป จนกระทั่งบรรลุถึงจุดสิ้นสุดของพื้นหลุมฝังศพโบราณ หลังจากที่เดินผ่านอาณาเขตรอยแตกหนึ่งแสนแห่งมาแล้ว ในตอนนี้เขาถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกที่แน่นหนา

กลุ่มหมอกไม่เพียงแต่มีอยู่ในสถานที่แห่งนี้เท่านั้น แต่ทั่วทั้งดินแดนบรรพบุรุษต่างก็เต็มไปด้วยกลุ่มหมอก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนโดยสิ้นเชิง แม้แต่ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดก็ยังต้องตกตะลึง

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่ชายขอบของพื้นหลุมฝังศพโบราณ มองออกไปยังกลุ่มหมอกที่แน่นหนาตรงเบื้องหน้าขึ้นไป เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มหมอกที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงกับเขาในตอนนี้แล้ว กลุ่มหมอกที่เบื้องหน้าดูเหมือนจะไร้ขอบเขต ราวกับว่าพวกมันกำลังปกคลุมไปทั่วทุกสรรพสิ่ง แม้แต่สวรรค์ก็ตามที

ทุกสิ่งทุกอย่างถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกอันยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต

ที่ด้านข้างเป็นแท่นศิลาตัวอักษรขนาดใหญ่อีกหนึ่งแท่น ถูกเขียนไว้ด้วยตัวอักษรสี่ตัว…

อุโมงค์หมอกสวรรค์!

ที่ด้านล่างของสี่ตัวอักษรนั้นเป็นแถวของตัวอักษร แต่ละแถวเป็นรายนามของบุคคล ด้านข้างของแต่ละรายนามนั้นเป็นตัวเลข

นามแรกคือ ฟางโส่วเต้า และที่ด้านข้างเป็นตัวเลข 39

มีทั้งหมดสิบเก้ารายนาม และนามสุดท้ายมีเลข 1 อยู่ที่ด้านข้าง

แต่ละนามกระจายความรู้สึกที่เก่าแก่โบราณออกมา ราวกับว่าพวกมันได้คงอยู่บนแท่นศิลานี้มานานหลายปีมากแล้ว เมื่อเมิ่งฮ่าวอ่านไปถึงรายนามที่เก้า ดวงตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ

เป็นนามของ ฟางตานอวิ๋น!

ท่านคือผู้เฒ่าโอสถคนปัจจุบันนี้ของแผนกเต๋าแห่งการปรุงยา!

ฟางเต้าหงยืนอยู่ที่ด้านข้างเมิ่งฮ่าว ให้คำอธิบายเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้ด้วยเสียงแผ่วเบา “ไม่มีเส้นทางที่จะไปถึงอุโมงค์หมอกสวรรค์”

“นี่คือส่วนสุดท้ายของดินแดนบรรพบุรุษ…สุสานของปรมาจารย์รุ่นแรกตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งตรงด้านใน ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรู้สถานที่แน่ชัดนั้นก็ตามที”

“จากตอนที่มันถูกสร้างขึ้นมา สถานที่แห่งนี้คือจุดสิ้นสุดสำหรับกลุ่มคนในตระกูลที่มายังที่นี่ จากข่าวลือที่บอกเล่าต่อๆ กันมา ไม่มีใครเคยพบเห็นสุสานภายในกลุ่มหมอก เหตุผลสำหรับเรื่องนี้ก็แน่นอนว่า ไม่มีเส้นทางให้เดินเข้าไปตรงด้านใน”

“จากสมัยโบราณมาจวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ มีเพียงผู้อาวุโสของตระกูลสิบเก้าคนเท่านั้นที่เคยเข้าไปในอุโมงค์หมอกสวรรค์ และตัวเลขที่อยู่ข้างรายนามเหล่านั้นคือจำนวนก้าวที่พวกท่านเคยเดินเข้าไปด้านใน”

ดวงตาเมิ่งฮ่าวจ้องนิ่งไปยังแท่นศิลาด้วยจิตใจที่จดจ่อ

“ไม่มีใครสามารถก้าวเข้าไปในเขตสุสาน?” เขาถามขึ้น ขณะที่มองไปยังรายนามและตัวเลขบนแท่นศิลา เขาส่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในกลุ่มหมอก ทันทีที่มันผ่านเข้าไป ก็ต้องพบกับพลังต่อต้านอันเข้มข้น และถูกขับไล่ออกมา กลุ่มหมอกนี้ดูเหมือนจะเป็นป้อมปราการที่ไม่อาจจะฝ่าเข้าไปได้ มันไม่ยอมปล่อยให้สิ่งใดๆ ผ่านเข้าไปเลยแม้แต่น้อย

“กงจื่อ” ฟางเต้าหงรีบกล่าวขึ้น “ท่านไม่ควรจะลองเข้าไป…สถานที่แห่งนี้คนที่อยู่ต่ำกว่าอาณาจักรเซียนไม่อาจจะเข้าไปได้ แม้แต่ผู้พิทักษ์เต๋าก็ไม่อาจจะเข้าไปได้”

“ถ้าท่านจะเข้าไปในอุโมงค์หมอกสวรรค์ ท่านต้องมีสองเงื่อนไขนี้ ข้อแรกพื้นฐานฝึกตนของท่านต้องอยู่ในอาณาจักรโบราณหรือสูงกว่านั้น ดังนั้นท่านจึงสามารถใช้ตะเกียงวิญญาณเพื่อส่องทาง ข้อสองท่านต้องมีร่างจริง”

เมิ่งฮ่าวไม่กล่าวตอบ เขาส่งเจตจำนงศักดิ์สิทธิ์บางส่วนเข้าไปในนักรบศิลา และส่งให้มันพุ่งตรงไปยังกลุ่มหมอก แต่ในทันทีที่มันแตะสัมผัสไปโดนชายขอบของกลุ่มหมอก พลังเดียวกันนั้นก็ผลักดันกลับมา ทำให้นักรบศิลาไม่อาจจะเคลื่อนที่ตรงไปได้ เมื่อเขาพยายามบังคับให้มันกระทำต่อไป แรงกดดันอันน่ากลัวก็ระเบิดออกมาจากภายในกลุ่มหมอก

จิตใจเมิ่งฮ่าวสั่นสะท้าน และเขาก็เรียกนักรบศิลาให้กลับมาในทันที

“กงจื่อ ท่าน…ท่าน พื้นฐานฝึกตนของท่านยังไม่ได้อยู่ในอาณาจักรโบราณ และท่านก็ยังไม่มีตะเกียงวิญญาณ ท่านไม่อาจจะเข้าไปได้” ฟางเต้าหงมองไปยังเมิ่งฮ่าว และก้าวเท้าตรงไปยังกลุ่มหมอก

ขณะที่มันทำเช่นนั้น ก็สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และตะเกียงวิญญาณทั้งเก้าดวงก็ปรากฏขึ้นอยู่รอบๆ ตัวมัน ขณะที่พวกมันหมุนวนไปรอบๆ ตัว ก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้าด้วยกัน เมื่อพวกมันรวมกันเป็นตะเกียงดวงเดียวแล้ว ก็ลอยตรงไปเพื่อทำการเชื่อมต่อกับกลุ่มหมอก ทันทีที่ตะเกียงสัมผัสโดนกลุ่มหมอก มันก็จมลงไปเพียงแค่ครึ่งชุ่นเท่านั้น

“กงจื่อท่านดู” ฟางเต้าหงกล่าวขึ้น ถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา และก้าวถอยไปยืนอยู่ที่ด้านข้างเมิ่งฮ่าว “นี่คือขีดจำกัดของข้า เพียงแค่ครึ่งชุ่นเท่านั้น ถ้าท่านมีตะเกียงวิญญาณที่ทรงพลัง ก็สามารถจะต่อต้านกลุ่มหมอกและเข้าไปได้ไกลกว่านี้”

เมิ่งฮ่าวขมวดคิ้ว เขาได้ฟันฝ่ามาตลอดเส้นทางจนกระทั่งถึงจุดนี้ เขาไม่ต้องการจะถอนตัวจากไป ถ้านี่คือสุสานของปรมาจารย์รุ่นแรก นั่นก็หมายความว่าเวทแห่งเต๋าที่แข็งแกร่งมากที่สุดของตระกูลฟาง หนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาว จะต้องอยู่ที่ด้านใน

คล้ายกับว่ากำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าของภูเขาสมบัติ แต่ก็ไม่อาจจะเอื้อมมือไปไขว่คว้ามันไว้ได้ สำหรับเมิ่งฮ่าวแล้วนี่เป็นความรู้สึกที่สุดจะทนได้

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ใช่คนที่ถูกเกลี้ยกล่อมได้อย่างง่ายดาย ด้วยสิ่งที่อาจจะเป็นข้อมูลที่ผิดพลาด เขาก้าวเท้าตรงไป และขณะที่ยืนอยู่ที่นั่นตรงเบื้องหน้ากลุ่มหมอก ก็ยื่นมือขวาผลักออกไปที่ข้างหน้า ทันใดนั้นพลังอันแข็งแกร่งก็ผลักดันกลับมา ราวกับว่ามีเกราะป้องกันที่มองไม่เห็น ไม่ยอมให้เขาผลักมือเข้าไปแม้แต่น้อยนิด

เมิ่งฮ่าวพยายามผลักมือออกไปอีกสองสามครั้งก่อนที่จะถอนหายใจยอมแพ้ เมื่อเขากำลังจะหดมือกลับไป แต่ทันใดนั้นดวงตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้น เมื่อจู่ๆ ก็รับรู้ได้ว่าชีพจรเซียนกำลังเต้นรัวขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แทบจะราวกับว่ามันกำลังมีปฏิกิริยากับบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในกลุ่มหมอก เป็นบางสิ่งที่กำลังดึงดูดชีพจรเซียนของเขา

เมิ่งฮ่าวเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน มันเป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่ชีพจรเซียนเริ่มตกผลึกจนแข็งตัวขึ้น เมื่อได้กลืนกินพลังงานเป็นจำนวนมากจากแท่นศิลาตัวอักษร ในช่วงการแข่งขันของสามกลุ่มเต๋าอันยิ่งใหญ่

เมิ่งฮ่าวเริ่มหอบหายใจออกมา และดวงตาก็สาดประกายเจิดจ้าขึ้น เขามีลางสังหรณ์อันเข้มข้นว่าสามารถจะผ่านเข้าไปในอุโมงค์หมอกสวรรค์นี้ได้ จากนั้นบางที…เขาอาจจะทะลวงผ่านกลายเป็นเซียนแท้ที่นี่ในดินแดนบรรพบุรุษแห่งนี้!

ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็เริ่มพยายามอยู่หลายวิธีเพื่อให้สำเร็จ หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับว่า…มันเป็นสถานที่ที่เขาไม่อาจจะผ่านเข้าไปได้อย่างแท้จริง

“กงจื่อ” ฟางเต้าหงกล่าวขึ้น “ไม่จำเป็นต้องพยายามต่อไป พวกเรายังมีเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนที่ดินแดนบรรพบุรุษจะเปิดออกอีกครั้ง ยังมีสถานที่แห่งอื่นพร้อมกับโชควาสนารออยู่ เป็นสถานที่ที่ท่านสามารถจะเข้าไปอย่างง่ายดายพร้อมกับผู้พิทักษ์เต๋า สำหรับสถานที่แห่งนี้…ถ้าไม่มีตะเกียงวิญญาณ ท่านก็คงต้องปล่อยมันไป”

เมิ่งฮ่าวยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ

สูงขึ้นไปในกลางอากาศ ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดกำลังให้ความสนใจต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้อย่างใกล้ชิด มันมองไปยังเมิ่งฮ่าวที่กำลังพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา และดวงตามันก็แวบขึ้นด้วยความผิดหวัง

“ข้าคงคาดหวังสูงมากเกินไป” มันคิดพร้อมกับส่ายหน้า “อุโมงค์หมอกสวรรค์ต้องใช้ตะเกียงวิญญาณของอาณาจักรโบราณ นั่นเป็นสิ่งที่ผู้พิทักษ์เต๋าไม่อาจจะช่วยได้ ยิ่งตะเกียงวิญญาณทรงพลังมากเท่าใด ก็จะยิ่งเข้าไปในอุโมงค์หมอกสวรรค์ได้ไกลมากเท่านั้น อย่างไรก็ตามแม้แต่พี่ใหญ่ซึ่งเป็นปรมาจารย์ปฐพี ก็ยังเข้าไปได้ไม่เกิน 39 ก้าวเท่านั้น”

ทันใดนั้นเมิ่งฮ่าวก็มองขึ้นไปยังอุโมงค์หมอกสวรรค์ และดวงตาก็เริ่มสาดประกายขึ้นด้วยแสงแห่งความอยากรู้อยากเห็น

“จำเป็นต้องมีตะเกียงวิญญาณ…ตะเกียงวิญญาณช่วยนำทาง…ตะเกียง…ข้ามีตะเกียง!” เมิ่งฮ่าวเริ่มหอบหายใจออกมา ขณะที่มองกลับไปยังตะเกียงวิญญาณที่กำลังหมุนวนอยู่รอบๆ ร่างฟางเต้าหง เมื่อครู่นี้ความคิดที่บ้าบอได้ก่อตัวขึ้นมาในจิตใจเขา

มันเป็นความคิดที่ไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง และเกี่ยวข้องกับสิ่งของที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีความสัมพันธ์กับตะเกียงวิญญาณของผู้ฝึกตนแห่งอาณาจักรโบราณ

แม้แต่ในตอนนี้ มันก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้โดยสิ้นเชิง

แต่ในที่สุด ก็มาถึงจุดที่เมิ่งฮ่าวไม่อาจจะระงับใจได้อีกต่อไป เขาก็แค่ลองพยายามดูเท่านั้น ดังนั้นพร้อมกับดวงตาที่สาดประกายขึ้น เขาตบไปที่ถุงสมบัติ…ทำให้ตะเกียงสัมฤทธิ์ลอยออกมาในทันที!

ตะเกียงสัมฤทธิ์นี้ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเป็นตะเกียงที่เขาได้มาจากห้องโถงในซากปรักหักพังของวิหารพิธีเต๋าเซียนโบราณ เป็นของวิเศษเดียวกับที่ช่วยให้เขาได้ครอบครองชีพจรเซียน และในตอนนี้มันได้ประกอบไปด้วยเปลวไฟจากแก่นแท้แห่งเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์

เมิ่งฮ่าวถือตะเกียงอยู่ในมือ สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และจากนั้นก็เดินตรงไปยังกำแพงของกลุ่มหมอกที่เบื้องหน้าอย่างช้าๆ เมื่อฟางเต้าหงและฟางหลินเหอมองเห็นตะเกียงสัมฤทธิ์ พวกมันก็ต้องอ้าปากค้างขึ้นด้วยความตกตะลึง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าเมิ่งฮ่าวได้กุมชะตาชีวิตของพวกมันไว้แล้วละก็ พวกมันก็คงไม่อาจจะยับยั้งไม่ให้หัวเราะออกมาด้วยความบ้าบอของเมิ่งฮ่าวได้

อย่างไรก็ตาม สีหน้าของพวกมันก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ และเริ่มสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างที่ไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้

ขณะที่เมิ่งฮ่าวเข้าไปใกล้กลุ่มหมอก เสียงกระหึ่มกึกก้องทันใดนั้นก็เต็มอยู่ในอากาศ สีสันแปลกๆ ได้แวบขึ้นไปขณะที่ทุกสรรพสิ่งสั่นสะเทือน กลุ่มหมอกเริ่มแยกตัวออกไป พลุ่งพล่านปั่นป่วนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน กลุ่มหมอกทั้งหมดที่ด้านในของดินแดนบรรพบุรุษ ดูเหมือนจะเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมา และฉับพลันนั้นกลุ่มหมอกก็เริ่มพุ่งออกมาจากทุกซอกมุมมากยิ่งขึ้น ทำให้ดินแดนบรรพบุรุษดูคล้ายกับเป็นอุโมงค์หมอกสวรรค์ไปทั้งหมด

กลุ่มหมอกกำลังสั่นสะท้าน แทบจะราวกับว่าพวกมันตกอยู่ในความหวาดกลัว!

ตะเกียงสัมฤทธิ์ของเมิ่งฮ่าวดูเหมือนจะทำให้ทั่วทั้งดินแดนบรรพบุรุษต้องตกอยู่ในความหวาดกลัว และกลุ่มหมอกก็แทบจะหมอบกราบลงไปด้วยความเทิดทูน!

สำหรับกลุ่มหมอกที่อยู่เบื้องหน้าเมิ่งฮ่าว ทันทีที่ตะเกียงสัมฤทธิ์เข้าไปใกล้ พวกมันก็ดูเหมือนจะแยกส่วนออกไปด้วยพลังที่สะกดข่ม ไม่ว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นของใครมาก่อน หรือใครเคยอาศัยอยู่ที่นี่ ณ ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังยอมจำนนต่อตะเกียงสัมฤทธิ์นี้

ท่ามกลางเสียงกระหึ่มกึกก้อง กลุ่มหมอกได้แยกตัวออกไป…กลายเป็นเส้นทางอยู่ตรงกลาง!

เป็นเส้นทางที่…ทอดยาวตรงไปยังเบื้องหน้า!!

เป็นเส้นทางขนาดใหญ่ ที่ตรงจุดสิ้นสุดเป็น…วิหารสีดำสนิท ซึ่งมีขนาดใหญ่โตอย่างน่าตกใจ!!

ภาพที่เห็นนี้ทำให้จิตใจของฟางเต้าหงและฟางหลินเหอต้องหมุนคว้าง และเต็มไปด้วยคลื่นแห่งความตกตะลึง พวกมันสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างที่ไม่อาจจะพูดออกมาได้ ถึงแม้จะรู้ว่าเมิ่งฮ่าวสามารถควบคุมผู้พิทักษ์เต๋าได้ ก็ไม่ได้ทำให้โลกของพวกมันต้องพลิกกลับตาลปัตร เท่ากับการที่ได้เห็นภาพที่กำลังแสดงออกมาอยู่ที่เบื้องหน้าพวกมันในตอนนี้!

ปรมาจารย์รุ่นเจ็ดกำลังจะหันหลังและจากไป

“เป็นไปไม่ได้!!” มันกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน

มันเริ่มสั่นไปทั้งร่าง และจิตใจก็เต็มไปด้วยเสียงกระหึ่ม แทบจะตกลงมาจากท้องฟ้าด้วยความตกใจ แม้แต่พื้นฐานฝึกตนของมันในตอนนี้ก็ค่อนข้างจะไม่เสถียรมั่นคง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version