Skip to content

King of Gods 1223

King Of Gods

บทที่ 1223 ตกปากรับคำ

“ช้าก่อน ข้ายินดีร่วมมือกับเจ้า รีบยั้งมือก่อน!”

ชายผิวดำที่อยู่ใต้ดินลึกลงไปเอ่ยออกมาอย่างอับจนปัญญา

ในตอนนี้ไม่อาจปล่อยให้จ้าวเฟิงดูดซึมพลังธาตุทั้งห้าในฟ้าดินได้ มิฉะนั้นค่ายกลจะถูกทำลายลงเสียก่อน เรื่องทั้งหมดที่นี่ก็จะไม่เป็นความลับอีกต่อไป

อีกอย่างจ้าวเฟิงเป็นแค่ปฐมเทพทั่วไป ร่วมมือกับเขาแล้ว สิทธิ์ในการควบคุมก็ยังคงอยู่ในเงื้อมมือของเขาอยู่ดี

จ้าวเฟิงผู้อยู่บนลานประลองยกมุมปากขึ้นน้อยๆ

ส่วนโหวชิ่งที่ถูกโจมตีจนถอยร่นไปติดๆ กัน เมื่อเห็นรอยยิ้มของจ้าวเฟิงก็ยิ่งโกรธแค้นมากขึ้นเป็นเท่าทวี

โหวชิ่งเดินขึ้นลานประลองด้วยตนเอง ก่อนท้าทายจ้าวเฟิง เดิมคิดว่าจะได้ชัยชนะและได้ล้างอายที่ถูกดูหมิ่นเมื่อคราวก่อนไปพร้อมกัน แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่าเขาพ่ายแพ้อย่างหมดรูปอีกครั้ง

ฟิ้ว! แสงอัสนีห้าสีบนร่างจ้าวเฟิงค่อยๆ หดเล็กลง

ชายผิวดำยินดีร่วมมือกับจ้าวเฟิง เขาจึงไม่ได้ใช้เสวียนอ้าวห้าธาตุต่อ

แต่ในตอนนี้ สายเลือดโหวชิ่งถูกเผาผลาญไปจนหมด ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ต่อให้จ้าวเฟิงไม่ใช้เสวียนอ้าวห้าธาตุ โหวชิ่งก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่ดี

ในเรือนรับรองบนยอดเขาแห่งหนึ่งในยอดเขาห้าแฉก บุรุษหนุ่มชุดแดงถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มคนผู้เต็มไปด้วยแวววตาชื่นชมนับถือ

“ปฐมเทพกุยอี (หนึ่งเดียว) เขาเหมือนกับท่าน ชำนาญเสวียนอ้าวห้าธาตุ!”

สตรีท่าทางน่าเอ็นดูข้างกายบุรุษชุดแดงเอ่ยพลางยิ้มละไม

“เจ้าเด็กนั่นไหนเลยจะเทียบได้กับปฐมเทพกุยอีผู้เป็นอัจฉริยะในลำดับที่สิบสองของรายชื่อปฐมเทพได้!”

ในบริเวณนั้นมีคนเอ่ยขึ้นอย่างขบขัน

งานประลองยุทธ์ผาเก่าครั้งนี้ ผู้ถูกเลือกในรายชื่อปฐมเทพที่มาเข้าร่วมงานมีทั้งหมดหกคน

ปฐมเทพกุยอี เป็นผู้ถูกเลือกลำดับที่สิบสองในรายชื่อปฐมเทพ

“ขอบเขตพลังเสวียนอ้าวห้าธาตุของเขาอยู่ในขั้นที่หนึ่ง แต่เสวียนอ้าวทั้งห้าของข้าแตะขั้นที่สองแล้ว ส่วนการใช้เสวียนอ้าวห้าธาตุของข้าก็เหนือกว่าเขา!”

ปฐมเทพกุยอีเอ่ยอย่างสงบ แต่ในน้ำเสียงแฝงความเชื่อมั่นอย่างยิ่งเอาไว้

ตูม โครม!

บนลานประลอง จ้าวเฟิงผู้ไม่ได้ใช้เสวียนอ้าวห้าธาตุแล้วก็อาศัยพลังร่างกายที่แข็งแกร่งสยบโหวชิ่งเอาไว้

“โหวชิ่งยอมแพ้เสียเถอะ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”

คนเผ่าปีศาจวารีสวรรค์จำนวนมากลอบส่งเสียงเตือน โน้มน้าวโหวชิ่งอยู่ลับๆ

บนลานประลอง โหวชิ่งก้มศีรษะลงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างกล้ำกลืน

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาเองก็ไม่อาจจะเอาชนะจ้าวเฟิง หนำซ้ำยังเป็นการทำให้ตนเองถูกดูหมิ่นไปด้วย

สวบ! สวบ!

โหวชิ่งเอ่ยปากยอมรับความพ่ายแพ้ก่อนด้วยตนเอง การต่อสู้จึงจบลง ทั้งสองเดินออกจากเวทีประลอง

ยังไม่ทันรอให้กลุ่มคนทั่วสารทิศสิ้นสงสัย ในยอดเขาที่ห้าก็มีปฐมเทพจำนวนมากกระโจนลงบนลานประลอง

รวมไปถึงชายผิวเข้มที่ชนะในรอบเมื่อครู่ เขารอประลองกับปฐมเทพจินเจินจนแทบไม่ไหวแล้ว แต่น่าเสียดายที่สตรีร่างบางอ้อนแอ้นประหนึ่งไร้กระดูกมาถึงลานประลองก่อน

ส่วนคนที่นางจะประลองด้วยก็เป็นสตรีนางหนึ่งเช่นกัน

“พลังของเจ้าคนหัวทองนั่น เจ้าแพ้ให้ก็ไม่น่าเกลียดอะไร!”

ปฐมเทพหลินกวงทางฝั่งเผ่าปีศาจวารีสวรรค์เอ่ยปลอบโหวชิ่ง

พลังที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาในวันนี้ อาจเข้าเป็นหนึ่งในรายชื่อปฐมเทพได้เลยด้วยซ้ำ

ถึงแม้ปฐมเทพหลินกวงจะถูกอยู่ในลำดับที่สิบเจ็ดของรายชื่อปฐมเทพ แต่การจัดลำดับคราวก่อนก็เกิดขึ้นนานมาแล้ว พลังของเขาไม่มีทางเป็นดังเดิม

ดังนั้นปฐมเทพหลินกวงจึงยังพอมีหวังที่จะเอาชนะจ้าวเฟิง

แต่เขาเป็นถึงผู้ถูกเลือกในรายชื่อปฐมเทพ จะให้ไปท้าประลองคนนิรนามแบบนี้ได้อย่างไร

“เป็นไปได้อย่างไร?”

ปฐมเทพหมัวกุ่ยแห่งเผ่าภูติทมิฬชะงัก ใบหน้าเหม่อลอย

โหวชิ่งแห่งเผ่าปีศาจวารีสวรรค์ไม่ใช่คู่มือของจ้าวเฟิงเลยด้วยซ้ำ

เหตุใดพลังของจ้าวเฟิงจึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้?

ถ้าหากเมื่อครู่คนที่ขึ้นไปคือปฐมเทพหมัวกุ่ย สถานการณ์ของเขาคงจะแย่กว่าโหวชิ่งมาก

“พลังของคนผู้นี้!”

ปฐมเทพจื่อเฟิงมองจ้าวเฟิงด้วยสีหน้าซับซ้อนเกินบรรยาย

เดิมเขาคิดจะให้ผู้แข็งแกร่งปฐมเทพของตำหนักรัตติกาลม่วงเหยียดหยามจ้าวเฟิงเสียหน่อยเพื่อจะเอาใจปฐมเทพเทียนเสวี่ย แต่พลังของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งมาก จนสามารถเข้าเป็นหนึ่งในรายชื่อปฐมเทพได้

นั่นแปลว่าบุคคลที่ปรากฏในรายชื่อปฐมเทพจะไม่สามารถทำร้ายจ้าวเฟิงได้แม้แต่น้อย

ดวงตาปฐมเทพเทียนเสวี่ยฉายแววประหลาด

ส่วนอีกฟาก ผู้แข็งแกร่งขั้นเทพแท้จริงของหอมังกรเหลืองก็เริ่มเสวนากัน

“พรสวรรค์เจ้าหนุ่มนี่แข็งแกร่งเหลือเกิน ถ้าหากสามารถชักจูงเขามาเป็นพวกได้ คงจัดการทุกปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้!”

ปฐมเทพผู้หนึ่งเสนอความคิดของตนเอง

ทันทีที่โน้มน้าวจ้าวเฟิงได้ หานหนิงเอ๋อร์ก็จะไม่มีใครคุ้มครอง เท่ากับว่านางตกอยู่ในเงื้อมมือหอมังกรเหลืองไปโดยปริยาย และหากนางไม่ยอมจำนนก็ต้องตายสถานเดียว

อีกด้านหนึ่ง ด้วยพรสวรรค์ของจ้าวเฟิง เขาจะกลายเป็นเทพโบราณในภายหน้าก็คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร

“ยาก!” สีหน้าเทพแท้จริงจ้งถู่เคร่งขรึมลงไป ก่อนจะเอ่ยออกมาสั้นๆ

ในตอนนั้นจ้าวเฟิงตอบรับคำไหว้วานจากเทพแท้จริงของสำนักรากฐานเทพให้พาหานหนิงเอ๋อร์หนีไปต่อหน้าต่อตาเขา

เทพแท้จริงจ้งถู่จึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชักจูงจ้าวเฟิง

“หากเป็นเช่นนั้นก็สังหารพวกเขาให้หมดแทนแล้วกัน!”

ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งมีสีหน้าเย็นชา

ถ้าหากไม่ใช่เพราะสถานการณ์บีบบังคับ หอมังกรเหลืองก็ไม่อยากล่วงเกินอัจฉริยะอย่างจ้าวเฟิงจริงๆ

พรึ่บ! จ้าวเฟิงกลับมายังข้างกายพวกเผ่าหมอกสวรรค์ ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ รอบบริเวณรีบเอาอกเอาใจเขา

อย่างไรเสีย ศักยภาพที่จ้าวเฟิงแสดงออกมาในวันนี้ ก็แสดงให้เห็นว่าภายหน้าเขาสามารถกลายเป็นเทพโบราณได้

ในดินแดนเทพรกร้าง เทพโบราณนับว่าเป็นกำลังรบระดับสูงแล้ว

“สหายจ้าว ด้วยความสามารถของเจ้า หากเข้าร่วมการประลองรายชื่อปฐมเทพของเขตผาเก่า จะต้องอยู่ในยี่สิบลำดับต้นแน่!”

ปฐมเทพเจี้ยนเฟิงอิจฉาจ้าวเฟิงอยู่บ้าง

ถึงแม้พลังของปฐมเทพเจี้ยนเฟิงจะแข็งแกร่ง แต่ยังอีกยาวไกลกว่าจะเข้าเป็นหนึ่งในรายชื่อได้

ส่วนอัจฉริยะอีกคนและผู้อาวุโสผมฟ้าของเผ่าหมอกสวรรค์แสดงท่าทีเป็นมิตรกับจ้าวเฟิงมากขึ้นกว่าเดิม

“มิได้ ผู้ถูกเลือกยี่สิบลำดับแรกในรายชื่อปฐมเทพ แต่ละคนล้วนแต่มีพรสวรรค์สูงส่ง ไม่อาจประมาทได้!”

จ้าวเฟิงพูดอย่างถ่อมตัว

ทางฟากหานหนิงเอ๋อร์เห็นจ้าวเฟิงอ่อนน้อมถึงเพียงนี้ ก็อดจะระบายยิ้มออกมาไม่ได้

นางเคยเห็นพลังที่แท้จริงของจ้าวเฟิงมาก่อน กระทั่งเทพแท้จริงขั้นสามเขายังสังหารลงได้อย่างง่ายดาย

นั่นแปลว่าหากจ้าวเฟิงเข้าร่วมการประลองรายชื่อปฐมเทพ อย่างน้อยน่าจะติดสิบลำดับแรกด้วยซ้ำ หรืออาจจะสูงกว่านั้น!

“คุณชายจ้าว คนของหอมังกรเหลืองอยู่บนยอดเขาทิศตะวันตก ท่านพูดเอาไว้ไม่มีผิดเลย ศิษย์พี่ของข้าทรยศสำนักรากฐานเทพแล้วจริงๆ!”

หานหนิงเอ๋อร์ส่งเสียงบอกจ้าวเฟิงด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

ถึงอย่างไร ความยุ่งยากนี้ก็เกิดขึ้นเพราะนาง ถ้าหากนางไม่ไปหาศิษย์พี่ก็คงจะไม่ชักจูงคนของหอมังกรเหลืองมา

“ตอนนี้อย่าพูดเรื่องนี้เลย จากนี้จงเชื่อฟังข้า ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรเจ้าจงอย่าสงสัย!”

เสียงสงบนิ่งของจ้าวเฟิงดังขึ้นในหัวหานหนิงเอ๋อร์

“อืม!” หานหนิงเอ๋อร์รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาดเมื่อเห็นใบหน้าที่สงบนิ่งไม่ตื่นตระหนกของจ้าวเฟิง

ข้างๆ กันนั้นเป็นศิษย์พี่ของหานหนิงเอ๋อร์ เขามองจ้าวเฟิงด้วยสายตาหวั่นเกรง ถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าสถานะของตนเองถูกเปิดเผยแล้ว

ฟิ้ว! แววตาของจ้าวเฟิงจ้องไปส่วนลึกใต้ลานประลอง

“ในตอนนี้เราเป็นพันธมิตรกันแล้ว แต่พลังของเจ้าแข็งแกร่งจนเกินไป ข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร!”

จ้าวเฟิงเจรจากับชายผิวดำ

“ก็คงตกลงกันเพียงลมปากเท่านั้น ตอนนี้ข้ากำลังทำลายค่ายกลอยู่ จึงปล่อยไปไม่ได้ ส่วนเจ้าก็ลงมาไม่ได้เช่นกัน!”

คำพูดของชายผิวดำดูเหนื่อยหน่ายอยู่ไม่น้อย

ถึงแม้เขาจะร่วมมือกับจ้าวเฟิง แต่เหตุการณ์ในตอนนี้ต่างไปจากปกติ คนทั้งสองจึงตกลงกันเพียงลมปากเท่านั้น

ชายผิวดำลอบหัวเราะในใจ การรับปากเพียงลมปากย่อมไม่มีเงื่อนไขใด แต่จ้าวเฟิงจะมีวิธีอะไรอื่น?

แต่จ้าวเฟิงเป็นแค่ปฐมเทพเท่านั้น ถึงตอนนั้นหากกล้ามาเพียงคนเดียว เขาจะสังหารอีกฝ่ายเสีย

“เจ้าสามารถทำร้ายตนเอง ลดทอนกำลังรบลงไป!”

จู่ๆ เสียงสงบนิ่งของจ้าวเฟิงดังขึ้นในหัวชายผิวดำ

ชายผิวดำที่กำลังหัวเราะอยู่ชะงักไปในทันที

‘วิธีทำลายเช่นนี้ เจ้าหนุ่มนี่ก็ยังคิดออกมาได้!’

ชายผิวดำลอบด่าในใจ แต่ถ้าหากเขาไม่ตอบตกลง ไม่ใช่แปลว่าเขาไม่มีเจตนาจะร่วมมือกับจ้าวเฟิงหรอกหรือ เช่นนั้นจ้าวเฟิงย่อมต้องใช้เสวียนอ้าวห้าธาตุต่อ เพื่อลดพลังของผนึกห้าธาตุ

“ข้าควบคุมเวลาที่ค่ายกลจะทลายลงไม่ได้ ถ้าหากค่ายกลยังไม่พังทลายก่อนงานประลองยุทธ์จะจบลง ข้าจะทำร้ายตนเองให้บาดเจ็บสาหัส…”

ชายผิวดำไม่ใช่คนโง่ ถ้าหากเขาทำร้ายตนเองอย่างหนักในตอนนี้ แล้วค่ายกลทลายลงก่อนที่งานประลองยุทธ์จบลง เขาก็คงตายแล้ว!

“ได้!” ในที่สุด ทั้งสองคนก็ตกลงกันได้

พลังฝึกตนของชายผิวดำคือเทพแท้จริงขั้นห้า

ถ้าหากก่อนงานประลองยุทธ์จะจบลงแล้วค่ายกลยังไม่ทลายลงไป ชายผิวดำก็จำเป็นต้องทำร้ายตนเอง เพื่อให้ปลดปล่อยกำลังรบสี่ส่วนได้เท่านั้น

แน่นอน ระดับความเสียหายเช่นนี้ นอกเหนือจากชายผิวดำแล้ว คนอื่นยังแบกรับไม่ไหว

แต่ขอแค่ชายผิวดำมีอาการบาดเจ็บบนร่าง จ้าวเฟิงก็พอมีหวังจะรับมือเขา หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่ถูกคุกคาม

“บอกข้ามา ในนี้มีอะไรบ้าง?” จ้าวเฟิงเอ่ย

“นี่คงจะเป็นสถานที่ที่จอมเทพห้าธาตุเคยปิดด่านฝึกตนกระมัง!”

ชายผิวดำบอกด้วยความสัตย์จริง

“จอมเทพห้าธาตุ?” จ้าวเฟิงตื่นตะลึงไปในทันที

เหนือกว่าเทพโบราณก็คือจอมเทพ

จอมเทพเรียกได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของดินแดนเทพรกร้าง ไม่มีใครเคยเห็นร่องรอยหนำซ้ำสัญลักษณ์ของขั้วอำนาจห้าดาวคือต้องมีจอมเทพผู้หนึ่งคอยดูแล

จ้าวเฟิงไม่ได้เชื่อในคำพูดของชายผิวดำทั้งหมดแน่นอน

หลังจากที่ตกลงกับชายผิวดำได้แล้ว จ้าวเฟิงก็เริ่มชมงานประลองยุทธ์

ตูม โครม! บนลานประลองเมื่อการประลองครั้งนี้จบลงไปแล้ว สตรีผู้เสนอตัวขึ้นไปบนลานประลองเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างหวุดหวิด

งานประลองยุทธ์ผาเก่าดำเนินต่อไป

ในตอนนี้ไม่มีใครกล้าท้าประลองจ้าวเฟิง อย่างไรเสียกำลังรบที่จ้าวเฟิงปลดปล่อยออกมาก็คล้ายคลึงกับปฐมเทพจินเจินผู้อยู่ในยี่สิบลำดับแรก แต่ดวงตาของจ้าวเฟิงกลับเอาแต่จ้องปฐมเทพหมัวกุ่ยเอาไว้ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ

“บ้าเอ๊ย เจ้าเด็กนี่!”

ปฐมเทพหมัวกุ่ยก่นด่าในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

ยามที่เขาท้าทายจ้าวเฟิง ยังบอกอีกฝ่ายเลยว่าเขาไม่กล้าขึ้นลานประลอง

แต่ในขณะนี้กลับเป็นเขาเองที่ไม่กล้าขึ้นเวทีไป!

เพราะปฐมเทพหมัวกุ่ยยังล่วงรู้มาว่าตนเองไม่ใข่คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิง ในทันทีที่เขาขึ้นไปบนลานประลอง ต้องถูกจ้าวเฟิงดูหมิ่นเหยียดหยามแน่

ปฐมเทพตี้หลินเองก็ไม่กล้าขึ้นไปบนลานประลองเช่นกัน

ก่อนนี้ตอนที่ปฐมเทพตี้หลินใช้ค่ายกลส่งข้ามก็เคยเจอจ้าวเฟิง ในตอนนั้นเขาและชาวเผ่าตรงไปไล่ล่าสังหารจ้าวเฟิง แต่สุดท้ายแล้วไม่มีผลใดๆ

ต่อให้ไม่มีเรื่องนี้ในพื้นที่ลับรกร้างโบราณ ปฐมเทพตี้หลินก็มีปัญหากับจ้าวเฟิงไม่น้อย

ดังนั้นปฐมเทพตี้หลินจึงไม่กล้าขึ้นลานประลอง

โครม! บนลานประลองเกิดเสียงดังอึกทึกครึกโครม

จนที่สุดแล้ว ชายผิวเข้มคนนั้นจึงชิงขึ้นลานประลอง

อีกฟากหนึ่ง ปฐมเทพจินเจินไม่ลังเลแม้แต่น้อย โบยบินออกไปทันที

“จะให้เจ้าได้เห็นความร้ายกาจของผู้ถูกเลือกในรายชื่อปฐมเทพ!”

ปฐมเทพจินเจินมีสีหน้าแน่วแน่

“ฮ่าๆ อย่าไร้สาระนักเลย ลงมือเถอะ!”

ชายผิวเหลืองหัวเราะเสียงดัง ระเบิดพลังออก

“มีอะไรดีๆ ให้ดูแล้ว!”

“ไม่รู้ว่าสายเลือดบรรพกาลผันแปรแห่งสำนักมังกรพรางกายจะเอาชนะปฐมเทพจินเจินได้หรือไม่!”

เทพแท้จริงกับปฐมเทพจำนวนมากรอบด้านครึกครื้นกันอีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version