บทที่ 668 ใครจะเป็นผู้ชนะ
ห้องเก็บตำรา ณ อุทยานครึ่งเซียน
มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น “ห้วงความคิดคุนอวิ๋น เจ้าเองก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียว”
เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นเป็นชื่อที่จ้าวเฟิงตั้งให้กับเศษเสี้ยวห้วงคิดครึ่งเซียน เพราะเจ้าของอุทยานครึ่งเซียนมีนามว่าคุนอวิ๋น
ในมิติดวงตาซ้าย
บริเวณพื้นที่ที่มืดมิดปรากฏหยดเลือดสีทองกระจ่างใส นั่นก็คือเลือดบริสุทธิ์ของครึ่งเซียน!
การได้ ‘เลือดครึ่งเซียน’ มานั้นง่ายดายและราบรื่นกว่าที่คิดไว้มากนัก
เลือดเซียนมีวิญญาณความรู้สึก ดังนั้นมันจึงหวาดกลัวและเคารพต่อกลิ่นอายจิตวิญญาณของนายท่านครึ่งเซียนอย่างมาก
เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นแยกออกมาจากแก่นแท้วิญญาณที่สูญสลายของครึ่งเซียน ย่อมต้องมีกลิ่นอายของวิญญาณครึ่งเซียนอยู่แล้ว
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ไร้ประโยชน์’ จากปากของจ้าวเฟิง เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นก็แทบจะกระอักเลือดออกมา
เป็นถึงเศษเสี้ยวห้วงความคิดของครึ่งเซียน แต่ในสายตาของจ้าวเฟิงกลับไม่มีประโยชน์เสียอย่างนั้น
เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋น ถึงแม้ว่าจะห่างไกลจากเศษเสี้ยววิญญาณ แต่ก็มีความคิดและจิต รวมไปถึงความทรงจำเล็กน้อยบางส่วนเป็นของตนเอง
“นายท่าน ท่านได้ ‘เลือดครึ่งเซียน’ มาครองแล้ว สามารถ ‘ใช้เลือดคืนชีวิต’ ให้ข้าได้แล้ว” เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง
มาถึงระดับขั้นครึ่งเซียนแล้ว ต่อให้กายเนื้อสูญสลายกระจัดกระจาย ขอเพียงแค่มีเลือดเพียงหยดเดียวก็สามารถ ‘คืนชีวิต’ ได้
และแน่นอนว่าก่อนหน้านั้นอย่างน้อยต้องมีห้วงคิดจิตวิญญาณอยู่อย่างน้อยเส้นสายหนึ่ง
ในตอนนี้ ทั้งเศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นและเลือดครึ่งเซียนเข้าเงื่อนไขทั้งสองข้ออย่างชัดเจน
เลือดครึ่งเซียนยังเป็นเลือดบริสุทธิ์เสียด้วยซ้ำ
เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นเองก็ไม่ใช่ห้วงคิดจิตวิญญาณธรรมดา มันมีความคิดและความทรงจำ เข้าใกล้ระดับเศษเสี้ยววิญญาณอยู่เหมือนกัน
“คืนชีวิตจากเลือดหยดเดียว นี่เป็นวิธีการที่ขัดลิขิตสวรรค์ในตำนานสินะ”
จ้าวเฟิงมีความคาดหวังอย่างยิ่งยวดกับสิ่งนี้
แต่ว่าเรื่องนี้สำคัญนัก เขาย่อมไม่ทำอะไรผลีผลามเป็นแน่
อันดับแรก
พลังเซียนที่แฝงอยู่ในเลือดครึ่งเซียนน่ากลัวมากเกินไป
ใครจะคาดเดาออกว่าหลังจากที่ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นกำเนิดใหม่ด้วยเลือดหยดเดียว พลังจะสูงส่งขึ้นรวดเร็วขนาดไหน
“รอออกจากอุทยานแล้วค่อยปรึกษาหารือเรื่องนี้เถิด” จ้าวเฟิงเอ่ยตอบ ในใจเขามีวิธีการของตนเองอย่างรวดเร็ว
มีจุดหนึ่งที่สามารถยืนยันแน่ชัด
จ้าวเฟิงไม่สามารถใช้พลังของเลือดครึ่งเซียนทั้งหมดเพื่อ ‘ชุบชีวิตด้วยเลือด’
เขาเองก็ต้องใช้พลังของเลือดเซียนด้วย
ในขณะเดียวกันกับที่เพิ่มพลังความสามารถของตนเอง ยังสามารถบั่นทอนพลังหลังจากเกิดใหม่ของ ‘ครึ่งเซียนคุนอวิ๋น’ ได้
“ยังมีเวลาอีกสองวันครึ่ง อุทยานครึ่งเซียนก็จะปิดตัวลง”
จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างครุ่นคิด
ในเวลาที่เหลืออยู่ เป้าหมายหลักของจ้าวเฟิงไม่ได้อยู่กับแผนการสาละวนเก็บสมบัติอีกแล้ว
“คำสั่งล่าสังหาร ใครจะมีชัยก็ยังไม่อาจรู้ได้”
จ้าวเฟิงมีสีหน้าเย็นชา กลิ่นอายหนาวเหน็บถูกสาดซัดออกมา สายตาจับจ้องไปยังทิศทางของสุสานครึ่งเซียน
ในนาทีเดียวกันนั้นเอง
ณ สุสานครึ่งเซียน ห้องเก็บศพใต้ดิน
อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามกับเจ้าแมวขโมยตัวน้อย ทั้งสี่ร่วมมือกันตัดแยก ‘ร่างศพไหม้เกรียม’
เวินลั่วอันรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บในฉับพลัน
สายเลือดในตำนานอย่างรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ทำให้เขามีความรู้สึกว่องไวต่อกลิ่นอายของภัยอันตรายอย่างมาก
วูบ!
ดวงตาไร้รูปร่างปรากฏขึ้นวูบวาบในห้องสุสานพร้อมเผยแววยิ้มจางๆ
อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคุ้นชินกับดวงตาข้ามระยะทางไปแล้ว
แต่ว่าอารมณ์ของดวงตาข้ามระยะทางในเวลานี้ ทำให้คนทั้งสามรู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้บางอย่าง
เกรงว่าคนทั้งสามคงคาดคิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะประสบความสำเร็จในการฉกชิงเอา ‘เลือดครึ่งเซียน’ มาแล้ว
ความลับเรื่องช่วงชิงเลือดครึ่งเซียนมา จ้าวเฟิงจะทุ่มเทแรงกำลังในการปกปิดต่อไป เขายังต้องเริ่ม ‘แผนการคืนชีวิตครึ่งเซียน’ อีก
ความลับเช่นนี้หากปล่อยให้คนอื่นรู้ เกรงว่าทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่จะต้องสั่นสะเทือนเป็นแน่
ชุบชีวิตคืนให้กับครึ่งเซียน นี่เป็นความคิดเพ้อฝันที่หาญกล้าเพียงใดกัน
“ร่างศพของครึ่งเซียน ข้าต้องการเพียงส่วนกะโหลก”
ดวงตาข้ามระยะทางปรากฏขึ้นกลางอากาศพลางเอ่ยเรียบๆ
ที่ต้องการส่วนกะโหลกศีรษะ เป็นเพราะว่าในขณะที่ครึ่งเซียนต่อต้าน ‘อำนาจเทวะ’ ส่วนศีรษะเผชิญกับฤทธิ์อำนาจมากที่สุด
เรื่องเหล่านี้จ้าวเฟิงได้ยินมาจากเศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋น
“เหอะ! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเลือกก่อน” เมิ่งซีเค้นเสียงเย็นชา
คนพวกนี้กลับไม่ได้คิดอะไรมากนัก
เมิ่งซีจ้องจ้าวเฟิงอย่างเป็นศัตรูด้วยแววตาไม่พอใจ เพราะชายผู้นี้ฉกชิงเอาไพ่ไม้ตายที่อาจารย์ของนางเตรียมไว้ให้นางเป็นเวลานาน
จ้าวเฟิงพลิกสถานการณ์ได้จากไพ่ไม้ตายนี้ จนสามารถเทียบเท่าได้กับอัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคน
“หากไม่ได้การชี้แนะของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย พวกเจ้าจะไม่สามารถเข้ามาถึงภายในนี้ได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับ ‘สุสานครึ่งเซียน’ ข้าอ่านจากหนังสือทั้งหมดภายในห้องเก็บตำราแล้ว จึงมีความเข้าใจมากกว่าพวกเจ้า”
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
สุสานครึ่งเซียน?
อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา
หากมองจากสิ่งบ่งชี้ต่างๆ จ้าวเฟิงควบคุมใจกลางสุสานได้อย่างแท้จริง หรือกระทั่งมีข้อมูลจำนวนมากของทั้งอุทยานครึ่งเซียนด้วย
อีกทั้งจ้าวเฟิงอ่านหนังสือทั้งหมดในห้องเก็บตำรา ฟังแล้วดูเหมือนคนโง่ แต่ที่จ้าวเฟิงจับต้องผลประโยชน์บางอย่างได้ก็สมเหตุสมผลแล้ว
“ก็แค่ส่วนกะโหลกศีรษะ” หนานกงเซิ่งยักไหล่อย่างไม่แยแส
ตอนนี้เขาและจ้าวเฟิงถือว่าเป็นพวกเดียวกัน
สุดท้ายแล้ว อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนก็ยอมรับกลายๆ ให้สิทธิ์จ้าวเฟิงในการได้เลือก ‘กะโหลกครึ่งเซียน’ ก่อน
“แต่ว่าจ้าวเฟิง ในเมื่อเจ้าปรุโปร่งในสุสานครึ่งเซียน เมื่อถึงเวลาก็นำทางพวกเราออกจากที่นี่อย่างปลอดภัยสิ” เมิ่งซีเอ่ยเสนอ
คนทั้งหมดติดอยู่ในส่วนลึกของสุสานครึ่งเซียน เดิมทีหลงทิศไปแล้ว
หลังจากแยกร่างศพแล้วออกจากอุทยานครึ่งเซียน เกรงว่าจะมีอันตรายหนักหนา
“นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว”
ดวงตาข้ามระยะทางลอดยิ้มเย็นออกมา จ้าวเฟิงลอบยิ้มบางๆ กับตนเอง
ในความเป็นจริงแล้ว ขอเพียงแค่ในมือถือชิ้นส่วนของร่างศพอำนาจเทวะ กลิ่นอายพลังของอำนาจเทวะก็สามารถทำให้วิญญาณอาฆาตนับหมื่นภายในสุสานต้องถอยหนีไป
เพียงแต่ว่าอัจฉริยะทั้งสามล้วนแต่จดจ่อกับการแบ่งร่างศพ จึงคิดไม่ถึงเรื่องพวกนี้เป็นการชั่วคราว
เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป
หนึ่งสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร่างศพครึ่งเซียนถูกตัดแยกเสร็จสมบูรณ์แล้ว เวินลั่วอันแบ่งเอาขาทั้งสองข้าง เมิ่งซีเอาส่วนลำแขนทั้งสอง ส่วนบริเวณร่างกายหนานกงเซิ่งเป็นผู้รับไป
“เหลือเวลาอีกเพียงแค่หนึ่งวัน อุทยานครึ่งเซียนก็จะปิดตัวลง” หนานกงเซิ่งเปิดปากเอ่ย
วันสุดท้าย
เวินลั่วอันและเมิ่งซีมองสบตากัน
“พวกเราเพียงแค่ต้องถือชิ้นส่วนของร่างศพอำนาจเทวะไว้ในมือ ก็สามารถทำให้วิญญาณอาฆาตในสุสานถอยร่นไปได้” เสียงของเวินลั่วอันลอยมา
ในเวลานี้เอง
หลังจากที่อัจฉริยะขั้นราชันทั้งสามได้ชิ้นส่วนของร่างศพมาแล้ว จึงคิดหาวิธีนี้ออกมาได้
ทันทีที่มีวิธีเช่นนี้ อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนก็ไม่ต้องพึ่งพาความรู้เกี่ยวกับสุสานครึ่งเซียนของจ้าวเฟิง
เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยนั่งบนร่างของสัตว์อสูรขั้นราชันแล้วออกเดินทางเป็นคนแรก
“ตามไป!”
เมิ่งซีและเวินลั่วอันตามเจ้าแมวขโมยตัวน้อยไปติดๆ
หนานกงเซิ่งเหมือนว่าจะคิดอะไรอยู่ จากนั้นจึงรีบตามไป
เมื่อครบกันหมดแล้ว เจ้าแมวน้อยจึงกลายเป็นผู้นำของกลุ่มนี้
“จ้าวเฟิงผู้นั้นมีข้อมูลของสุสานครึ่งเซียนอยู่ในกำมือ ย่อมไม่ยอมวางมือเรื่องเก็บเกี่ยว ‘เลือดครึ่งเซียน’ เป็นแน่”
“ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาข้ามระยะทางของจ้าวเฟิงได้เปรียบมากในด้านจักษุสัมผัส ไม่แน่ว่าอาจจะหาที่อยู่ของเลือดครึ่งเซียนพบแล้ว” อัจฉริยะขั้นราชันทั้งสามต่างคิดวางแผนไปต่างๆ นานา
โดยสรุปแล้ว
พวกเขาก็ยังเดินตามเจ้าแมวตัวนี้ไป
เมี้ยว~
ในแววตาเยาะเย้ยของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยปราดมองอัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสาม
ทว่ามันยังคงต้องทำท่า ‘มองหา’ ภายในสุสานครึ่งเซียนอยู่ตามคำสั่งของจ้าวเฟิง
วูบ!
ดวงตาข้ามระยะทางจะปรากฏกายขึ้นบ้างในบางครั้ง เหมือนให้ความร่วมมือกับการมองหาของเจ้าแมว
เจ้าแมวขโมยทำเสแสร้งหลายครั้งเพราะอยากจะสลัดอัจฉริยะทั้งสามคนทิ้ง ทุกครั้งล้วนแต่ใช้ ‘ความล้มเหลว’ เพื่อแยกกลุ่ม
“จ้าวเฟิง นี่เจ้าเจอร่องรอยของเลือดครึ่งเซียนหรือไม่?” เสียงของหนานกงเซิ่งลอยมา
“ลักษณะของสุสานครึ่งเซียนสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง แล้วเลือดครึ่งเซียนก็มีขนาดเล็กนัก ไม่รู้ว่าหลบอยู่ที่ซอกมุมใด” จ้าวเฟิงเอ่ยตอบ
ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ จ้าวเฟิงก็ยังให้เจ้าแมวขโมยตัวน้อยไม่ลดละการตามหาเลือดครึ่งเซียน ให้ทำท่าทางมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้
แม้เมิ่งซีและเวินลั่วอันจะสงสัยอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็คงคาดคิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะได้เลือดครึ่งเซียนมาอย่างง่ายดายเช่นนั้น
ในขณะที่ค้นหาย่อมต้องเผชิญกับวิญญาณอาฆาตด้วย
ทว่าทันทีที่นำชิ้นส่วนศพของครึ่งเซียนออกมาก็สามารถทำให้ดวงวิญญาณอาฆาตต้องหลีกหนีด้วยความหวาดกลัว
แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่
ภายในห้องสุสาน มีวิญญาณจักรพรรดิอาฆาตจำนวนไม่มากที่ถึงจะหวาดกลัวร่างศพอำนาจเทวะ ไม่เข้ามาใกล้ แต่ว่าก็ยังสามารถใช้พลังมหาศาลของวิญญาณอาฆาตคอยโจมตีอยู่เนืองๆ
อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนร่วมมือกันตั้งรับวิญญาณจักรพรรดิอาฆาตด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง ต้องค้นหาไปพลาง หาทางรอดไปพลาง
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยนำคนทั้งหมดออกมาถึงทางเข้าของสุสานโดยไม่รู้ตัว
เมี้ยว เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยมีท่าทีหน้าหงอยคอตก นั่งบนสัตว์อสูรขั้นราชันแล้วออกจากสุสานครึ่งเซียนไป
อัจฉริยะทั้งสามถอดใจในการช่วงชิงเลือดครึ่งเซียน ด้วยหมดหวังและทำอะไรไม่ได้
ขนาดของเลือดครึ่งเซียนเล็กจ้อย ในทันทีที่คลาดกับร่องรอย มันหลบซ่อนอยู่ที่มุมไหนก็ราวกับงมเข็มในมหาสมุทร
ยิ่งไปกว่านั้น ภายในสุสานครึ่งเซียนอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่ได้ชิ้นส่วนของร่างศพครึ่งเซียน อัจฉริยะทั้งสามอาจจะตายไประหว่างทางแล้ว
ณ ทางเข้าของสุสาน
เวินลั่วอันมองยังทิศทางที่เจ้าแมวจากไป แววตาสว่างวาบหนึ่ง ฉายแววเย็นชาพาดผ่าน
บุรุษหยางกวงและเมิ่งซียืนเคียงข้างลอบสื่อสารพูดคุยกัน
“ไม่มีปัญหา ข้าจะช่วยเจ้ารับมือเจ้าเด็กนั่นเอง”
ใบหน้างดงามของเมิ่งซีฉายแววโหดเหี้ยมเย็นชา ไม่ว่าจะในแง่ไหนๆ นางก็เกลียดชังจ้าวเฟิงเป็นอย่างยิ่ง หากจะพูดในเรื่องส่วนตัว จ้าวเฟิงฉกชิงกิเลนหยกสีม่วงไป เมิ่งซีจดจำไว้ขึ้นใจ
ในเรื่องส่วนรวม จ้าวเฟิงเป็นอัจฉริยะสายเลือดที่สูงส่งคนใหม่ของสำนักเสวียนเจิน เป็นม้ามืดในอุทยานครึ่งเซียนครั้งนี้ ตั้งแต่ยึดครองทะเลสาบจื่อเยียน เดินทางข้ามผ่านอากาศ ได้ครอบครองธนูเหนือนภา สุดท้ายแล้วยังสามารถรับมือกับอัจฉริยะในขั้นราชันสามคนได้
แต่ละก้าวล้วนแต่ทำให้เห็นความน่ากลัวของอัจฉริยะผู้นี้
แน่นอนว่านางไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าจ้าวเฟิงได้เลือดครึ่งเซียนมาครองแล้ว
มิฉะนั้นคงจะเรียกว่าม้ามืดไม่ได้ แต่ต้องเรียกว่าผู้ได้ชัยอย่างแท้จริง!
“ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของเจ้าเด็กนั่น ต่อให้เป็นวันสุดท้ายก็เพียงพอจะปลิดชีพเขาลงได้ ”
ในรอยยิ้มของเวินลั่วอันแฝงไปด้วยแววอำมหิต
ในขณะที่คนทั้งสองกำลังวางแผนนั่นเอง
เมี้ยว!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยนั่งอยู่บนสัตว์อสูร จู่ๆ ก็ชะงักค้าง ดวงตาแมวคู่นั้นจ้องมองกลับมาอย่างเย็นชาและน่ายำเกรง
โครม!
สัตว์อสูรในขั้นราชันปล่อยพลังมหาศาลกดดันลงบนร่างของบุรุษหนุ่มหยางกวง
หืม? บุรุษหนุ่มหยางกวงใจกระตุกขึ้นอย่างฉับพลัน
อู้ว~
สัตว์อสูรขั้นราชันโจมตีไปที่บุรุษหนุ่มหยางกวงในทันที
มันมีกำลังรบของราชันเพียงเจ็ดสิบส่วน บุรุษหนุ่มหยางกวงย่อมไม่หวาดกลัวเท่าไหร่นัก
แต่ว่าในวินาทีถัดไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก
“คุกกักวิญญาณ!”
ดวงตาไร้รูปร่างที่โปร่งแสงดวงนั้นปรากฏขึ้นเหนือศีรษะคนทั้งสอง ร่างของเวินลั่วอันแข็งค้าง
โซ่อัสนีสีม่วงตรึงรัดดวงวิญญาณเอาไว้
นี่เป็นวิชาดวงตาวิญญาณประเภทควบคุมที่จ้าวเฟิงฝึกได้จากพื้นฐานของ ‘บันทึกหมิงถง’
คุกกักวิญญาณจะส่งผลต่อดวงวิญญาณของเป้าหมายโดยตรง
“ถอยออกไปซะ!”
เวินลั่วอันกระตุ้นสายเลือดของ ‘เผ่าพันธุ์นักรบสุริยัน’ ร่างของเขาเปล่งลำแสงสีทองเจิดจ้าเป็นประหนึ่งเทพนักรบสีทองสว่าง
แต่ทว่า
ในสภาวะของดวงตาข้ามระยะทาง จ้าวเฟิงใช้สำนึกรู้ราชากระตุ้นคุกกักวิญญาณ จึงรุนแรงมากพอที่จะกักขังสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าราชันลงไป
วิญญาณของเวินลั่วอันดิ้นรนออกจากตรวนอัสนีสีม่วงเข้ม สั่นสะท้าน แต่กลับไม่สามารถหลุดรอดออกมาได้ในเวลาสั้นๆ
“มิติมายามาร!”
เมิ่งซีย่อมไม่ยืนมองเฉยอยู่ข้างๆ นางเรียกใช้พรสวรรค์สายเลือดดวงวิญญาณ หมายจะทำลายคุกกักวิญญาณของจ้าวเฟิง
แต่ในเวลานี้เอง
วูบ!
ร่างเงาสีเงินมากับระลอกพลังมิติที่สั่นสะท้าน ผ่านด้านข้างของบุรุษหนุ่มหยางกวงไป
หนานกงเซิ่ง!
เวินลั่วอันและเมิ่งซีหน้าเปลี่ยนสี
“รอยแยกเวหามายา!”
หนานกงเซิ่งสีหน้าเย็นยะเยือก คมแสงสีเงินที่เป็นเหมือนรอยแยกปรากฏขึ้น แล้วฟาดฟันลงบนร่างของบุรุษหนุ่มหยางกวง