บทที่ 665 พูดง่ายแต่ทำยาก
อุทยานครึ่งเซียน สุสานใจกลาง
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกุมกิเลนหยกสีม่วงไว้ในมือ มันนั่งบนสัตว์อสูรขั้นราชัน แยกเขี้ยวเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ด้วยท่าทีของผู้มีชัย
“เจ้าแมวตัวนี้ ยังไม่ยอมเอาหยกคืนให้ข้าอีก” เมิ่งซีโกรธจนตัวสั่น ใบหน้างามราวห้วงฝันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและอับอายเหลือประมาณ
แต่ว่าเจ้าแมวขโมยตัวน้อยควบคุมสัตว์ขั้นราชันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเมิ่งซีแต่อย่างใด มันแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ดรุณีผู้งดงามชวนฝันคนนั้นในทันที
วูบ!
เนตรสวรรค์ที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือศีรษะเผยแววเย้ยหยันออกมาก่อนจะค่อยๆ จากไป
“จ้าวเฟิงผู้นี้ ที่แท้…” บุรุษหนุ่มหยางกวงพลันรู้สึกใจหนักอึ้ง
เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่า จ้าวเฟิงที่ดูเหมือนจะถอดใจจากการแย่งชิงเลือดครึ่งเซียนแล้ว อยู่ดีๆ ก็ข้ามฟ้าโผล่มาสอดการช่วงชิงของอัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสาม
ถ้าหากบรรดาอัจฉริยะทั้งสามยังเสมอกันอยู่ จ้าวเฟิงก็จะไม่ลงมือ
แต่เมื่อครู่เกิดสถานการณ์คับขัน เมื่อหนานกงเซิ่งตกอยู่ในที่นั่งลำบาก เมิ่งซีและบุรุษหนุ่มหยางกวงร่วมมือกัน จ้าวเฟิงจึงโผล่มาสอดมือเข้ายุ่งในเรื่องนี้
“แต่ไหนแต่ไรมา ถึงข้าและเมิ่งซีจะร่วมมือกันก็ไม่ได้มีข้อได้เปรียบจนเอาชนะอย่างสิ้นเชิงได้ แถมในตอนนี้สัตว์อสูรราชันตัวนั้นกลายเป็นพวกของจ้าวเฟิงไปแล้ว” สีหน้าของเวินลั่วอันยากจะคาดเดา
เขาค่อยๆ ระลึกได้ว่า ถึงจ้าวเฟิงจะอยู่ที่อื่นแต่กลับสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้
สวบ!
ลำแสงกระจ่างใสสว่างวาบ เลือดครึ่งเซียนหลุดลอดออกจากการควบคุม ตรงดิ่งเข้าไปยังทิศทางของ ‘สุสานใจกลาง’
“ตาม!”
หนานกงเซิ่งลากร่างเงาสีเงินตามไปติดๆ
ในตอนนี้
สัตว์อสูรขั้นราชันโดนเจ้าแมวขโมยตัวน้อยควบคุม ถึงหนานกงเซิ่งจะไม่ขัดขวางการร่วมมือกันของเมิ่งซีและเวินลั่วอัน ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีก
เมิ่งซีและเวินลั่วอันสบตากันครู่หนึ่ง
เมิ่งซีย่อมหวังว่าจะสามารถร่วมมือกันชิงกิเลนหยกสีม่วงคืนมา แต่เวินลั่วอันเริ่มแสดงท่าทีลังเลเล็กน้อย
วูบ!
ดวงตาไร้รูปร่างที่เลือนรางปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยอีกครั้ง แล้วทะลักพลังที่ยิ่งใหญ่รุนแรงของราชันออกมา
คนทั้งสองหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง
เกินจะคาดคิดได้ว่าดวงตาไร้รูปร่างที่ข้ามอากาศมานั้นมีพลังอยู่ในขั้นราชัน
คนทั้งสองคิดจะเอาชนะเจ้าแมวขโมยและสัตว์อสูรที่ได้การสนับสนุนจากดวงตาข้ามระยะทาง แล้วชิงกิเลนหยกกลับคืนมา ก็เป็นเรื่องยากไม่ใช่น้อย
เมี้ยว~
เจ้าแมวต้วน้อยควบคุมสัตว์อสูรในชั้นราชัน ไม่ได้สนใจคนทั้งสองแต่อย่างใด เอาแต่ไล่ตามเลือดครึ่งเซียนอย่างไม่ลดละ
เมิ่งซีและเวินลั่วอันก็ไม่ใช่หมูในอวย พวกเขามีเป้าหมายอยู่ที่ ‘เลือดครึ่งเซียน’ เช่นกัน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก คนหลายคนก็ตามหนานกงเซิ่งไปติดๆ
วิ้ง!
หนานกงเซิ่งกระตุ้นเคล็ดวิชามิติ แล้วเพียรพยายามควบคุมเลือดครึ่งเซียนเอาไว้
ในเวลานี้เอง เจ้าแมวขโมยตัวน้อย เวินลั่วอัน กับเมิ่งซีตามมาทันกันแล้ว
เวินลั่วอันไม่พูดอะไรให้มากความ โจมตีหนานกงเซิ่งอย่างรุนแรงไประลอกหนึ่ง
“จ้าวเฟิง! ยังไม่ยอมช่วยข้าอีก” หนานกงเซิ่งเอ่ยเสียงต่ำ
เขาพอจะดูออกว่าใครเป็นเจ้าของดวงตาข้ามระยะทางนั่น แต่ว่าเหมือนจะไม่มีการตอบรับใด
เมี้ยว! เจ้าแมวขโมยตัวน้อยที่กำลังควบคุมสัตว์อสูรในขั้นราชันอยู่ ก็เริ่มลงมือโจมตีเมิ่งซีและหนานกงเซิ่ง
ในพริบตาเดียว ทั้งบริเวณนั้นก็เริ่มต่อสู้กัน
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยกับหนานกงเซิ่งร่วมมือกันรับมือเมิ่งซีและเวินลั่วอัน
อย่าเพิ่งตกลงว่า ‘เลือดครึ่งเซียน’ จะเป็นของใคร ทั้งสองฝ่ายมีพรรคพวกของตนเอง ร่วมมือกันรับมือกับศัตรูที่เก่งกล้าสามารถก่อน
“ดวงตาข้ามระยะทางของจ้าวเฟิงสามารถลงมือได้ตลอดเวลา” บุรุษหยางกวงตึงเครียดขณะสื่อสารกับเมิ่งซี
ในเวลาดังกล่าว
เวินลั่วอันก็รู้สึกว่าศัตรูตัวฉกาจของตนไม่ใช่หนานกงเซิ่งแต่เป็นจ้าวเฟิง
มีคำโบราณบอกไว้ เราวางแผนเขาเองก็วางแผนเช่นกัน
ตัวของจ้าวเฟิงอยู่วงนอก หนำซ้ำมิได้เข้าร่วมสู้อย่างแท้จริง สามารถใช้เพียงดวงตาข้ามระยะทางเข้ามาวุ่นวายได้ทุกเวลา
บางทีจ้าวเฟิงอาจไม่ได้มีกำลังรบเทียบเท่ากับอัจฉริยะราชันทั้งสาม แต่ทว่าเขากลับอยู่ในสถานะ ‘หมากนอกกระดาน’ ที่ควบคุมกระดานหมากนี้ทั้งตา
“แต่พวกเราไม่อาจยอมแพ้เรื่องเลือดครึ่งเซียนได้” ไยเมิ่งซีจะไม่รู้ซึ้งในข้อนี้
ทันทีที่หนานกงเซิ่งช่วงชิงเอาเลือดครึ่งเซียนไปได้ การจะขึ้นเป็นราชันอย่างแท้จริงก็ง่ายราวพลิกฝ่ามือ
อัจฉริยะแห่งราชันทั้งสามคน ทั้งหมดตกอยู่ในสถานการณ์บีบบังคับที่จำเป็นต้องแย่งชิงเลือดครึ่งเซียนมา ไม่มีทางให้หันหลังกลับอีก
ในเวลาเดียวกันนี้เอง จ้าวเฟิงนั่งอ่านหนังสืออย่างสบายอารมณ์และเป็นสุขอยู่ภายในห้องเก็บตำรา
“ไม่เลว ไม่เลว เลือดครึ่งเซียนหนึ่งหยดควบคุมอัจฉริยะขั้นราชันทั้งสามเอาไว้ได้”
มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นน้อยๆ เป็นรอยยิ้ม
หลังประสบความสำเร็จในการแย่งชิงสิทธิ์ควบคุมสัตวอสูรขั้นราชัน จ้าวเฟิงก็รู้เลยว่าชัยชนะกลายมาเป็นของตนครึ่งหนึ่งแล้ว
จ้าวเฟิงได้วางแผนไว้ก่อนหน้าที่จะออกจากตำหนักหย่างซิน แกนหลักของแผนนี้ก็คือ ช่วงชิงกิเลนหยกสีม่วงมา
เพราะหากจ้าวเฟิงจะประมือกับอัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนอย่างซึ่งๆ หน้า ก็ยังลำบากอยู่ไม่น้อย ด้วยเพราะพลังอ่อนด้อยกว่าพวกเขาอยู่กึ่งหนึ่ง แต่ทว่าหลังจากที่ได้กิเลนหยกสีม่วงมาแล้ว สถานการณ์ก็ดูจะเอื้อมาทางจ้าวเฟิงอยู่บ้าง
เขาไม่หวั่นเกรงที่จะต้องประมือกับคนทั้งสามอีกต่อไป
วูบ วูบ วูบ!
จ้าวเฟิงรีบอ่านตำราโบราณในห้องนั้นอย่างรวดเร็ว
ด้วยเพราะมีเวลาอยู่เหลือเฟือ จ้าวเฟิงจึงตั้งอกตั้งใจอ่านเนื้อหาภายในตำราอย่างครบถ้วน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร จ้าวเฟิงมักมีความรู้สึกประหลาดว่าหนังสือเหล่านี้มีชีวิตจิตใจเป็นของตัวเอง เหมือนกับว่ามีพลังจิตวิญญาณที่แปลกประหลาดอยู่ภายใน
“อีกวันสองวันข้าก็จะอ่านหนังสือภายในห้องเก็บตำรานี้จนหมด”
ในความรู้สึกพออกพอใจของจ้าวเฟิง มีวี่แววของความรอคอยปะปนอยู่ด้วย
ในทุกวันเขาอ่านหนังสือครบห้าสิบเล่มอย่างรวดเร็ว
จิตใจโดยมากของจ้าวเฟิงล้วนแต่ทุ่มไปที่สุสานใจกลาง
การแย่งชิงของอัจฉริยะทั้งสามและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยยากที่จะรู้ผลแพ้ชนะ
ไม่ว่าใครก็ตามในหมู่คนทั้งสี่ ก็ยากที่จะควบคุมและนำเลือดครึ่งเซียนออกไปได้ในระยะเวลาอันสั้น
หนึ่งวันต่อมา
เลือดครึ่งเซียนก็นำคนทั้งหมดมายังส่วนที่ลึกที่สุดของสุสานใจกลาง
ภายในสุสานใจกลางมีปราณศพทมิฬที่แข็งแกร่ง แล้วยังมีวิญญาณอาฆาตปรากฏออกมาเป็นครั้งคราวอีกด้วย
วิญญาณอาฆาตเหล่านั้นมีจำนวนไม่น้อยที่ก่อนตายอยู่ในขั้นราชัน ถึงแม้เมื่อตายกลายเป็นดวงวิญญาณอาฆาต พลังจะหายไปกว่าครึ่งก็ตาม แต่ว่าก็ยังสามารถสร้างความยุ่งยากให้อัจฉริยะขั้นราชันทั้งสามคนอยู่ไม่น้อย
และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ มีวิญญาณขั้นราชันจำนวนน้อยนิดที่ค่อนข้างสมบูรณ์เป็นรูปเป็นร่างกลายมาเป็น ‘วิญญาณราชันอาฆาต’ ด้วย
ยังดีที่วิญญาณอาฆาตเหล่านี้หวาดกลัวเลือดครึ่งเซียนอยู่ไม่น้อยจึงไม่กล้าเข้ามาใกล้
มิฉะนั้น หากวิญญาณราชันอาฆาตพวกนี้ดาหน้าเข้ามา บวกกับวิญญาณอาฆาตที่แข็งแกร่งจำนวนมหาศาล อาจจะนำหายนะมาสู่คนเหล่านี้ก็เป็นได้
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวตัวน้อยที่ควบคุมสัตว์อสูรขั้นราชันตามเลือดครึ่งเซียนไปติดๆ
พลังอำนาจของดินแดนต้องห้ามในสุสานใจกลางแห่งนี้ลดลงไปถึงเจ็บสิบส่วนเพราะเลือดครึ่งเซียน
“ไม่เสียทีที่เป็นดินแดนต้องห้ามของอุทยานครึ่งเซียน คนต่ำกว่าขั้นราชันเข้ามาที่นี่น่าจะต้องตายแน่ๆ ต่อให้เป็นคนในขั้นราชันก็ยากจะหนีออกมาอย่างไร้รอยขีดข่วนใดๆ”
จ้าวเฟิงมองทุกอย่างผ่านจักษุประสาทของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยแล้วรู้สึกขนพองสยองเกล้า
อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามก็สั่นสะท้านเพราะหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย
แต่พวกเขาไม่มีทางให้ถอยหลังกลับอีกแล้ว การตามเลือดครึ่งเซียนไปติดๆ กลับกลายเป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุด และในเวลาเดียวกันยังเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่ดีที่สุดอีกด้วย
“หนานกงเซิ่ง ข้ามีความเห็นอย่างหนึ่ง” เมิ่งซีเปิดปากเอ่ยในฉับพลัน
“ข้อเสนออะไร?” หนานกงเซิ่งเอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้าย
ในตอนนี้เขาได้ความช่วยเหลือจากเจ้าแมวขโมยตัวน้อย จึงไม่ยี่หระอะไรกับการร่วมมือกันของเมิ่งซีและเวินลั่วอัน
“พวกเราสองคนร่วมมือกันนำ ‘เลือดครึ่งเซียน’ ออกจากสุสานใจกลาง พอถึงตอนนั้นค่อยคิดกันว่าจะแบ่งเลือดครึ่งเซียนนี้อย่างไร” เมิ่งซีเอ่ย
เมื่อหนานกงเซิ่งฟังแล้วก็มีอาการแปลกไป
ในสุสานใจกลางแห่งนี้เวิ้งว้างอันตราย อีกทั้งยังไม่รู้ว่าภายในนั้นจะมีอันตรายหรือสิ่งต้องห้ามอะไรอีก
“แต่จะให้ใครเป็นคนเก็บรักษาเลือดครึ่งเซียนล่ะ?” หนานกงเซิ่งเอ่ย
ในเวลานี้เอง คนทั้งสองก็รวมพลังช่วยกันควบคุมเลือดครึ่งเซียน
แต่ทางเดินในสุสานมีวิญญาณอาฆาตหรือกระทั่งวิญญาณราชันอาฆาตโผล่มาอยู่เรื่อยๆ
พวกเขาโดนโจมตีจนไม่สามารถยืนอยู่ด้วยกันได้
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของวิญญาณอาฆาตในขั้นราชัน คนจำนวนมากล้วนแต่ต้องคิดหาวิธีหลบหนี
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยรีบโบกกรงเล็บไปมา กระตือรือร้นจะจัดการทั้งหมดเพียงคนเดียว
หนานกงเซิ่งมีสีหน้าแปลกประหลาดไปจากเดิม
“ไม่ได้!”
บุรุษหนุ่มหยางกวงรีบคัดค้านในทันที เบื้องหลังของเจ้าแมวตัวน้อยมีจ้าวเฟิงอยู่ หนำซ้ำวิธีของดวงตาข้ามระยะทางยังแปลกประหลาดเกินจะคาดเดา
ในเวลาช่วงหนึ่ง
เจตนาที่จะร่วมมือกันของคนทั้งสี่ก็ปรากฏความไม่ลงรอยกัน
การจะเอาเลือดครึ่งเซียนมอบไว้ให้ใครคนใดคนหนึ่งเก็บรักษาไว้ อีกสามคนที่เหลือย่อมไม่วางใจ
เวลานี้เอง
วูบ!
ดวงตาไร้รูปร่างดวงหนึ่งปรากฏเหนือศีรษะของกลุ่มคน อัจฉริยะทั้งสามคนใจหายวาบ
ทั้งบุรุษหนุ่มหยางกวงและเมิ่งซีเกลียดชังจนกัดฟันกรอด
“ศิษย์น้องจ้าว เจ้ามีความเห็นอย่างไร?” หนานกงเซิ่งเอ่ยถาม
คนทั้งหลายจ้องมองไปที่ดวงตาข้ามระยะทางเหนือศีรษะด้วยอารมณ์ที่ผสมปนเป
กำลังรบของจ้าวเฟิงผู้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่าอัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสาม แต่กลับควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดและได้สิทธิ์ในการจัดการ
“ง่ายดายนัก! แต่ละท่านเอาเลือดครึ่งเซียนแบ่งเป็นสี่ส่วน แค่นี้ก็เสมอภาคกันแล้ว”
มีเสียงลอยมาจากดวงตาข้ามระยะทางที่อยู่เหนือศีรษะ
กลิ่นอายพลังที่ยิ่งใหญ่ของราชันครอบคลุมเหนือที่แห่งนั้น
“แบ่งเป็นสี่ส่วน?”
คิ้วของคนทั้งหมดขมวดมุ่น วิธีการเช่นนี้ใช่ว่าพวกเขาจะไม่เคยคิดมาก่อน แต่ว่าพลังเซียนที่แฝงอยู่ในเลือดครึ่งเซียนน่ากลัวเกินไป
อันดับแรก ความน่าจะเป็นในการแบ่งเลือดครึ่งเซียนเป็นสี่ส่วนยังน่าสงสัยอยู่ เลือดเซียนหยดหนึ่ง ต้องอยู่ในสภาพเรียบร้อยครบถ้วน
อีกทั้งเลือดเซียนมีวิญญาณ กระทั่งมีสตินึกคิดเสียด้วยซ้ำ ถ้าหากฝืนแบ่งจะทำให้มันระเบิดออก พลังที่น่ากลัวนั้นอาจจะทำให้คนในขั้นราชันล้มตายได้เลยทีเดียว
“เหอะเหอะ ถ้าหากฝืนแบ่งเลือดเซียนย่อมทำให้มันต้องดิ้นรนจนเผาผลาญชีวิตและสตินึกคิด เมื่อการต่อต้านของเลือดเซียนลดต่ำลง ไม่แน่ว่า ‘เคลื่อนย้ายมิติ’ ของข้าอาจจะดูดซึมได้เลยในทันที” จ้าวเฟิงคิดคำนวณไว้ในใจ
กลุ่มคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตัดสินใจที่จะลองดูสักเล็กน้อย
เมี้ยว เมี้ยว!
กริชจักรพรรดิเงาสังหารในมือของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยลอยอยู่กลางอากาศ แล้วปรากฏอยู่ด้านบนเลือดครึ่งเซียน
“อืม พวกท่านร่วมมือกันหลอมรวมพลังเข้าไปภายใน ‘กริชจักรพรรดิเงาสังหาร’ จากนั้นร่วมมือกันแบ่งเลือดเซียน”
จ้าวเฟิงเอ่ยเสนอแนะ
อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนผงกศีรษะน้อยๆ
กริชจักรพรรดิเงาสังหารเป็นอาวุธวิเศษของศาสตร์เงาสังหาร มีระดับขั้นการโจมตีที่แน่นอน ทั้งยังอยู่เหนือการป้องกันใดๆ ใช้แบ่งเลือดเซียนออกจึงค่อนข้างจะเหมาะสม
วิ้ง!
ใช้เจ้าแมวขโมยตัวน้อยเป็นแกนกลาง แล้วทุ่มพลังของอัจฉริยะทั้งสามเข้าไปในกริชจักรพรรดิเงาสังหาร
แต่ทว่ากริชจักรพรรดิยังไม่ทันได้ฟาดฟันลงไป ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที
โครม วิ้ง!
เลือดครึ่งเซียนดิ้นรนจนน่ากลัว ทะลักไอเพลิงสว่างเจิดจ้าออกมา อีกทั้งพลังเซียนก็มากพอที่จะทำให้ราชันคนใดก็ตามหน้าเปลี่ยนสี
เปรี้ยง! เคว้ง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
หนานกงเซิ่ง เมิ่งซี เวินลั่วอัน และสัตว์อสูรในขั้นราชันล้วนแต่กระเด็นออกไป
ในกลุ่มนี้ มุมปากเมิ่งซีมีคราบเลืดไหลออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น แล้วจ้อง ‘จ้าวเฟิง’ ด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว
คนหลายคนมองไปยัง ‘จ้าวเฟิง’ ด้วยแววตาไม่ค่อยเป็นมิตร
ถ้าหากสิ่งที่ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะไม่ใช่ดวงตาไร้รูปร่าง ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจจะลงมือต่อจ้าวเฟิงในเวลาเดียวกันไปแล้ว
“เข้าใจผิดแล้ว!”
จ้าวเฟิงยิ้มแหยๆ เลือดครึ่งเซียนนี้เป็นประหนึ่งดวงวิญญาณ จะรู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างรุนแรง
เลือดครึ่งเซียนกำลังเข้าตาจน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าของกลุ่มคน มันอาจจะตัดสินใจให้ทุกคนตายตกไปตามกัน
ข้อเสนอแนะให้ ‘แบ่งส่วน’ ของจ้าวเฟิงล้มเหลวลงอย่างสิ้นเชิง
เวินลั่วอันรู้สึกคล้ายว่าติดกับดัก แบ่งเลือดเซียน? นี่เป็นหลุมพรางชัดๆ คนที่เอาแต่พูดจะไปรู้อะไร
แซ่ด!
เลือดครึ่งเซียนแยกอัจฉริยะขั้นราชันทั้งสี่กระเด็นออกจากกัน กลิ่นอายเห็นได้ชัดว่าอับแสงลง มันหมุนคว้างเข้าไปภายในสุสานที่ลึกยิ่งกว่าเดิม
“รีบตามไป!”
คนหลายคนยังไม่ทันได้กล่าวโทษจ้าวเฟิง รีบตามเลือดครึ่งเซียนไปติดๆ
“เลือดครึ่งเซียนกลิ่นอายลดลงไปมาก รอเวลาอีกสองวัน จิตใจกับสตินึกคิดจะสูญสลายลงไปมากจนไม่สามารถต่อต้านได้”
ดวงตาข้ามระยะทางของจ้าวเฟิงหายไปกลางอากาศ
จิตใจของเขากลับเข้าสู่ห้องเก็บตำรา
“ยังเหลือหนังสือหลายสิบเล่ม” จ้าวเฟิงเอื้อมมือไปคว้าหมับ แล้วค้นพบว่าหนังสือไม่ได้มีแรงต่อต้านแต่อย่างใด เวลาสองสามวันสุดท้ายมีจำกัดจนเหมือนว่าหดเล็กลง
เขาไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก พยายามอ่านหนังสือที่เหลืออีกหลายสิบเล่มภายในห้องหนังสือจนหมด!