ตอนที่ 961
วิหารโลกันต์
เหนือท้องทะเลที่เก้า ประตูเซียนเปิดออก และแสงเซียนอันไร้ขอบเขตได้กระจายออกมา อาบไล้ไปทั่วร่างฝานตงเอ๋อร์โดยสิ้นเชิง ในเวลาเดียวกันนั้นปราณเซียนจำนวนมากมายมหาศาล ก็ได้ระเบิดออกมาจากประตูและไหลซึมเข้าไปในร่างนาง
เมื่อประตูเซียนเปิดออก ก็เป็นเช่นเดียวกับปราณเซียน ซึ่งมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน ดังนั้นจำนวนของชีพจรเซียนที่จะถูกเปิดออกนั้นก็ขึ้นกับตัวแปรที่แตกต่างกันด้วยเช่นกัน
ยกตัวอย่างเช่นตานกุ่ย ในตอนที่กลายเป็นเซียนแท้ของท่าน ไม่ได้มาพร้อมกับการปรากฏขึ้นของชีพจรเซียนแต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะว่าท่านได้กลายเป็นเซียนแท้คนแรกในยุคนี้ ดังนั้นท่านจึงได้รับการรับรองจากจิ่วต้าซานไห่ (เก้าขุนเขาทะเลอันยิ่งใหญ่) ทั้งหมด และนามของท่านก็ถูกจารึกอยู่ในม้วนภาพเซียน
สำหรับคนที่ใช้ต้นเถาวัลย์ประกายเซียน เพื่อให้กลายมาเป็นเซียนแท้ก็ได้รับการรับรองจากจิ่วต้าซานไห่ และนามของพวกมันก็จะถูกบันทึกลงไปบนม้วนภาพเซียนด้วยเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าพวกมันจะถูกมองว่า ไม่มีโชคชะตาของสวรรค์และปฐพีเช่นเดียวกับตานกุ่ยก็ตามที
อย่างไรก็ตามโดยพื้นฐานแล้ว การฝึกตนคือการต่อต้านสวรรค์ และการต่อสู้เพื่อควบคุมโชคชะตา วิถีแห่งเซียนคือการก้าวขึ้นไปเพื่อต่อต้านสวรรค์
เท่าที่เมิ่งฮ่าวคิด ถ้าเขากลายเป็นเซียนแท้ได้สำเร็จ โดยที่ไม่ต้องใช้ต้นเถาวัลย์ประกายเซียน และไม่ต้องมีโชคชะตาเซียนเพื่อให้ได้คำรับรองเพื่อจะกลายเป็นเซียนแท้ การเป็นเซียนแท้ของเขาก็จะอยู่เหนือกว่าคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง!
เขาจะเป็นเซียนแท้ที่อยู่เหนือผู้ใดทั้งสิ้น ไม่ว่าพวกมันจะยินดีหรือไม่ก็ตามที!
ตอนนี้ปราณเซียนได้กระจายออกมาอยู่เหนือทะเลที่เก้า คนทั้งหมดเฝ้ามองไป ขณะที่ร่างของฝานตงเอ๋อร์กำลังกระจายประกายแสงออกมา และกลิ่นอายของนางก็ระเบิดขึ้นด้วยพลังอันเข้มข้น
สิบจุดชีพจร ยี่สิบจุดชีพจร สามสิบจุดชีพจร…แสงที่กระจายออกมาจากร่างนางเริ่มมีความเข้มข้นมากขึ้นไปเรื่อยๆ และภาพที่คล้ายกับเป็นมังกรหรือหงส์ได้หมุนวนไปมาอยู่รอบๆ ตัวนางอย่างน่าตกใจยิ่ง!
สี่สิบจุดชีพจร หกสิบจุดชีพจร แปดสิบจุดชีพจร…เสียงกระหึ่มดังเต็มอยู่ในอากาศ และทำให้จิตใจของพวกที่มองดูอยู่ทั้งหมดต้องสั่นสะท้าน ขณะที่นางบรรลุถึงเก้าสิบจุดชีพจร! ตอนนี้นางได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจไปโดยสิ้นเชิง แต่ก็ยังไม่จบลงเพียงเท่านี้!
เก้าสิบเอ็ดจุดชีพจร เก้าสิบสามจุดชีพจร ในที่สุด…นางก็เปิดได้ถึงเก้าสิบหกจุดชีพจร!
ทั่วทั้งทะเลที่เก้าต่างก็ประหลาดใจไปโดยสิ้นเชิง!
ขณะที่ประตูเซียนจางหายไป ฝานตงเอ๋อร์ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ชีพจรเซียนเก้าสิบหกจุดของนางกระจายพลังเซียนออกมา รับรู้ได้ว่านางได้ก่อตัวเป็นร่างใหม่ขึ้นมาแล้ว และตอนนี้ก็ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากไปกว่าเดิม
นางมองออกไปในท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ยังทิศทางของดาวตงเซิ่ง
“เมิ่งฮ่าว…ตอนนี้ข้าเป็นเซียนแท้แล้ว และเมื่อข้าใช้เวทเซียนทะเลที่เก้า ก็จะทำให้มีพลังเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า พวกเรายังต้องต่อสู้กันอีก ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถไล่ตามรุ่นนี้มาทัน”
แทบจะในเวลาเดียวกับที่ฝานตงเอ๋อร์เปิดชีพจรเซียนได้เก้าสิบหกจุด ย้อนกลับไปในดินแดนบรรพบุรุษตระกูลฟางบนดาวตงเซิ่ง ภายในกลุ่มหมอก เมิ่งฮ่าวกำลังถือตะเกียงสัมฤทธิ์สูงขึ้นไป ขณะที่ก้าวเดินเข้าไปในประตูที่เปิดออกของสุสาน
ตอนนี้เขากำลังผ่านเข้าไปในสถานที่ซึ่ง…ไม่มีใครเคยเข้าไปได้มาก่อน ตั้งแต่ตอนที่ปรมาจารย์รุ่นแรกได้เข้าฌาณจนตายไปจวบจนกระทั่งถึงตอนนี้! วิหารโลกันต์!
ขณะที่เมิ่งฮ่าวผ่านเข้าไป ก็แหงนหน้ามองขึ้นและได้เห็นสนามของดวงดาวมากมายที่กำลังส่องแสงกระพริบไปมา ยังมีภูเขาขนาดใหญ่อยู่อีกด้วย ซึ่งถูกห้อมล้อมไว้ด้วยดาวสี่ดวง ถัดจากภูเขาก็เป็นทะเลแห่งดวงดาว
มันคือขุนเขาที่เก้า, ทะเลที่เก้า และสี่ดวงดาว
นั่นคือพื้นเพดานของห้องโถงขนาดใหญ่ที่เขากำลังมองดูอยู่ แสงดาวสาดส่องลงมาบนร่างของบุรุษวัยกลางคน ที่นั่งอยู่บนเสื่อทอด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น ไร้ร่องรอยว่าท่านได้ตายไปแล้วแม้แต่น้อยนิด แต่ทั่วทั้งร่างได้กระจายกลิ่นอายแห่งความเน่าเปื่อยออกมา
แทบจะดูคล้ายกับเป็นรูปปั้นที่นั่งอย่างไร้อารมณ์ความรู้สึกอยู่ที่นั่นมานานหลายปีจนนับไม่ถ้วน
ท่านสวมใส่ชุดที่เรียบง่ายและสวมหมวกของนักศึกษา นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ริมฝีปากได้บิดขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ ในมือถือม้วนแผ่นไม้ไผ่ และลูกทรงกลมของแสงดาวก็ลอยอยู่รอบๆ ร่าง ส่องแสงกระพริบไปมา
นอกจากนั้นก็ยังมีกระถางปรุงยา ที่ไม่มีฝาปิด ด้านในกระถางเป็นกลุ่มหมอกเจ็ดสีที่กำลังหมุนวนไปมา ทำให้ยากที่จะมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรอยู่ที่ด้านใน เหนือกระถางปรุงยา สิ่งที่กำลังบดบังการมองเห็นของเมิ่งฮ่าวไว้ทั้งหมดคือ…มังกรหนึ่งตัว
มันเป็น…มังกรที่ทำมาจากสัมฤทธิ์ ร่างที่ยาวเหยียดของมันม้วนตัวไปมาอยู่รอบๆ เสาที่ค้ำยันหลังคาไว้ รอยแตกร้าวได้กระจายออกมาจากตำแหน่งที่เล็บของมังกรได้ปักลงไปในเสา หางของมันหายเข้าไปในความมืด ส่วนหัวได้ห้อยลงมาอยู่เหนือกระถางปรุงยา ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความละโมบ ปากของมันอ้าออก ราวกับว่ากำลังจะกลืนกินสิ่งที่อยู่ด้านในของกระถางปรุงยาเข้าไป
มังกรสัมฤทธิ์ตัวนี้ช่างดูเหมือนของจริงเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เกล็ดของมัน ก็ทำให้แทบจะคล้ายกับยังมีชีวิตอยู่ เมิ่งฮ่าวยังสังเกตเห็นด้วยว่า บางตำแหน่งของร่างกายมัน เกล็ดบางส่วนได้เสียหายไปอย่างรุนแรง ราวกับว่าพวกมันเป็นรอยแผลเป็นที่ได้รับมาจากตอนที่ต่อสู้มานับร้อยครั้ง
ขณะที่มองไปยังทุกสรรพสิ่งรอบๆ ตัว เมิ่งฮ่าวก็เริ่มหอบหายใจออกมา เขาแทบไม่อยากจะเชื่อว่านี่จะเป็นแค่มังกรที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยสัมฤทธิ์ มันให้ความรู้สึกที่แทบจะเหมือนกับเป็นของจริง เป็นมังกรที่มีชีวิตและเลือดเนื้อจริงๆ
หนึ่งในเหตุผลที่เขาเกิดเป็นความรู้สึกเช่นนั้นก็คือว่า เมื่อมองไปยังมัน ชีพจรเซียนที่อยู่ภายในร่างเขา ก็เริ่มเต้นรัวอย่างรุนแรง และกระจายกลิ่นอายแห่งความปรารถนาออกมา ราวกับว่ามันต้องการจะดูดกลืนมังกรตัวนี้เข้าไปจนหมดสิ้น!
เมิ่งฮ่าวลังเลอยู่ชั่วขณะ ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่อาจจะกระทำการอย่างวู่วามได้ เขากวาดมองไปทั่วทั้งห้องโถงวิหารขนาดใหญ่ และจากนั้นก็ตัดสินใจที่จะเดินเลาะผ่านกระถางปรุงยา และมุ่งหน้าตรงไปยังบุรุษที่กำลังนั่งเข้าฌาณอยู่บนเสื่อทอ เขามองไปและตระหนักว่าท่านดูเหมือนกับรูปปั้นที่อยู่ตรงด้านนอกเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านปรมาจารย์รุ่นแรก…” เมิ่งฮ่าวพึมพำ ขณะที่มองไป โลหิตก็เริ่มสูบฉีดราวกับว่ากำลังเกิดการสะท้อนระหว่างคนทั้งสอง
หลังจากที่ผ่านไปนานสักพัก เมิ่งฮ่าวก็คุกเข่าลงไปและโขกศีรษะให้กับบุรุษผู้นี้
“ฟางฮ่าว ผู้เยาว์รุ่นหลังขอแสดงความคารวะต่อท่านปรมาจารย์” เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อตระกูลฟางอยู่เล็กน้อย แต่เขาก็รู้สึกเคารพต่อปรมาจารย์รุ่นแรกที่เป็นผู้ก่อตั้งตระกูลขึ้นมา
หลังจากที่โขกศีรษะ เมิ่งฮ่าวก็ลุกขึ้นมายืนและมองไปยังลูกทรงกลมแห่งแสงดาว ที่กำลังลอยอยู่รอบๆ ตัวปรมาจารย์รุ่นแรก ภายในส่วนลึกของแสงนั้น เขาสามารถมองเห็นอุกกาบาตที่มีขนาดเท่าเล็บนิ้วอยู่อย่างเลือนลาง
ขณะที่แสงดาวส่องผ่านเข้ามาในดวงตา ลมหายใจของเมิ่งฮ่าวก็ถี่รัวขึ้นเล็กน้อย จากสิ่งที่เขาสามารถบอกได้ ของสิ่งนี้อาจจะเป็น…หนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาว!
เมิ่งฮ่าวพยายามยื่นมือออกไปเพื่อคว้าจับไปที่แสงดาว แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามยึดมันไว้อย่างไร ก็ไม่อาจจะทำได้ ราวกับว่าลูกทรงกลมนั้นไม่สนใจเขาโดยสิ้นเชิง มันยังคงโคจรไปรอบๆ ร่างปรมาจารย์รุ่นแรกต่อไป
เมิ่งฮ่าวครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็ไม่พยายามจะใช้กำลังบังคับอีก นอกจากนี้ลูกทรงกลมแห่งแสงดาวก็กำลังลอยอยู่รอบๆ ร่างปรมาจารย์รุ่นแรก ดังนั้นการพยายามใช้กำลังเช่นนั้นอาจจะไปสัมผัสโดนซากศพของท่านปรมาจารย์ได้ ซึ่งเมิ่งฮ่าวไม่ต้องการจะแสดงความไม่เคารพเช่นนั้นออกมา
เขาถอยไปทางด้านหลังสองสามก้าว กวาดมองไปรอบๆ และจากนั้นก็ลอยตัวขึ้นไปในอากาศ เพื่อมองไปยังตำแหน่งที่เล็บมังกรสัมฤทธิ์ได้ปักลงไปในเสาอย่างใกล้ชิด หลังจากนั้น เขาก็ต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
จากนั้นเขาก็กลับลงมาบนพื้น และมองไปรอบๆ บริเวณนั้นด้วยความระมัดระวังตัว พร้อมกับจิตใจที่กำลังเต้นรัว
ไม่นานต่อมา เมิ่งฮ่าวก็สามารถจะรับรู้ได้ว่ารอยแยกนั้นไม่ได้ถูกแกะสลักไว้ที่นั่น แต่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ราวกับว่า…ในวันหนึ่งเมื่ออดีตที่ผ่านมา มังกรที่มีชีวิตจริงๆ ได้ปักกรงเล็บของมันลงไปในเสานี้ด้วยตัวเอง
ขณะที่เขาจ้องมองไปยังมังกรสัมฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง ก็เริ่มมีภาพปรากฏขึ้นมาในจิตใจ ภายในภาพนั้นเขามองเห็นห้องโถงที่ว่างเปล่าและสงบเงียบ จากนั้นมังกรก็พุ่งเข้ามา หมุนวนไปมาอยู่ในห้องโถง และจากนั้นก็พันไปรอบๆ เสาต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง กรงเล็บของมันได้แทงทะลุเข้าไปในเสาขณะที่ก้มศีรษะลง ดวงตาสาดประกายขึ้นด้วยความละโมบ ขณะที่มันพยายามจะกลืนกินกระถางปรุงยาเข้าไป แต่ในตอนนั้นเองที่พลังอันแข็งแกร่งได้กระจายออกไป และมังกรก็ตกตายไปในทันที กลายเป็นรูปปั้นสัมฤทธิ์ไป
ทันทีที่เมิ่งฮ่าวรับรู้ได้ถึงเหตุการณ์เหล่านี้ เขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง
“วิหารโลกันต์แห่งนี้ต้องเต็มไปด้วยสิ่งแปลกๆ อย่างแน่นอน…” เขาคิดพร้อมกับกระพริบตาไปมา มองกลับไปยังปรมาจารย์รุ่นแรก จากนั้นก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นอย่างฉับพลัน เมิ่งฮ่าวเดินผ่านร่างท่าน ไปนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ด้านหน้า หันหลังให้กับท่านปรมาจารย์ มองเข้าไปในวิหาร
หนังศีรษะเขาด้านชาขึ้นในทันที ขณะที่ตระหนักว่าจากตำแหน่งนี้ เขาสามารถมองเห็นคางของมังกรได้โดยตรง รวมทั้งส่วนด้านล่างของมัน ยิ่งไปกว่านั้น ก็ปรากฏว่า…ถ้าเขาแข็งแกร่งเพียงพอ ก็สามารถใช้เพียงแค่นิ้วเดียวก็จะทำให้มังกรสัมฤทธิ์ต้องระเบิดขึ้นไปทั้งตัว
เมิ่งฮ่าวยกมือขึ้นและชี้นิ้วออกไป จากนั้นก็ลุกขึ้นมายืนและเดินไปตามเส้นที่นิ้วของเขาได้ชี้ออกไป เมื่อไปถึงสถานที่ซึ่งเป็นเส้นตัดกับคางของมังกร และตรวจสอบดูอย่างละเอียดมากขึ้น เขาก็รับรู้ได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้จิตใจต้องสั่นสะท้าน
เขาแทบจะตกใจต่อความรู้สึกนี้ เมื่อจุดที่อยู่บนคางของมังกรได้สั่นกระเพื่อมราวกับว่า ยังคงมีวิชาเวทบางส่วนตกค้างเหลืออยู่ที่ตรงจุดนี้
นั่นเป็นการบ่งชี้ว่า…นี่เป็นจุดที่มีผลกระทบจนทำให้มังกรสัมฤทธิ์ต้องกลายเป็นรูปปั้นไป!
เมิ่งฮ่าวค่อยๆ หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับปรมาจารย์รุ่นแรก รู้สึกลำคอแห้งผาก ฝืนยิ้มออกมาพร้อมกับประสานมือและโค้งตัวลงต่ำ กล่าวขึ้นด้วยความระมัดระวัง
“ท่านปรมาจารย์ ข้าเป็นสมาชิกของตระกูลฟาง เป็นลูกหลานเพียงคนเดียวของกลุ่มสายโลหิตหลัก ข้าเป็นทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของท่าน ท่านรู้หรือไม่ว่ามันหมายความว่าอย่างไร? โดยพื้นฐานแล้ว ถ้าข้าตายไป สายโลหิตหลักก็จะหายไปด้วย!!”
“ท่านเป็นผู้สูงส่งและมีน้ำใจ ดังนั้น, เอ่อ…ข้ามาที่นี่ไม่ได้ตั้งใจจะมารบกวนท่าน แต่ต้องการจะได้ครอบครองมรดก ซึ่งข้าจะได้นำไปทำเป็นคุณงามความดีให้กับตระกูลได้!”
คำพูดของเมิ่งฮ่าวพบเจอแต่ความเงียบงัน ดังนั้นหลังจากที่ผ่านไปชั่วขณะ เขาก็ถอยไปทางด้านหลัง ครุ่นคิดอยู่สักครู่ จากนั้นก็มองไปยังกระถางปรุงยาด้วยความลังเล
“สิ่งใดก็ตามที่ทำให้มังกรอันแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อตัวนี้ รู้สึกละโมบขึ้นมาเช่นนั้นได้ ต้องเป็นของวิเศษอันล้ำค่าอย่างแน่นอน…ใครจะไปรู้ว่ามังกรตัวนี้จะพุ่งเข้ามาในที่แห่งนี้ได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามันไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน อันที่จริงมันได้มายังที่แห่งนี้ก่อนที่อุโมงค์หมอกสวรรค์จะถูกสร้างขึ้นมา และก่อนที่ปรมาจารย์รุ่นแรกจะตกตายไป การที่ปรมาจารย์รุ่นแรกได้ทำให้มังกรยังคงอยู่ในสุสานแห่งนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ามันมีความแข็งแกร่งเช่นไร”
“และสิ่งของที่มันต้องการ…” จิตใจเมิ่งฮ่าวเต้นรัวขณะที่รู้สึกลังเลในสิ่งที่ต้องทำ ในที่สุดเขาก็มองขึ้นไป และประสานมือให้กับปรมาจารย์รุ่นแรกอีกครั้ง
“ท่านปรมาจารย์ ลำแสงสายโลหิตของข้าพุ่งขึ้นไปสูงหนึ่งหมื่นจ้าง ทำให้ข้าเหมาะสมที่จะถูกเรียกว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของสายโลหิตตระกูลฟางในตอนนี้ ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่า…ท่านและข้ามีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นต่อกัน, เหยียเยี่ย (ท่านปู่)” เมิ่งฮ่าวขยิบตาให้
“เมื่อพิจารณาว่าพวกเรามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ ถ้าท่านยังคงมีชีวิตอยู่ ข้าคิดว่าท่านก็คงจะมีความสุขเป็นอย่างมากที่ได้เห็นข้า ข้ามีบุคลิกและอารมณ์ที่ค่อนข้างดี มักจะเชื่อฟังและอยู่ในโอวาทเป็นอย่างยิ่ง น้อยคนนักที่จะเป็นเหมือนกับข้า” เมิ่งฮ่าวตบไปที่หน้าอกด้วยความภาคภูมิใจขณะที่ทำการอธิบายสรรพคุณของตนเอง
“ท่านปรมาจารย์ ท่านเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นเมื่อได้เห็นผู้เยาว์บางคนหลังจากที่ผ่านมานานหลายปีมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่โดดเด่นเช่นข้า ข้ามั่นใจว่าจะทำให้ท่านมีความยินดีเป็นอย่างมาก และจะต้องมอบรางวัลอันยิ่งใหญ่ให้กับผู้เยาว์รุ่นหลังเช่นข้าอย่างแน่นอน”
“อันที่จริง ข้าไม่ต้องการอะไรนอกไปจากสิ่งของที่อยู่ในกระถางปรุงยานี้ ท่านจะมอบมันให้กับข้า เอ่อ…พร้อมกับหนึ่งรำพึงกลายเป็นดวงดาวด้วย ได้หรือไม่? สำหรับมังกรตัวนี้ ข้าจะช่วยกำจัดมันไปให้กับท่าน เป็นอย่างไร!?” เมิ่งฮ่าวรู้สึกมีกำลังใจขึ้น แต่ก็ยังต้องกัดฟันแน่น ค่อยๆ เข้าไปใกล้กระถางปรุงยา และมองลงไปยังกลุ่มหมอกเจ็ดสีที่อยู่ด้านใน จากนั้นเขาก็เป่าลงไปที่กลุ่มหมอกอย่างแผ่วเบา
ทันทีลมหายใจของเขาสัมผัสไปโดนกลุ่มหมอก เมิ่งฮ่าวก็มองเห็นว่าที่ด้านในของกระถางปรุงยาเป็นจานหยก ที่ด้านบนมีหยดของเหลวเจ็ดสีอยู่หนึ่งหยด
ทันทีที่เมิ่งฮ่าวมองเห็นหยดของเหลวเจ็ดสีนั้น เส้นขนทั่วร่างของเขาก็ลุกขึ้นตั้งชี้ชัน ในฐานะที่เป็นต้าซือของเต๋าแห่งการปรุงยา ไม่ว่าเขาจะไม่เคยเห็นหยดของเหลวนี้มาก่อนก็ตามที แต่ก็รับรู้ได้โดยสัญชาตญาณขึ้นในทันทีว่า นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจจะให้ผู้ฝึกตนกลืนกินลงไปได้
หยดของเหลวนี้ประกอบไปด้วยกลิ่นอายอันเข้มข้นอย่างน่าตกใจ ซึ่งบ่งบอกว่าผู้ฝึกตนใดๆ ก็ตามที่กลืนกินมันลงไปก็จะถูกสังหารไปในทันที
ในตอนนี้เองที่ทันใดนั้น เสียงกระหึ่มกึกก้องก็ได้ยินออกมาจากภายในถุงสมบัติของเขา กล่องหยกที่อยู่ด้านในแตกกระจายไป และผลเนี่ยผานทั้งสองที่ผู้เฒ่าสูงสุดได้มอบให้มา ซึ่งเป็นผลเนี่ยผานของปรมาจารย์รุ่นแรก จู่ๆ ก็ลอยขึ้นมาเอง ดูเหมือนว่าต่างก็มุ่งมั่นที่จะเอาชนะซึ่งกันและกัน พวกมันพุ่งตรงไปยังหยดของเหลวเจ็ดสีที่อยู่ด้านในกระถางปรุงยาในทันที
ราวกับว่าผลแรกที่สัมผัสไปโดนหยดของเหลวนั้นก่อน ก็จะฟื้นฟูกลับคืนมาโดยสมบูรณ์!