Skip to content

King of Gods 668

King Of Gods

บทที่ 668 ใครจะเป็นผู้ชนะ

ห้องเก็บตำรา ณ อุทยานครึ่งเซียน

มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น “ห้วงความคิดคุนอวิ๋น เจ้าเองก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์ไปซะทีเดียว”

เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นเป็นชื่อที่จ้าวเฟิงตั้งให้กับเศษเสี้ยวห้วงคิดครึ่งเซียน เพราะเจ้าของอุทยานครึ่งเซียนมีนามว่าคุนอวิ๋น

ในมิติดวงตาซ้าย

บริเวณพื้นที่ที่มืดมิดปรากฏหยดเลือดสีทองกระจ่างใส นั่นก็คือเลือดบริสุทธิ์ของครึ่งเซียน!

การได้ ‘เลือดครึ่งเซียน’ มานั้นง่ายดายและราบรื่นกว่าที่คิดไว้มากนัก

เลือดเซียนมีวิญญาณความรู้สึก ดังนั้นมันจึงหวาดกลัวและเคารพต่อกลิ่นอายจิตวิญญาณของนายท่านครึ่งเซียนอย่างมาก

เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นแยกออกมาจากแก่นแท้วิญญาณที่สูญสลายของครึ่งเซียน ย่อมต้องมีกลิ่นอายของวิญญาณครึ่งเซียนอยู่แล้ว

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ไร้ประโยชน์’ จากปากของจ้าวเฟิง เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นก็แทบจะกระอักเลือดออกมา

เป็นถึงเศษเสี้ยวห้วงความคิดของครึ่งเซียน แต่ในสายตาของจ้าวเฟิงกลับไม่มีประโยชน์เสียอย่างนั้น

เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋น ถึงแม้ว่าจะห่างไกลจากเศษเสี้ยววิญญาณ แต่ก็มีความคิดและจิต รวมไปถึงความทรงจำเล็กน้อยบางส่วนเป็นของตนเอง

 

“นายท่าน ท่านได้ ‘เลือดครึ่งเซียน’ มาครองแล้ว สามารถ ‘ใช้เลือดคืนชีวิต’ ให้ข้าได้แล้ว” เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความหวัง

มาถึงระดับขั้นครึ่งเซียนแล้ว ต่อให้กายเนื้อสูญสลายกระจัดกระจาย ขอเพียงแค่มีเลือดเพียงหยดเดียวก็สามารถ ‘คืนชีวิต’ ได้

และแน่นอนว่าก่อนหน้านั้นอย่างน้อยต้องมีห้วงคิดจิตวิญญาณอยู่อย่างน้อยเส้นสายหนึ่ง

ในตอนนี้ ทั้งเศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นและเลือดครึ่งเซียนเข้าเงื่อนไขทั้งสองข้ออย่างชัดเจน

เลือดครึ่งเซียนยังเป็นเลือดบริสุทธิ์เสียด้วยซ้ำ

เศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋นเองก็ไม่ใช่ห้วงคิดจิตวิญญาณธรรมดา มันมีความคิดและความทรงจำ เข้าใกล้ระดับเศษเสี้ยววิญญาณอยู่เหมือนกัน

“คืนชีวิตจากเลือดหยดเดียว นี่เป็นวิธีการที่ขัดลิขิตสวรรค์ในตำนานสินะ”

จ้าวเฟิงมีความคาดหวังอย่างยิ่งยวดกับสิ่งนี้

แต่ว่าเรื่องนี้สำคัญนัก เขาย่อมไม่ทำอะไรผลีผลามเป็นแน่

อันดับแรก

พลังเซียนที่แฝงอยู่ในเลือดครึ่งเซียนน่ากลัวมากเกินไป

ใครจะคาดเดาออกว่าหลังจากที่ครึ่งเซียนคุนอวิ๋นกำเนิดใหม่ด้วยเลือดหยดเดียว พลังจะสูงส่งขึ้นรวดเร็วขนาดไหน

“รอออกจากอุทยานแล้วค่อยปรึกษาหารือเรื่องนี้เถิด” จ้าวเฟิงเอ่ยตอบ ในใจเขามีวิธีการของตนเองอย่างรวดเร็ว

มีจุดหนึ่งที่สามารถยืนยันแน่ชัด

จ้าวเฟิงไม่สามารถใช้พลังของเลือดครึ่งเซียนทั้งหมดเพื่อ ‘ชุบชีวิตด้วยเลือด’

เขาเองก็ต้องใช้พลังของเลือดเซียนด้วย

ในขณะเดียวกันกับที่เพิ่มพลังความสามารถของตนเอง ยังสามารถบั่นทอนพลังหลังจากเกิดใหม่ของ ‘ครึ่งเซียนคุนอวิ๋น’ ได้

“ยังมีเวลาอีกสองวันครึ่ง อุทยานครึ่งเซียนก็จะปิดตัวลง”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างครุ่นคิด

ในเวลาที่เหลืออยู่ เป้าหมายหลักของจ้าวเฟิงไม่ได้อยู่กับแผนการสาละวนเก็บสมบัติอีกแล้ว

“คำสั่งล่าสังหาร ใครจะมีชัยก็ยังไม่อาจรู้ได้”

จ้าวเฟิงมีสีหน้าเย็นชา กลิ่นอายหนาวเหน็บถูกสาดซัดออกมา สายตาจับจ้องไปยังทิศทางของสุสานครึ่งเซียน

ในนาทีเดียวกันนั้นเอง

ณ สุสานครึ่งเซียน ห้องเก็บศพใต้ดิน

อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามกับเจ้าแมวขโมยตัวน้อย ทั้งสี่ร่วมมือกันตัดแยก ‘ร่างศพไหม้เกรียม’

เวินลั่วอันรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บในฉับพลัน

สายเลือดในตำนานอย่างรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ทำให้เขามีความรู้สึกว่องไวต่อกลิ่นอายของภัยอันตรายอย่างมาก

วูบ!

ดวงตาไร้รูปร่างปรากฏขึ้นวูบวาบในห้องสุสานพร้อมเผยแววยิ้มจางๆ

อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคุ้นชินกับดวงตาข้ามระยะทางไปแล้ว

แต่ว่าอารมณ์ของดวงตาข้ามระยะทางในเวลานี้ ทำให้คนทั้งสามรู้สึกได้ถึงความพ่ายแพ้บางอย่าง

เกรงว่าคนทั้งสามคงคาดคิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะประสบความสำเร็จในการฉกชิงเอา ‘เลือดครึ่งเซียน’ มาแล้ว

ความลับเรื่องช่วงชิงเลือดครึ่งเซียนมา จ้าวเฟิงจะทุ่มเทแรงกำลังในการปกปิดต่อไป เขายังต้องเริ่ม ‘แผนการคืนชีวิตครึ่งเซียน’ อีก

ความลับเช่นนี้หากปล่อยให้คนอื่นรู้ เกรงว่าทั่วทั้งดินแดนศักดิ์สิทธิ์เจินอู่จะต้องสั่นสะเทือนเป็นแน่

ชุบชีวิตคืนให้กับครึ่งเซียน นี่เป็นความคิดเพ้อฝันที่หาญกล้าเพียงใดกัน

“ร่างศพของครึ่งเซียน ข้าต้องการเพียงส่วนกะโหลก”

ดวงตาข้ามระยะทางปรากฏขึ้นกลางอากาศพลางเอ่ยเรียบๆ

ที่ต้องการส่วนกะโหลกศีรษะ เป็นเพราะว่าในขณะที่ครึ่งเซียนต่อต้าน ‘อำนาจเทวะ’  ส่วนศีรษะเผชิญกับฤทธิ์อำนาจมากที่สุด

เรื่องเหล่านี้จ้าวเฟิงได้ยินมาจากเศษเสี้ยวห้วงคิดคุนอวิ๋น

“เหอะ! เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเลือกก่อน” เมิ่งซีเค้นเสียงเย็นชา

คนพวกนี้กลับไม่ได้คิดอะไรมากนัก

เมิ่งซีจ้องจ้าวเฟิงอย่างเป็นศัตรูด้วยแววตาไม่พอใจ เพราะชายผู้นี้ฉกชิงเอาไพ่ไม้ตายที่อาจารย์ของนางเตรียมไว้ให้นางเป็นเวลานาน

จ้าวเฟิงพลิกสถานการณ์ได้จากไพ่ไม้ตายนี้ จนสามารถเทียบเท่าได้กับอัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคน

 

“หากไม่ได้การชี้แนะของเจ้าแมวขโมยตัวน้อย พวกเจ้าจะไม่สามารถเข้ามาถึงภายในนี้ได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับ ‘สุสานครึ่งเซียน’ ข้าอ่านจากหนังสือทั้งหมดภายในห้องเก็บตำราแล้ว จึงมีความเข้าใจมากกว่าพวกเจ้า”

จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม

สุสานครึ่งเซียน?

อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนมองหน้ากันไปมา

หากมองจากสิ่งบ่งชี้ต่างๆ จ้าวเฟิงควบคุมใจกลางสุสานได้อย่างแท้จริง หรือกระทั่งมีข้อมูลจำนวนมากของทั้งอุทยานครึ่งเซียนด้วย

อีกทั้งจ้าวเฟิงอ่านหนังสือทั้งหมดในห้องเก็บตำรา ฟังแล้วดูเหมือนคนโง่ แต่ที่จ้าวเฟิงจับต้องผลประโยชน์บางอย่างได้ก็สมเหตุสมผลแล้ว

“ก็แค่ส่วนกะโหลกศีรษะ” หนานกงเซิ่งยักไหล่อย่างไม่แยแส

ตอนนี้เขาและจ้าวเฟิงถือว่าเป็นพวกเดียวกัน

สุดท้ายแล้ว อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนก็ยอมรับกลายๆ ให้สิทธิ์จ้าวเฟิงในการได้เลือก ‘กะโหลกครึ่งเซียน’ ก่อน

“แต่ว่าจ้าวเฟิง ในเมื่อเจ้าปรุโปร่งในสุสานครึ่งเซียน เมื่อถึงเวลาก็นำทางพวกเราออกจากที่นี่อย่างปลอดภัยสิ” เมิ่งซีเอ่ยเสนอ

คนทั้งหมดติดอยู่ในส่วนลึกของสุสานครึ่งเซียน เดิมทีหลงทิศไปแล้ว

หลังจากแยกร่างศพแล้วออกจากอุทยานครึ่งเซียน เกรงว่าจะมีอันตรายหนักหนา

“นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว”

ดวงตาข้ามระยะทางลอดยิ้มเย็นออกมา จ้าวเฟิงลอบยิ้มบางๆ กับตนเอง

 

ในความเป็นจริงแล้ว ขอเพียงแค่ในมือถือชิ้นส่วนของร่างศพอำนาจเทวะ กลิ่นอายพลังของอำนาจเทวะก็สามารถทำให้วิญญาณอาฆาตนับหมื่นภายในสุสานต้องถอยหนีไป

เพียงแต่ว่าอัจฉริยะทั้งสามล้วนแต่จดจ่อกับการแบ่งร่างศพ จึงคิดไม่ถึงเรื่องพวกนี้เป็นการชั่วคราว

เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไป

หนึ่งสองวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ร่างศพครึ่งเซียนถูกตัดแยกเสร็จสมบูรณ์แล้ว เวินลั่วอันแบ่งเอาขาทั้งสองข้าง เมิ่งซีเอาส่วนลำแขนทั้งสอง ส่วนบริเวณร่างกายหนานกงเซิ่งเป็นผู้รับไป

“เหลือเวลาอีกเพียงแค่หนึ่งวัน อุทยานครึ่งเซียนก็จะปิดตัวลง” หนานกงเซิ่งเปิดปากเอ่ย

วันสุดท้าย

เวินลั่วอันและเมิ่งซีมองสบตากัน

“พวกเราเพียงแค่ต้องถือชิ้นส่วนของร่างศพอำนาจเทวะไว้ในมือ ก็สามารถทำให้วิญญาณอาฆาตในสุสานถอยร่นไปได้” เสียงของเวินลั่วอันลอยมา

ในเวลานี้เอง

หลังจากที่อัจฉริยะขั้นราชันทั้งสามได้ชิ้นส่วนของร่างศพมาแล้ว จึงคิดหาวิธีนี้ออกมาได้

ทันทีที่มีวิธีเช่นนี้ อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนก็ไม่ต้องพึ่งพาความรู้เกี่ยวกับสุสานครึ่งเซียนของจ้าวเฟิง

เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยนั่งบนร่างของสัตว์อสูรขั้นราชันแล้วออกเดินทางเป็นคนแรก

“ตามไป!”

เมิ่งซีและเวินลั่วอันตามเจ้าแมวขโมยตัวน้อยไปติดๆ

หนานกงเซิ่งเหมือนว่าจะคิดอะไรอยู่ จากนั้นจึงรีบตามไป

เมื่อครบกันหมดแล้ว เจ้าแมวน้อยจึงกลายเป็นผู้นำของกลุ่มนี้

“จ้าวเฟิงผู้นั้นมีข้อมูลของสุสานครึ่งเซียนอยู่ในกำมือ ย่อมไม่ยอมวางมือเรื่องเก็บเกี่ยว ‘เลือดครึ่งเซียน’ เป็นแน่”

“ยิ่งไปกว่านั้น ดวงตาข้ามระยะทางของจ้าวเฟิงได้เปรียบมากในด้านจักษุสัมผัส ไม่แน่ว่าอาจจะหาที่อยู่ของเลือดครึ่งเซียนพบแล้ว” อัจฉริยะขั้นราชันทั้งสามต่างคิดวางแผนไปต่างๆ นานา

โดยสรุปแล้ว

พวกเขาก็ยังเดินตามเจ้าแมวตัวนี้ไป

เมี้ยว~

ในแววตาเยาะเย้ยของเจ้าแมวขโมยตัวน้อยปราดมองอัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสาม

ทว่ามันยังคงต้องทำท่า ‘มองหา’ ภายในสุสานครึ่งเซียนอยู่ตามคำสั่งของจ้าวเฟิง

วูบ!

ดวงตาข้ามระยะทางจะปรากฏกายขึ้นบ้างในบางครั้ง เหมือนให้ความร่วมมือกับการมองหาของเจ้าแมว

เจ้าแมวขโมยทำเสแสร้งหลายครั้งเพราะอยากจะสลัดอัจฉริยะทั้งสามคนทิ้ง ทุกครั้งล้วนแต่ใช้ ‘ความล้มเหลว’ เพื่อแยกกลุ่ม

“จ้าวเฟิง นี่เจ้าเจอร่องรอยของเลือดครึ่งเซียนหรือไม่?” เสียงของหนานกงเซิ่งลอยมา

 

“ลักษณะของสุสานครึ่งเซียนสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง แล้วเลือดครึ่งเซียนก็มีขนาดเล็กนัก ไม่รู้ว่าหลบอยู่ที่ซอกมุมใด” จ้าวเฟิงเอ่ยตอบ

ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ จ้าวเฟิงก็ยังให้เจ้าแมวขโมยตัวน้อยไม่ลดละการตามหาเลือดครึ่งเซียน ให้ทำท่าทางมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้

แม้เมิ่งซีและเวินลั่วอันจะสงสัยอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็คงคาดคิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะได้เลือดครึ่งเซียนมาอย่างง่ายดายเช่นนั้น

ในขณะที่ค้นหาย่อมต้องเผชิญกับวิญญาณอาฆาตด้วย

ทว่าทันทีที่นำชิ้นส่วนศพของครึ่งเซียนออกมาก็สามารถทำให้ดวงวิญญาณอาฆาตต้องหลีกหนีด้วยความหวาดกลัว

แต่ก็ยังมีข้อยกเว้นอยู่

ภายในห้องสุสาน มีวิญญาณจักรพรรดิอาฆาตจำนวนไม่มากที่ถึงจะหวาดกลัวร่างศพอำนาจเทวะ ไม่เข้ามาใกล้ แต่ว่าก็ยังสามารถใช้พลังมหาศาลของวิญญาณอาฆาตคอยโจมตีอยู่เนืองๆ

อัจฉริยะในขั้นราชันทั้งสามคนร่วมมือกันตั้งรับวิญญาณจักรพรรดิอาฆาตด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง ต้องค้นหาไปพลาง หาทางรอดไปพลาง

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยนำคนทั้งหมดออกมาถึงทางเข้าของสุสานโดยไม่รู้ตัว

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยมีท่าทีหน้าหงอยคอตก นั่งบนสัตว์อสูรขั้นราชันแล้วออกจากสุสานครึ่งเซียนไป

อัจฉริยะทั้งสามถอดใจในการช่วงชิงเลือดครึ่งเซียน ด้วยหมดหวังและทำอะไรไม่ได้

ขนาดของเลือดครึ่งเซียนเล็กจ้อย ในทันทีที่คลาดกับร่องรอย มันหลบซ่อนอยู่ที่มุมไหนก็ราวกับงมเข็มในมหาสมุทร

ยิ่งไปกว่านั้น ภายในสุสานครึ่งเซียนอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่ได้ชิ้นส่วนของร่างศพครึ่งเซียน อัจฉริยะทั้งสามอาจจะตายไประหว่างทางแล้ว

ณ ทางเข้าของสุสาน

เวินลั่วอันมองยังทิศทางที่เจ้าแมวจากไป แววตาสว่างวาบหนึ่ง ฉายแววเย็นชาพาดผ่าน

บุรุษหยางกวงและเมิ่งซียืนเคียงข้างลอบสื่อสารพูดคุยกัน

“ไม่มีปัญหา ข้าจะช่วยเจ้ารับมือเจ้าเด็กนั่นเอง”

ใบหน้างดงามของเมิ่งซีฉายแววโหดเหี้ยมเย็นชา ไม่ว่าจะในแง่ไหนๆ นางก็เกลียดชังจ้าวเฟิงเป็นอย่างยิ่ง หากจะพูดในเรื่องส่วนตัว จ้าวเฟิงฉกชิงกิเลนหยกสีม่วงไป เมิ่งซีจดจำไว้ขึ้นใจ

ในเรื่องส่วนรวม จ้าวเฟิงเป็นอัจฉริยะสายเลือดที่สูงส่งคนใหม่ของสำนักเสวียนเจิน เป็นม้ามืดในอุทยานครึ่งเซียนครั้งนี้ ตั้งแต่ยึดครองทะเลสาบจื่อเยียน เดินทางข้ามผ่านอากาศ ได้ครอบครองธนูเหนือนภา สุดท้ายแล้วยังสามารถรับมือกับอัจฉริยะในขั้นราชันสามคนได้

แต่ละก้าวล้วนแต่ทำให้เห็นความน่ากลัวของอัจฉริยะผู้นี้

แน่นอนว่านางไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าจ้าวเฟิงได้เลือดครึ่งเซียนมาครองแล้ว

มิฉะนั้นคงจะเรียกว่าม้ามืดไม่ได้ แต่ต้องเรียกว่าผู้ได้ชัยอย่างแท้จริง!

“ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของเจ้าเด็กนั่น ต่อให้เป็นวันสุดท้ายก็เพียงพอจะปลิดชีพเขาลงได้ ”

ในรอยยิ้มของเวินลั่วอันแฝงไปด้วยแววอำมหิต

ในขณะที่คนทั้งสองกำลังวางแผนนั่นเอง

เมี้ยว!

เจ้าแมวขโมยตัวน้อยนั่งอยู่บนสัตว์อสูร จู่ๆ ก็ชะงักค้าง ดวงตาแมวคู่นั้นจ้องมองกลับมาอย่างเย็นชาและน่ายำเกรง

โครม!

สัตว์อสูรในขั้นราชันปล่อยพลังมหาศาลกดดันลงบนร่างของบุรุษหนุ่มหยางกวง

หืม? บุรุษหนุ่มหยางกวงใจกระตุกขึ้นอย่างฉับพลัน

อู้ว~

สัตว์อสูรขั้นราชันโจมตีไปที่บุรุษหนุ่มหยางกวงในทันที

มันมีกำลังรบของราชันเพียงเจ็ดสิบส่วน บุรุษหนุ่มหยางกวงย่อมไม่หวาดกลัวเท่าไหร่นัก

แต่ว่าในวินาทีถัดไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก

“คุกกักวิญญาณ!”

ดวงตาไร้รูปร่างที่โปร่งแสงดวงนั้นปรากฏขึ้นเหนือศีรษะคนทั้งสอง ร่างของเวินลั่วอันแข็งค้าง

โซ่อัสนีสีม่วงตรึงรัดดวงวิญญาณเอาไว้

นี่เป็นวิชาดวงตาวิญญาณประเภทควบคุมที่จ้าวเฟิงฝึกได้จากพื้นฐานของ ‘บันทึกหมิงถง’

คุกกักวิญญาณจะส่งผลต่อดวงวิญญาณของเป้าหมายโดยตรง

“ถอยออกไปซะ!”

เวินลั่วอันกระตุ้นสายเลือดของ ‘เผ่าพันธุ์นักรบสุริยัน’ ร่างของเขาเปล่งลำแสงสีทองเจิดจ้าเป็นประหนึ่งเทพนักรบสีทองสว่าง

แต่ทว่า

ในสภาวะของดวงตาข้ามระยะทาง จ้าวเฟิงใช้สำนึกรู้ราชากระตุ้นคุกกักวิญญาณ จึงรุนแรงมากพอที่จะกักขังสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าราชันลงไป

วิญญาณของเวินลั่วอันดิ้นรนออกจากตรวนอัสนีสีม่วงเข้ม สั่นสะท้าน แต่กลับไม่สามารถหลุดรอดออกมาได้ในเวลาสั้นๆ

“มิติมายามาร!”

เมิ่งซีย่อมไม่ยืนมองเฉยอยู่ข้างๆ นางเรียกใช้พรสวรรค์สายเลือดดวงวิญญาณ หมายจะทำลายคุกกักวิญญาณของจ้าวเฟิง

แต่ในเวลานี้เอง

วูบ!

ร่างเงาสีเงินมากับระลอกพลังมิติที่สั่นสะท้าน ผ่านด้านข้างของบุรุษหนุ่มหยางกวงไป

หนานกงเซิ่ง!

เวินลั่วอันและเมิ่งซีหน้าเปลี่ยนสี

“รอยแยกเวหามายา!”

หนานกงเซิ่งสีหน้าเย็นยะเยือก คมแสงสีเงินที่เป็นเหมือนรอยแยกปรากฏขึ้น แล้วฟาดฟันลงบนร่างของบุรุษหนุ่มหยางกวง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version