บทที่ 659 ถอยก้าวหนึ่งเป็นการชั่วคราว
สัตว์เขาเดียวอสูรตัวนั้น ทั่วร่างกายของมันเต็มไปด้วยเกล็ดสีม่วง รอบกายห่อหุ้มด้วยเพลิงอัสนี สาดซัดกลิ่นอายยิ่งใหญ่ของราชันออกมา ก่อนร่อนลงบนผืนน้ำ
เมิ่งซีที่อยู่ภายใต้การคุ้มครองจากพลังราชันที่ยิ่งใหญ่ อยู่ใกล้กับเลือดครึ่งเซียนไม่ถึงครึ่งจั้ง
ในละแวกใกล้สระน้ำ ณ ตำหนักหย่างซิน
บรรดาอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังหวาดหวั่นพากันกลั้นลมหายใจ
ในระยะที่ใกล้เช่นนี้ แล้วยังมีสัตว์อสูรในขั้นราชันอยู่ด้วย ก็ไม่มีใครกล้าขัดขวางเมิ่งซีแล้ว
“หรือว่าเลือดครึ่งเซียนนั่นจะตกอยู่ในเงื้อมมือของเมิ่งซีเสียแล้ว”
เหลยเจิ้น ศิษย์พี่หนานและคนอื่นๆ มองสบตากัน
อัจฉริยะทั้งสองคนนี้ก็มองมาที่จ้าวเฟิงด้วยแววตาเป็นคำถามเช่นกัน
จ้าวเฟิงมีพลังครึ่งก้าวสู่ราชัน ก่อให้เกิดกลิ่นอายมหาศาล บางทีอาจจะสามารถก่อกวนเมิ่งซีได้
สำหรับโม่เทียนอวี่ เขาเป็นศิษย์จากสำนักศักดิ์สิทธิ์หนึ่งพันเดียวดายเช่นกัน จึงไม่ได้แย่งชิงกับเมิ่งซี
“ถ้าหากเลือดครึ่งเซียนถูกนางช่วงชิงไปง่ายๆ เช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว”
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจ้องเขม็งที่เมิ่งซีและเลือดครึ่งเซียน
เขารู้ตัวว่าตนเองไม่สามารถประมือกับเมิ่งซีและสัตว์อสูรในขั้นราชันตัวนั้นได้
เลือดครึ่งเซียนมีพลังเซียนแอบแฝงอยู่ ตัวของมันเองย่อมมีความพิเศษไม่เหมือนใคร
ถ้าหากเลือดครึ่งเซียนเป็นเพียงสิ่งของที่ไร้แก่นสาร ช่วงชิงไปได้โดยง่ายแล้วล่ะก็ วิชา ‘เคลื่อนย้ายมิติ’ ของจ้าวเฟิงน่าจะฉกชิงไปได้นานแล้ว
ในขณะที่ฝูงชนจับจ้องอยู่ เมิ่งซีค่อยๆ เข้าใกล้เลือดครึ่งเซียนไปทุกที
ใบหน้างามราวห้วงฝันของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ สูดหายใจกระชั้นขึ้น
“เลือดบริสุทธิ์หยดหนึ่งของครึ่งเซียน ที่แท้มีพลังเซียนกดดันที่รุนแรงเช่นนี้แฝงอยู่…”
เมิ่งซีขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนล้าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน นี่ขนาดยังได้รับการคุ้มกันจากพลังราชัน
ในทุกๆ ก้าวย่างที่เข้าไปใกล้นั้น นางรู้สึกได้ถึงการต่อต้านและความไม่เป็นมิตรของ ‘เลือดครึ่งเซียน’ ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
วิ้ง!
ระลอกสีทองเจิดจ้าของเลือดครึ่งเซียน ปลดปล่อยแรงกดดันพลังเซียนที่ไร้รูปร่างไปทั่วแปดทิศ
ในเวลาสั้นๆ พลังน่าสะพรึงกลัวกลุ่มก้อนนั้นเกิดเป็นลมพายุหมุนบ้าคลั่ง ทั้งตำหนักหย่างซินมีเศษหินดินทรายปลิวว่อน
พรึ่บ พรึ่บ พรั่บ!
ในระยะใกล้ๆ กับสระน้ำ มีอัจฉริยะจำนวนมากลอยละล่องออกไป
อึก! อึก!
ส่วนอัจฉริยะที่อยู่ใกล้ๆ หน่อยก็กระอักเลือดล้มลงบนพื้น
มุมปากของเหลยเจิ้นมีคราบเลือดไหลออกมา ร่างกายถอยกระเด็นไปหลายจั้ง
ศิษย์พี่หนานและโม่เทียนอวี่ก็ถอยร่นไปไกลหลายก้าว
“เป็นอย่างที่คิด” จ้าวเฟิงที่ยืนอยู่ที่เดิมร่างกายพลันสั่นโงนเงน
เมิ่งซีที่อยู่ใกล้ที่สุดได้การปกป้องจากพลังราชัน แต่ก็ยังร้องออกมา เลือดลมในกายปั่นป่วน ใบหน้าหมดจดแดงก่ำขึ้นจนกลายเป็นความงามล่มเมือง
“พรสวรรค์สายเลือดของเมิ่งซีผู้นี้จะค่อนไปทางแขนงดวงวิญญาณ กายเนื้อไม่ถือว่าแข็งแกร่งอะไรนัก หากเปลี่ยนเป็นข้า บางทีอาจจะสำเร็จไปแล้วก็ได้” จ้าวเฟิงลอบคิดในใจ
ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ถึงจะเป็นราชันธรรมดาก็ไม่สามารถครอบครองเลือดเซียนได้โดยง่าย
อัจฉริยะส่วนหนึ่งที่อยู่ในที่แห่งนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ว่าเมิ่งซีก็ไม่ได้ถอดใจ นางยังมีความเป็นไปได้มากที่จะช่วงชิงเอาเลือดเซียนมาได้
“เก็บ!”
เมิ่งซีที่ได้พลังมหาศาลของขั้นราชันโบกมือขาวเนียนราวหยก แรงดึงดูดที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น ครอบคลุมด้านบนของเลือดครึ่งเซียน
จะมองเห็นลำแสงจางๆ คล้ายภาพมายาที่โปร่งแสงด้วยตาเปล่า ค่อยๆ ห่อหุ้มเลือดครึ่งเซียนเอาไว้
ตึง!
เลือดครึ่งเซียนเป็นประหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ดิ้นรนอย่างสุดแรง
โครม ฮู่!
สัตว์เขาเดียวอสูรร้องคำรามเสียงต่ำ พลังมหาศาลของราชันกระจายออกมา อากาศในละแวกนั้นคล้ายถูกแยกออกด้วยเพลิงอัสนีสีม่วง
ทั้งสองร่วมมือกันฝืนควบคุม ‘เลือดครึ่งเซียน’
วิ้ง!โครม โครม…
แรงกดดันจากพลังเซียนของเลือดครึ่งเซียนทะลวงผ่านความว่างเปล่ารอบตัว เหล่าอัจฉริยะที่อยู่ในละแวกสระน้ำติดร่างแหอีกครั้ง กระเด็นออกไปไกลอย่างอเนจอนาถยิ่ง
“ถอยก่อน!”
จ้าวเฟิงต้านทานแรงกดดันของเลือดครึ่งเซียน แล้วค่อยๆ ถอยหลังไปช้าๆ
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
หางตาของเขาก็มองไปยังบุรุษหนุ่มหยางกวงที่ยืนอยู่บนหลังคา ในใจนึกระแวดระวัง ทว่าดวงตาของเวินลั่วอันกลับจ้องเขม็งไปที่เลือดครึ่งเซียน แทบจะไม่ใส่ใจจ้าวเฟิงเลยแม้แต่นิด
“ให้เจ้าพวกนี้ผลาญพลังของ ‘เลือดครึ่งเซียน’ ก่อนแล้วกัน” บุรุษหนุ่มหยางกวงยืนเอามือไพล่หลัง
ระลอกพลังที่เหลือส่วนหนึ่งซึ่งหมุนวนออกมาไม่มีผลอะไรกับเขา
ในเวลาดังกล่าว
อัจฉริยะจำนวนมากหวาดกลัวอย่างยิ่ง ส่วนมากต่างถอยออกจากพื้นที่สิบจั้งต้องห้าม
ในระยะเวลาสั้นๆ ยังไม่มีใครกล้าแย่งชิง ‘เลือดครึ่งเซียน’ กับเมิ่งซี
ในช่วงเวลานั้น เมิ่งซีกลายเป็นตัวละครหลักเพียงคนเดียวในบริเวณสระน้ำ
“ศิษย์พี่หนานกงทำไมจึงไม่มาด้วย?”
จ้าวเฟิงคิดอะไรออก จึงหันไปถามต่งเหวินเจี้ยนที่อยู่ด้านข้าง
ในเหล่าอัจฉริยะแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ หนานกงเซิ่งจัดว่าเป็นอันดับหนึ่ง หากว่าเขามาที่นี่ บางทีอาจจะยังพอแย่งชิงกับเมิ่งซีได้
“ศิษย์พี่หนานกงยังคงรอเอา ‘กระบี่ฟ้าดิน’ ตอนนี้น่าจะได้รับข่าวแล้ว”
ต่งเหวินเจี้ยนเอ่ย
คนในฝั่งของตำหนักหย่างซินไปรายงาน ‘หนานกงเซิ่ง’ ที่หอหมื่นทรัพย์นานแล้ว
ริมสระน้ำ เหลือเพียงแค่เมิ่งซีที่กำลังทุ่มเทแรงทั้งหมดในการเก็บเกี่ยวเลือดครึ่งเซียน
นางทุ่มเทแรงกายแรงใจทำให้ระยะห่างระหว่างตนเองกับเลือดครึ่งเซียนเข้าใกล้กันอีกเล็กน้อย
“ถ้าหาก ‘หนานกงเซิ่ง’ มาที่นี่แล้วล่ะก็ เรื่องราวคงวุ่นวายกว่านี้มาก”
เมิ่งซีรู้สึกตึงเครียดไม่น้อย
เวลาค่อยๆ ผันแปรไป เลือดครึ่งเซียนก็ยังดิ้นรนอย่างรุนแรง
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดมีสีหน้าตึงเครียด ก็ในเมื่อเลือดครึ่งเซียนเข้าใกล้มือนางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“เมิ่งซีผู้นี้ใช้วิธีการอะไร เหตุใดจึงสามารถควบคุมสัตว์อสูรในขั้นราชันได้?”
จ้าวเฟิงถอยหลังออกห่างอย่างช้าๆ
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็หยุดลงที่กิเลนหยกสีม่วงชิ้นหนึ่งในมืออีกข้างของเมิ่งซี
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” จ้าวเฟิงเข้าใจในทันที
ถ้าหากไม่ได้พลังจากภายนอกมาเสริม ถึงเมิ่งซีจะมีสายเลือดรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ ก็ยากที่จะควบคุมสัตว์อสูรในขั้นราชัน
เพียงแต่จ้าวเฟิงไม่เข้าใจ กิเลนหยกสีม่วงชิ้นนี้เหตุใดจึงกลายมาเป็น ‘กลโกง’ ที่ช่วยให้สามารถควบคุมสัตว์อสูรในระดับราชันได้
เขาคิดไปคิดมา มีเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้นคือ…กิเลนหยกสีม่วงเดิมทีก็มาจากอุทยานครึ่งเซียน อีกทั้งยังผ่านการหลอมแบบพิเศษ จึงสามารถควบคุมสัตว์เขาเดียวได้
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้าไม่ร่วมแย่งชิงแล้วหรือ?”
ศิษย์พี่หนานและต่งเหวินเจี้ยนมองเห็นจ้าวเฟิงถอยไปไกล จึงเกิดความไม่เข้าใจอยู่ส่วนหนึ่ง
ในเหล่าอัจฉริยะที่อยู่ในสถานการณ์นี้ จ้าวเฟิงมีพลังของครึ่งก้าวสู่ราชัน มีความเป็นไปได้ที่จะขัดขวางเมิ่งซีได้ที่สุด
“ข้าจะเลิกแย่งชิงเลือดครึ่งเซียนก่อน” จ้าวเฟิงเอ่ยตอบ
เขาเดินไกลออกไปเรื่อยๆ แล้วออกห่างจากบริเวณของสระน้ำ
“ถอยก่อนก้าวหนึ่ง ถึงข้าจะโชคดีช่วงชิงเอา ‘เลือดครึ่งเซียน’ มาได้
แต่ย่อมไม่สามารถรับมือกับการโจมตีจากเมิ่งซี สัตว์อสูรในขั้นราชัน รวมไปถึงบุรุษหนุ่มหยางกวง แล้วถอนตัวออกมาได้โดยไม่บาดเจ็บ” จ้าวเฟิงคิดคำนวณในใจ
ดังนั้นในขั้นแรกเขาจึงตัดสินใจถอนตัวออกจากการแย่งชิงเลือดครึ่งเซียน
นี่มิใช่การหลอกลวงแต่อย่างใด จ้าวเฟิงออกจาก ‘ตำหนักหย่างซิน’ จริงๆ
เมี้ยว เมี้ยว!
จ้าวเฟิงยื่นมือ เรียกเจ้าแมวขโมยตัวน้อยออกมา
เจ้าแมวขโมยเดินสะอึกมาทางจ้าวเฟิง แล้วขมวดคิ้วนิ่วหน้าใส่เขาอย่างไม่พอใจ
เนตรจิตวิญญาณเหมันต์
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงเป็นเสมือนวารีสีฟ้าเข้ม แก่นจิตวิญญาณเหมันต์ทะลวงผ่านดวงวิญญาณของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย
เมี้ยว~
แมวขโมยตัวน้อยได้สติ สมองปลอดโปร่งขึ้นหลายส่วน
“แมวขโมยตัวน้อย เจ้ารออยู่ที่ตำหนักหย่างซิน” จ้าวเฟิงเอ่ยสั่ง
เจ้าแมวมองไปทางเมิ่งซีและสัตว์อสูรในขั้นราชัน ศีรษะเล็กๆ สั่นไปมาเหมือนกับกลองป๋องแป๋ง
มันเป็นสัตว์วิเศษที่มีความปราดเปรียว แต่ร่างกายของมันไม่จัดว่าแข็งแกร่ง จะสามารถแบกรับแรงกดดันของเลือดครึ่งเซียนได้อย่างไร?
แค่สัตว์เขาเดียวตัวนั้นสะอึกออกมา เกรงว่าคงมีแต่จะทำให้มันหนังหลุดก็เท่านั้น
“เจ้ารออยู่ที่นี่ คอยสังเกตการณ์ให้ข้า”
จ้าวเฟิงย่อมไม่ได้หวังให้เจ้าแมวขโมยไปฉกชิงเลือดครึ่งเซียนมาให้ ด้วยขนาดตัวของมัน เกรงว่าจะเข้าใกล้เลือดครึ่งเซียนได้ไม่กี่จั้ง
เมี้ยว เมี้ยว!
ที่สุดแล้วเจ้าแมวขโมยตัวน้อยผงกศีรษะ ดวงตาแมวคู่นั้นกลิ้งกลอก ลอดความเจ้าเล่ห์ออกมาทันใด แล้วส่งสัญญานไปให้จ้าวเฟิง
“หืม? เจ้าเข้าใจแผนการของข้าก็ดีแล้ว” จ้าวเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง
ไม่เสียทีที่เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเป็นเหมือนจิ้งจอกเฒ่า เข้าใจเจตนาของจ้าวเฟิงอย่างรวดเร็ว
พรึ่บ! เจ้าแมวขโมยตัวน้อยยืนอยู่บนพื้น สั่นสะท้านน้อยๆ แล้วหายวับไปหลบซ่อนอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของตำหนักหย่างซิน
จ้าวเฟิงนั่งอยู่บนม้าเพลิง ด้านหลังของเขามีมนุษย์แมลงปอสองตัวตามหลังอยู่
“ถ้าหากมีศัตรูแข็งแกร่งอย่างเมิ่งซีอยู่ที่ตำหนักหย่างซิน ที่นี่ก็แทบไม่มีความหมายใดต่อข้า แล้วข้าจะมีพลังราชันที่สมบูรณ์ก็ต่อเมื่ออยู่ในสภาวะเนตรสวรรค์เท่านั้น!”
เขาออกไปจากตำหนักหย่างซินโดยไม่หันหลังกลับ