บทที่ 1225 ใต้เขาเบญจดารา
ค่ายกลห้าธาตุใต้ดินอ่อนกำลังไปนานแล้ว หากไม่ใช่เพราะชายผิวดำจงใจยื้อเวลาไว้ เกรงว่าค่ายกลคงจะแตกทลายไปนานแล้ว
แต่เดิมงานประลองยุทธ์ผาเก่ากำลังจะจบลง หากสามารถประคองค่ายกลไว้ รอให้คนจากไปทั้งหมดแล้วจึงค่อยทำลาย
แต่ตอนนี้ ปฐมเทพกุยอีลำดับที่สิบสองในรายชื่อปฐมเทพอยู่บนลานประลอง
และที่บังเอิญไปกว่านั้นก็คือปฐมเทพกุยอีชำนาญเสวียนอ้าวห้าธาตุอย่างยิ่ง พลังเสวียนอ้าวแข็งแกร่งกว่าของจ้าวเฟิงมาก
“แย่ละ เกรงว่าค่ายกลคงกำลังจะแตกแล้ว!”
ใต้ดินลึกลงไป ชายผิวดำใจร้อนรุ่มราวไฟเผา
วูบ! พลังห้าสายเศษเสี้ยวหนึ่งในค่ายกลถูกปฐมเทพกุยอีดูดซึมออกไป
“คงต้องหยุดทำลายค่ายกลแล้ว!” ชายผิวดำฝืนหยุดทำลายค่ายกล วางแผ่นหินในมือลงไป
แต่ค่ายกลห้าธาตุเดิมกำลังจะทลายลงแล้ว ศักยภาพในแต่ละด้านลดลงไปมาก พลังฟื้นฟูตัวเองต่ำอย่างยิ่ง หนำซ้ำการที่ค่ายกลห้าธาตุฟื้นฟูตนเอง พลังส่วนหนึ่งก็มาจากธรรมชาติในฟ้าดิน
แต่ปฐมเทพกุยอีผู้อยู่บนลานประลองไม่เพียงแต่กำลังดูดซึมพลังธาตุทั้งห้า แต่ยังดูดซึมพลังงานในค่ายกลห้าธาตุด้วย พูดได้ว่าความเร็วในการรักษาตนเองของค่ายกลห้าธาตุช้ากว่าความเร็วการดูดซึมพลังห้าธาตุของปฐมเทพกุยอี
“ยอมจำนนต่อชะตาฟ้าดินแล้วกัน!”
ชายผิวดำนั่งอยู่บนพื้น จ้องค่ายกลบนประตูหินด้านหน้า
จ้าวเฟิงเองก็เพ่งมองสถานการณ์ใต้ดินอย่างจดจ่อจากบนเขาเบญจดารา
ตูม! การต่อสู้ของปฐมเทพกุยอีและปฐมเทพปี้ซีบนลานประลองเรียกความสนใจของทุกคนในลาน
ขนาดปฐมเทพจื่อเฟิงและปฐมเทพเทียนเสวี่ยที่อยู่ในสิบลำดับแรกของรายชื่อปฐมเทพเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีกะจิตกะใจจะชมการประลองที่ตื่นตาตรงหน้า คนผู้นั้นก็คือจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงเสี่ยงอันตรายร้ายแรงเพื่อบีบบังคับให้ชายผิวดำร่วมมือกับตนเอง
งานประลองยุทธ์ตรงหน้านี้กำลังจะจบลง เขาจะได้ไปสำรวจสถานที่ซึ่งจอมเทพห้าธาตุเคยปิดด่านฝึกตนกับชายผิวดำ
แต่จู่ๆ ก็มีปฐมเทพกุยอีโผล่ออกมาระหว่างนั้น
จ้าวเฟิงจึงทำได้เพียงยอมจำนนต่อชะตาฟ้าแล้ว
“ปฐมเทพปี้ซีกระตุ้นพลังสายเลือดแล้ว!”
ปฐมเทพผู้หนึ่งข้างกายจ้าวเฟิงเอ่ยอย่างตื่นเต้น
ทันใดนั้นเอง ปฐมเทพปี้ซีพลันค่อยๆ กลายเป็นกิ้งก่ายักษ์สีเขียว สาดซัดพลานุภาพมหาศาลที่สะเทือนฟ้าดินออกมา
“หมอกพิษคร่าวิญญาณ!”
ปฐมเทพปี้ซีแค่นเสียงต่ำ
ฟิ้ว!
รอบร่างกายสีเขียวของเขาปรากฏหมอกควันสีเดียวกันลอยอ้อยอิ่ง กระจายตัวปกคลุมทั่วบริเวณ
“หมอกพิษคร่าวิญญาณของปฐมเทพปี้ซีไม่เพียงแต่กัดกร่อนชีวิต ยังสามารถสังหารดวงวิญญาณได้ด้วย!”
สีหน้าปฐมเทพกุยอีคร่ำเคร่งเล็กน้อย
เขารู้จักทุกคนในรายชื่อปฐมเทพเป็นอย่างดี
ปฐมเทพกุยอีมีสีหน้าราบเรียบ ลอบกระตุ้นพลังสายเลือด
ถึงแม้ลำดับของปฐมเทพกุยอีในรายชื่อปฐมเทพจะเหนือกว่าปฐมเทพปี้ซีสองลำดับ แต่หากไม่ใช้พลังสายเลือด ปฐมเทพกุยอีก็เอาชนะปฐมเทพปี้ซีไม่ได้ แต่ทันทีที่ใช้พลังสายเลือด จุดจบก็พอจะเห็นรางๆ
วูบ! เห็นเพียงร่างกายของปฐมเทพกุยอีเปล่งแสงห้าสีที่เลือนรางชั้นหนึ่งออกมา
ในวินาทีนั้น พลังธาตุทั้งห้าเกาะกลุ่มในร่างเขาอย่างรุนแรง
“พลังสายเลือดปฐมเทพกุยอีสามารถทำให้กลายร่างเป็นกายวิญญาณห้าธาตุ สอดประสานเข้ากับพลังธาตุทั้งห้าในฟ้าดิน…”
ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงที่อยู่ข้างกายจ้าวเฟิงดวงตาทอประกาย
ในวินาทีดังกล่าว ปฐมเทพกุยอีเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ทุกอิริยาบถของเขากระตุ้นพลังธาตุทั้งห้า ทรงพลานุภาพ
“จบกัน!” จ้าวเฟิงตาค้าง
ในตอนที่ปฐมเทพกุยอีปลดปล่อยพลังสายเลือดที่พิเศษออกมา จ้าวเฟิงก็รู้ได้เลยว่าความลับที่ใต้ดินคงจะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
“เดี๋ยวข้าจะให้เจ้าเข้าไปในโลกมิติส่วนตัวของข้า เจ้าไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น อยู่ในนั้นให้สบายใจก็พอ!”
จ้าวเฟิงสงเสียงบอกหานหนิงเอ๋อร์
ความลับใต้ดินกำลังจะถูกเปิดเผยออก แต่จ้าวเฟิงจะอาศัยโอกาสนี้ปะปนไปกับฝูงชน เผื่อจะได้ประโยชน์มา อีกทั้งพอถึงเวลา ที่แห่งนั้นก็จะอลหม่าน คนที่จะจัดการจ้าวเฟิงก็ยากจะลงมือได้
“บัดซบ เจ้าเด็กปฐมเทพสองคนนี้!” ชายผิวดำก่นด่าออกมา ณ ใต้ดิน
วินาทีต่อมา ผนึกธาตุห้าเบื้องหน้าของเขาสลายไปจนสิ้น
โครม! ใต้เขาเบญจดาราสั่นไหวอย่างรุนแรง
ทุกคนที่ชมการประลองรอบเขาเบญจดาราชะงักไป ต่อให้การต่อสู้ระหว่างปฐมเทพกุยอีและปฐมเทพปี้ซีจะทรงพลังมากเท่าไร ก็ไม่อาจทำให้ทั้งเขาเบญจดาราสั่นอย่างรุนแรงขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ลานประลองแห่งนั้นก็มีค่ายกลคอยรักษาให้เสถียรอยู่ มิฉะนั้นคงจะรับการประลองของปฐมเทพอัจฉริยะไม่ไหว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ดวงตาปฐมเทพปี้ซีตื่นตะลึง สีหน้าเคร่งขรึม
“นี่คือ…” ปฐมเทพกุยอีสัมผัสได้ถึงพลังในธรรมชาติ และสังเกตเห็นเหตุการณ์ประหลาดในเขาเบญจดาราทันที!
และในเวลานี้เอง!
บานประตูหินที่อยู่ใต้ดินส่งเสียงดังโครมคราม กลายเป็นประตูแสงห้าสีบิดเบี้ยวทันที
เสวียนอ้าวพลังมหาศาลสาดซัดออกมาจากภายในนั้น พลานุภาพของมันสั่นสะเทือนภูผาและสายน้ำ
ตูม! ภูผาฟ้าดินทั้งหมดส่งเสียงดังโครมคราม ปรากฏรอยปริร้าวจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้น พลังฟ้าดินที่เข้มข้นสาดซัดออกมา
“ใต้เขาเบญจดารามีสมบัติ!”
จ้าวเฟิงตะโกนเสียงดัง เรียกความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดี
“สมบัติ?”
“ใต้ดินมีสมบัติ!”
ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วเขาเบญจดาราทันที
“ปฐมเทพเจี้ยนเฟิง ใต้ดินมีสมบัติ ข้าขอตัวก่อนแล้ว!”
เมื่อพูดจบ จ้าวเฟิงจึงเก็บหานหนิงเอ๋อร์เข้าไปในโลกมิติส่วนตัวเมืองมายา
หากอยู่ในโลกมิติส่วนตัวเมืองมายา ถึงหานหนิงเอ๋อร์อยากจะทำอะไรก็เป็นไปไม่ได้
สวบ! จ้าวเฟิงดำดิ่งลงไปในดิน
“สหายจ้าว อย่ารีบร้อน!”
ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงคิดจะห้ามแต่ก็ไม่ทันแล้ว
จ้าวเฟิงรู้ว่ามีสมบัติใต้ดิน ดังนั้นจึงตรงดิ่งลงใต้ดินทันที
ส่วนคนอื่นในลานยังคงกังวลอยู่ ไม่แน่ว่าใต้ดินอาจมีอันตรายที่ไม่มีใครรู้ซ่อนอยู่
แต่ขอแค่มีคนนำไป คนอื่นๆ ก็ย่อมไม่ยินยอมถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง จึงรีบตามไปติดๆ ทันที
ฟิ้ว! ปฐมเทพกุยอีผสานลงไปในพื้นดิน ดิ่งลงไปใต้ดินอย่างรวดเร็ว
ปฐมเทพปี้ซีออกจากลานประลอง มุดดินลงไปใต้ดิน
“ไป!”
ปฐมเทพจื่อเฟิงและผู้แข็งแกร่งขั้นเทพแท้จริงของตำหนักรัตติกาลม่วงรีบมุดลงดิน
ส่วนปฐมเทพทั้งหมดต่างมุดลงดินตามกันไปติดๆ
“ปล่อยเจ้าเด็กนั่นไปดูสถานการณ์ใต้ดินก่อน!”
เทพแท้จริงจ้งถู่แห่งหอมังกรเหลืองเอ่ย
คนทั่วไปมักจะใส่ใจผลประโยชน์ของตนเองมากกว่าอยู่แล้ว สำหรับเรื่องจ้าวเฟิงและหานหนิงเอ๋อร์ เทพแท้จริงจ้งถู่คาดหวังในสมบัติมากกว่า
“มิติเอกเทศ!” จ้าวเฟิงมองกลุ่มแสงห้าสีบิดเบี้ยวตรงหน้า
จ้าวเฟิงชำนาญธาตุดิน แล้วยังมุดเข้าไปใต้ดินเป็นคนแรก ดังนั้นจึงทิ้งห่างไป แต่จ้าวเฟิงรู้ว่ายังมีอีกคนหนึ่งเข้าไปใต้ดินก่อนตนเองแล้ว
“นั่นคือมิติลึกลับ!”
ไม่ไกลนักด้านหลังจ้าวเฟิงมีเสียงดังจอแจ
ใครก็คาดคิดไม่ถึง ที่ใต้ดินของเขาเบญจดารามีพื้นที่ลึกลับนิรนามอยู่
ตอนที่คนจำนวนมากกำลังเข้าใกล้ประตูทางเข้า จ้าวเฟิงก็มุดเข้าไปภายในอย่างรวดเร็ว
ในวินาทีต่อมา จ้าวเฟิงปรากฏกายขึ้นในตำหนักวิจิตรขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง พลังเสวียนอ้าวห้าธาตุที่แข็งแกร่งสาดซัดออกมาจากตัวตำหนัก ส่วนรอบตำหนัก ไอสวรรค์ในฟ้าดินหนาแน่นและบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
“ที่นี่น่าจะเป็นเรือนพักของ ‘จอมเทพห้าธาตุ’!”
ดวงตาจ้าวเฟิงเพ่งมอง คิดไม่ถึงเลยว่ามิติโดดเดี่ยวก็คือตำหนักแห่งนี้ แน่นอนว่าตำหนักนี้แปลกประหลาด ยิ่งใหญ่กว่าเขาเบญจดาราหลายเท่าตัว
ฟึ่บ! วินาทีต่อมา ข้างจ้าวเฟิงปรากฏเงาร่างคนขึ้นหลายร่าง
นอกจากผู้แข็งแกร่งขั้นเทพแท้จริงสี่คน คนอื่นที่เหลือล้วนเป็นรองจากอัจฉริยะของรายชื่อผู้ถูกเลือกในงานประลองยุทธ์ครั้งนี้
“นี่มันสถานที่อะไร?”
ทุกคนมีสีหน้าตื่นตะลึง ในใจตึงเครียด ระแวดระวังรอบบริเวณ
ฟิ้ว! เหนือตำหนักมโหฬารปรากฏเงาร่างคนหลายสิบร่างขึ้น
“ทุกคนมาที่ตำหนักแห่งนี้!”
จิตใจจ้าวเฟิงตึงเครียด ถึงแม้ตำหนักแห่งนี้จะมโหฬาร แต่ถ้าหากทุกคนเข้ามาก็จะแน่นขนัดเกินไป ถึงเวลานั้น ทันทีที่สมบัติปรากฏขึ้นจะเกิดขึ้นการนองเลือด ต่อให้จ้าวเฟิงครอบครองชุดคลุมมิติก็ไม่กล้าผลีผลามเข้าไป
“จริงสิ นั่นคือคนชุดดำหรือ?”
จู่ๆ จ้าวเฟิงนึกขึ้นได้ ชายผิวดำผู้นั้นคงจะมาถึงที่นี่เป็นคนแรก
ชายผิวดำเหมือนเข้าอกเข้าใจสถานที่แห่งนี้ส่วนหนึ่ง พูดได้ว่าเขาอาจจะรู้ว่าสมบัติล้ำค่าสุดซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่
ฟิ้ว! จ้าวเฟิงโบยบินขึ้นมา โคจรดวงตาซ้ายมองทะลวงผ่านทั้งหมด สำรวจหาตำแหน่งชายผิวดำ
ตำหนักแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก จ้าวเฟิงมองทะลวงผ่านทุกสถานที่อย่างรวดเร็ว
แต่ในตำหนักแห่งนี้มีสถานที่จำนวนมาก มีอุปสรรคแข็งแกร่ง ต่อให้ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงอยากจะมองทะลุผ่านก็สิ้นเปลืองพลังมาก
“หาเจอแล้ว!” จ้าวเฟิงพบชายผิวดำอย่างรวดเร็ว
เปรี๊ยะ! แสงปีกอัสนีสีทองคู่หนึ่งเกาะกลุ่มที่หลังของจ้าวเฟิง จากนั้นโบยบินไปรอบๆ ในตำหนักขนาดใหญ่ประหนึ่งเขาวงกต
“ตายซะ ผู้บุกรุก!”
จู่ๆ มุมแห่งหนึ่งเกิดเสียงโครมคราม
“นั่นคือ ‘อสูร’?” แววตาจ้าวเฟิงชะงักค้าง
ในดินแดนเทพรกร้าง นอกเสียจากเผ่าพันธุ์บรรพกาลฝึกตนไปจนถึงขั้นเทพ ยังมีอสูรกับปีศาจทั่วไปส่วนหนึ่งก็สามารถฝึกฝนไปจนขั้นเทพได้ ดังนั้นพวกเขาจึงเรียกว่า ‘อสูร’
“ตำหนักแห่งนี้มีไอสวรรค์ฟ้าดินหนาแน่น พลังเสวียนอ้าวทั่วบริเวณทำให้เกิดปีศาจประหลาดขึ้น!”
จ้าวเฟิงไม่ตื่นตกใจแม้แต่น้อย
โครม! สัตว์ประหลาดหินยักษ์ที่เกิดจากหินโจมตีจ้าวเฟิง
สัตว์ประหลาดหินยักษ์ตัวนั้นปล่อยหมัดออกมา ทำให้บริเวณนั้นอับแสงลง!
“ก็แค่อสูรขั้นที่สอง เสวียนอ้าวธาตุดินขั้นที่สอง!”
จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กน้อย มีท่าทีตื่นตะลึง
ตามหลักการแล้ว พรสวรรค์ของปีศาจและอสูรทั่วไปย่อมไม่แข็งแกร่งเท่าเผ่าพันธุ์บรรพกาล แต่ต่อให้เป็นเผ่าพันธุ์บรรพกาล พลังเสวียนอ้าวของเทพแท้จริงขั้นที่หนึ่งจำนวนมากก็ยังไม่แตะขั้นที่หนึ่ง
แซ่ด! จ้าวเฟิงโคจรกายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เป็นประหนึ่งกลุ่มอัสนีห้าสีกลุ่มหนึ่ง พุ่งทะลวงผ่านร่างของอสูรตัวนี้
สัตว์ประหลาดหินยักษ์ตัวนั้นถูกจ้าวเฟิงพุ่งชนกระแทกจนแหลกละเอียด
“นี่คืออะไร?”
ในเวลาเดียวกันกับที่สังหารปีศาจตัวนี้ ผลึกสีเหลืองเปล่งประกายตกลงในเงื้อมมือของจ้าวเฟิง ตอนที่กำผลึกสีเหลืองเปล่งประกายเม็ดนี้ จ้าวเฟิงรู้สึกถึงเสวียนอ้าวธาตุดินชัดเจน ปรากฏในใจ
“ไม่ใช่ผลึกเทพ แต่ต้องพิเศษ ต้องอาศัยความลึกซึ้งในพลังเสวียนอ้าว!”
สีหน้าจ้าวเฟิงปลื้มปีติ
หลังจากเก็บผลึกสีเหลืองไป จ้าวเฟิงเดินทางติดต่อกัน ตามติดชายผิวดำไป
จ้าวเฟิงเชื่อมั่นอย่างยิ่ง จึงติดตามชายผิวดำ ย่อมต้องสามารถไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยโอกาสแน่
“มีอสูรจำนวนมาก แต่พลังคนผู้นี้แข็งแกร่งนัก แข็งแกร่งกว่าเทพแท้จริงจ้งถู่!”
จ้าวเฟิงใช้ดวงตาซ้ายสำรวจการต่อสู้กับชายผิวดำ และได้ผลสรุปออกมา
“มีผู้แข็งแกร่งแบบนี้ ยังคิดว่านำทางให้ข้า เปิดทางให้ข้า ไม่เลวจริงๆ!”
จ้าวเฟิงเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
เส้นทางที่เขาเดินทางล้วนมีชายผิวดำนำทางมา อสูรที่แข็งแกร่งระหว่างทางถูกอีกฝ่ายจัดการ ดังนั้นอุปสรรคที่จ้าวเฟิงเจอจึงค่อนข้างน้อย