บทที่ 1246 งานพบปะชุมนุม
หลังจากศิษย์หลักสามคนจากไปแล้ว โถงภารกิจก็กลับมาคึกคักดังเดิม
“ข่งเตี๋ย เมื่อครู่ไยต้องเข้าใกล้จ้าวเฟิงขนาดนั้น?”
“ข่งเตี๋ยและจ้าวหยูเฟยมีสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกัน นางต้องเตือนจ้าวเฟิงแน่ว่าอย่าข้องเกี่ยวกับจ้าวหยูเฟยอีก!”
คนมากมายรอบด้านซุบซิบวิจารณ์จ้าวเฟิง
ทุกคนตรงนั้นไม่เห็นว่าตอนที่ข่งเตี๋ยเข้าใกล้จ้าวเฟิง ในมือของเขามีจดหมายเชิญฉบับหนึ่งเพิ่มขึ้นมา แถมจ้าวเฟิงยังเก็บจดหมายเชิญเข้าไปในมิติเก็บของทันที
‘คนผู้นั้นกำลังช่วยข้า?’ จ้าวเฟิงแปลกใจเล็กน้อย
ได้ยินเสียงวิจารณ์ของคนรอบบริเวณ จ้าวเฟิงจึงรู้ว่าหญิงเผ่าพันธุ์วิญญาณที่ชื่อข่งเตี๋ยนางนี้เหมือนจะมีสัมพันธ์อันดีกับจ้าวหยูเฟย
แต่หากนางต้องการจะช่วยจ้าวเฟิงแล้วละก็ เหตุใดจึงไม่บอกจ้าวหยูเฟย แต่ส่งจดหมายเชิญมาให้เขาแทน?
อีกอย่าง จากการสนทนากับหยวนหลงเมื่อครู่ ในที่สุดจ้าวเฟิงก็เข้าใจในพลังของหยวนหลง
“เทพแท้จริงขั้นห้า!” จ้าวเฟิงใจชาวาบ
อายุของหยวนหลงก็ไม่ได้มากนัก ไม่ได้ต่างจากจ้าวเฟิงเท่าไหร่
พลังในตอนนี้ของจ้าวเฟิงไม่ด้อยกว่าเทพแท้จริงขั้นห้าเลย แต่หยวนหลงมีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ น่าจะสามารรับมือกับเทพแท้จริงขั้นหกได้เลย
“ถ้าหากข้าจะทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ในตอนนี้ มีความหวังถึงห้าส่วนที่จะทะลวงถึงขั้นห้าได้!”
จ้าวเฟิงไม่ได้สูญเสียความมั่นใจ
หากเขาทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ได้สำเร็จ เขาก็ไม่ต้องหวาดกลัวหยวนหลงเลยแม้แต่น้อย นอกจากนั้น กายสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์และ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ ขั้นสุดท้ายของจ้าวเฟิงยังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นจ้าวเฟิงยังต้องรอให้วิชาทั้งสองอย่างแตะระดับบริบูรณ์ก่อน แล้วค่อยทะลวงขอบเขตเซียนสวรรค์ จนถึงตอนนั้น เขาจะยิ่งมีความหวังทะลวงเป็นเทพขั้นที่ห้ามากขึ้น
เมื่อเดินเข้าไปในโถงภารกิจแล้ว เขาเลือกภารกิจที่ง่ายที่สุดออกมา ใช้เวลาสามวันก็ทำสำเร็จ
จากนั้นจ้าวเฟิงเอาแต่ปิดด่านฝึกตนในที่พัก
จนกระทั่งวันหนึ่ง พานฮ่าวก็มาอีกครั้ง
“ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปชมงานพบปะชุมนุมของศิษย์หลักและศิษย์ในเผ่า!”
ไม่นาน จ้าวเฟิงก็มาถึงพื้นที่ใช้ชีวิตของศิษย์ในเผ่า ไอสวรรค์ในฟ้าดินของที่นี่หนาแน่นกว่าด้านนอกมาก
ยามนี้ ในพื้นที่ของศิษย์ในเผ่ามีสมาชิกน้อยนิดอย่างยิ่ง คนส่วนมากต่างรีบไปงานชุมนุมกันแล้ว ไม่นานเท่าไหร่นัก ในที่สุดจ้าวเฟิงก็ไปถึงพื้นที่ของศิษย์หลัก
ศิษย์หลักถึงจะเป็นเป้าหมายหลักในการอบรมบ่มเพาะของเผ่าพันธุ์วิญญาณ ศิษย์หลักคนใดก็ล้วนแต่ได้รับการฟูมฟักและปกป้องอย่างสุดกำลัง
บางคนในศิษย์หลักพลังยังยังด้อยกว่าศิษย์นอกเผ่า แต่ศักยภาพและพรสวรรค์ของพวกเขาเยี่ยมยอด หนำซ้ำยังสามารถกลายเป็นยอดฝีมือได้ แค่ต้องการเวลาสะสมพลังเท่านั้น
ไม่นานนักก็ปรากฏทะเลสาบใสกระจ่างขึ้นด้านหน้า เหนือทะเลสาบมีสะพานเล็กศาลาและหอสูงจำนวนมาก บนนั้นมีเงาร่างองอาจของคนรุ่นใหม่มากมาย พวกเขาแบ่งกลุ่มกันเหมือนกำลังสนทนาอะไร
“ปฐมเทพลั่วอวี่และจ้าวหยูเฟยเป็นคนสำคัญของงานพบปะชุมนุมครั้งนี้ พวกนางไม่มาถึงเร็วขนาดนี้หรอก!”
พานฮ่าวเห็นจ้าวเฟิงสอดส่ายสายตาก็เอ่ยยิ้มๆ
“ข้าพาเจ้ามาเพียงแค่ให้เจ้าได้เห็นจ้าวหยูเฟย ถือโอกาสให้เจ้าได้พบคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ให้เจ้ายอมถอดใจเสีย จำเอาไว้ว่าอย่าทำอะไรตามอำเภอใจ!”
ก่อนจะเข้าไปในงานชุมนุม พานฮ่าวหันมากำชับอีกครั้ง จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาย่อมไม่ไปหาเรื่องคนที่ก่อน แต่เรื่องบางอย่างก็เลี่ยงไม่ได้
จากนั้นทั้งสองย่างเท้าไปบนสะพานเหนือทะเลสาบ
ถึงแม้ชื่อเสียงของจ้าวเฟิงจะเล่าลือกันนานแล้ว แต่ศิษย์ในเผ่าคนที่รู้จักใบหน้าของเขามีน้อยนัก และศิษย์หลักก็แทบไม่มีใครใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้
“ดูทางนั้น ศิษย์หลักคนนั้นในเผ่าพันธุ์วิญญาณชื่อจางอวี่ถง มีพลังฝึกตนถึงเทพแท้จริงขั้นหก บรรพบุรุษของเขามีตำแหน่งไม่เล็กในเผ่าพันธุ์วิญญาณ เป็นหนึ่งในคู่แข่งผู้หมายตาจ้าวหยูเฟยที่น่ากลัวที่สุด!”
ยามเดินไปบนสะพาน พานฮ่าวก็แนะนำจ้าวเฟิง เป้าหมายย่อมเพื่อให้จ้าวเฟิงถอดใจถอยไป
“แข็งแกร่งกันทั้งสิ้น!” จ้าวเฟิงพยักหน้า
คนที่มาเข้าร่วมงานชุมนุมนี้ อัจฉริยะแต่ละคนไม่มีคนที่สองแล้ว หากไม่มีกลวิชาหรือพลังที่แข็งกล้า ก็มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ตัวอย่างเช่นจางอวี่ถง เป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงเห็นอัจฉริยะที่อายุน้อยเช่นนี้มีพลังเทพแท้จริงขั้นหก
พานฮ่าวผงกศีรษะ คิดว่าจ้าวเฟิงจะถูกอัจฉริยะแต่ละคนที่นี่ข่มขวัญ และรู้ว่าตัวเองไม่อาจมีโอกาสใดๆ จากนั้น พานฮ่าวแนะนำศิษย์ในเผ่าจำนวนมากแก่จ้าวเฟิง
ศิษย์ในเผ่าเหล่านี้แทบเป็นคนในฝั่งพานฮ่าวทั้งสิ้น ตอนที่พวกเขารู้สถานะของจ้าวเฟิงก็ติเตียนพานฮ่าว
“ข้าเพียงอยากพาเขามาพบจ้าวหยูเฟย เพื่อให้เขาถอดใจเสีย!”
พานฮ่าวเอ่ยเสียงเบา
ศิษย์ในเผ่าพวกนั้นไม่ได้พูดอะไรมาก ถอนหายใจแล้วไปประจบศิษย์หลักคนหนึ่ง
“นี่ไม่ใช่พี่พานหรือ?”
ในตอนนี้เอง ด้านหลังพานฮ่าวมีคนหนุ่มหน้าแหลมปรากฏตัวขึ้น
พานฮ่าวได้ยินเสียงนี้ก็รู้ได้ว่าผู้มาเยือนคือใคร เขาเอ่ยปากทักทายอย่างหงุดหงิด
“คนผู้นี้ชื่อชุยหลิน เป็นคนของจ้าวหลานอี้!” พานฮ่าวจ้าวเฟิงลอบส่งกระแสจิตบอกจ้าวเฟิง
“พี่พาน คนข้างกายเจ้าผู้นี้ข้าเหมือนเพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก จะไม่แนะนำให้ข้าหน่อยหรือ?”
แววตาเย็นชาของชุยหลินพลันจับจ้องจ้าวเฟิง
ในศิษย์ในเผ่าแบ่งคร่าวๆ เป็นสองฝ่าย ชุยหลินและพานฮ่าวเป็นฝ่ายตรงข้ามกัน
แต่ชุยหลินจำไม่ได้ว่าฝั่งของพานฮ่าวมีหนุ่มผมทองเพิ่มมาตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่าจะเป็นศิษย์ในเผ่าที่เพิ่งเลื่อนขึ้นมา?
“คนต่ำต้อยอย่างพวกเรา ไหนเลยจะควรค่าให้คนใหญ่คนโตอย่างพี่ชุยจดจำ!”
พานฮ่าวปฏิเสธทันที แล้วพาจ้าวเฟิงเดินไปยังรอบนอกของงานชุมนุม
“เจ้าสงบเสงี่ยมสักหน่อย อย่าให้พวกเขารู้สถานะศิษย์นอกเผ่าของเจ้า มิฉะนั้นพวกเขาต้องโจมตีฝ่ายพวกเราอย่างหนักแน่ และจะดูหมิ่นเจ้าด้วย!”
พานฮ่าวเอ่ยเสียงเบา ต่อมาคนทั้งสองจึงนั่งอยู่บริเวณรอบนอกที่สมาชิกค่อนข้างน้อย
พานฮ่าวเองก็ไม่ได้ชมชอบจ้าวหยูเฟยหรือปฐมเทพลั่วอวี่ จึงไม่ได้ใส่ใจงานชุมนุมครั้งนี้เท่าไหร่นัก ตอนนี้เอง บุรุษหนุ่มมากมายที่กำลังสนทนากันอยู่ในงานชุมนุมเงียบลงไปทันที ทอดสายตามองไปไกลๆ
“รีบดูนั่น ปฐมเทพลั่วอวี่มาแล้ว!” พานฮ่าวดันไหล่จ้าวเฟิงให้ตั้งตรง
เห็นเพียงไม่ไกลออกไปมีสตรีเผ่าพันธุ์วิญญาณสองคนตรงมา แต่แววตาของทุกคนต่างจับจ้องที่ร่างของสตรีชุดขาวด้านขวา
นางเป็นดุจเซียนผลึกน้ำแข็ง วงหน้างดงามราวปทุมแรกแย้ม ดวงตาสุกสกาวชวนหลงใหลประหนึ่งแก้วงดงามประณีต ร่างกายอรชรมีส่วนเว้าโค้งปรากฏวับแวม ขณะเยื้องย่างกระชากใจบุรุษหนุ่มจำนวนมาก
“นางก็คือปฐมเทพลั่วอวี่?”
จ้าวเฟิงมองหญิงงามราวเซียนนางนั้นด้วยแววตาชื่นชม
ปฐมเทพลั่วอวี่เป็นแค่ปฐมเทพขั้นสาม แต่นางมีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ กำลังรบแท้จริงจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ทว่าไม่นาน แววตาของจ้าวเฟิงก็ถูกหญิงอีกนางข้างกายปฐมเทพลั่วอวี่ดึงความสนใจไป
หญิงที่ยิ้มอย่างได้ใจนางนี้ก็คือเว่ยชิงอิ๋ง หญิงเผ่าพันธุ์วิญญาณคนแรกที่จ้าวเฟิงเจอตอนที่เพิ่งมาถึงเผ่าพันธุ์วิญญาณ
“เทพธิดาลั่วอวี่สบายดีหรือไม่?”
“ปฐมเทพลั่วอวี่ ดอกทานตะวันเก้าสีที่แซ่เฉินมอบให้คราวก่อนท่านชอบหรือไม่?”
บุรุษกว่าครึ่งในศาลาต่างกรูเข้าไปแย่งกันพูด
“ได้มาต้อนรับทุกท่านในงานชุมนุมครั้งนี้ ลั่วอวี่ดีใจจริงๆ…”
ปฐมเทพลั่วอวี่มองใบหน้าบุรุษหนุ่มจำนวนมาก ค้อมศีรษะพลางระบายยิ้มน้อยๆ
จากนั้น ปฐมเทพลั่วอวี่เดินเข้าไปในงานชุมนุมท่ามกลางการห้อมล้อมของเหล่าอัจฉริยะ
“เอ๋?” เว่ยชิงอิ๋งข้างกายปฐมเทพลั่วอวี่ จู่ๆ ก็สังเกตเห็นคนผมทองร่างหนึ่ง นางชะงักไปน้อยๆ มุมปากยกขึ้นทันที
เว่ยชิงอิ๋งกระซิบข้างหูปฐมเทพลั่วอวี่ แววตาปฐมเทพลั่วอวี่ที่จับจ้องจ้าวเฟิงก็ฉายแววไม่พอใจนัก
แววตาของบุรุษหนุ่มทั้งหมดจับจ้องปฐมเทพลั่วอวี่ เมื่อจู่ๆ นางมองไปที่มุมหนึ่งย่อมเรียกความสนใจจากพวกเขาได้เช่นกัน
“หืม? นี่มันเรื่องอะไรกัน? หรือว่าปฐมเทพลั่วอวี่ถูกใจข้าเสียแล้ว?”
พานฮ่าวข้างกายจ้าวเฟิงตะลึงค้างไป ใจเต้นระรัวเร็ว
เขาไม่ใช่คนที่ไล่เกี้ยวพาปฐมเทพลั่วอวี่ เพราะว่าเขารู้ตัวว่าตนเองไม่มีหวังใดๆ แต่หากปฐมเทพลั่วอวี่ถูกใจเขา พานฮ่าวย่อมดีใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“นี่มันจ้าวเฟิงผู้ยอมเป็นศิษย์รับใช้เพื่อจ้าวหยูเฟยมิใช่หรือ?”
เว่ยชิงอิ๋งหัวเราะเจ้าเล่ห์ แววตาเต็มไปด้วยความชั่วร้าย เมื่อเว่ยชิงอิ๋งพูดออกมาเช่นนี้ กลุ่มคนที่นี่ก็ตื่นตะลึงไปในทันที
“เหมือนข้าจะเคยได้ยินเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเจ้าหนุ่มผู้นี้?”
ศิษย์หลักแค่นเสียงเย็น ปรายตามองจ้าวเฟิง
“จ้าวเฟิง!” ชุยหลินอึ้งอยู่ในกลุ่มคน
งานชุมนุมนี้น่าจะเชิญแต่ศิษย์ในเผ่าและศิษย์หลัก
เขาจำได้ว่าไม่นานก่อนนี้จ้าวเฟิงเพิ่งจะเลื่อนขึ้นเป็นศิษย์นอกเผ่า ไยจึงเปลี่ยนมาเป็นศิษย์ในเผ่าได้รวดเร็วเช่นนี้
เขายังไม่ทันได้ครุ่นคิดอย่างละเอียดดีนัก บุรุษหนุ่มชุดทองผู้หนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากจ้าวเฟิงก็หัวเราะเสียงเย็น พลางเอ่ย “ริจะเด็ดดอกฟ้า คนชั้นต่ำที่ทำงานต่ำก็อยากครอบครองใจจ้าวหยูเฟยรึ?”
‘จบกัน!’ พานฮ่าวโอดครวญในใจ
จ้าวเฟิงขมวดคิ้ว มองไปที่บุรุษหนุ่มชุดทองผู้นี้ เขามีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ มีพลังเพียงแค่เทพแท้จริงขั้นสาม แต่ท่าทางหยิ่งยโสโอหังยิ่ง ความดูถูกที่ฉายในแววตาฉายชัดกว่าคนอื่นๆ ในที่นั้นมาก
“อดทนเอาไว้ เขาคือจินเวย เป็นผู้หมายตาจ้าวหยูเฟยที่เลือดร้อนที่สุด ถึงแม้จะมีอายุน้อย พลังฝึกตนต่ำยิ่ง แต่บรรพบุรุษของเขามีอำนาจมากในเผ่าพันธุ์วิญญาณ บรรพบุรุษของจินเวยเองก็สนับสนุนให้เขาตามจีบจ้าวหยูเฟยเพื่อสร้างความมั่นคงในเผ่าแก่ตระกูลพวกเขา!”
พานฮ่าวส่งเสียงบอกจ้าวเฟิง บอกเล่าตำแหน่งและภูมิหลังของคนผู้นี้
“เจ้าคนชั้นต่ำ กล้าประลองกับข้าหรือไม่? หากเจ้าแพ้ก็ไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย!”
จินเวยเห็นจ้าวเฟิงปิดปากสนิท จึงยิ่งไม่เห็นหัวใครทั้งสิ้น
รายละเอียดของงานชุมนุมครึ่งหนึ่งเป็นการพูดคุย ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นการประลองฝีมือ แต่ตอนนี้คนยังมาไม่ครบ แต่จินเวยผู้นี้ก็ท้าประลองบีบคั้นจ้าวเฟิงแล้ว
ศิษย์หลักในเผ่ามากมายรอบบริเวณมองจ้าวเฟิงก่อนจะยิ้มเย็นชา
จินเวยโด่งดังเรื่องมุทะลุ พูดจาไม่คิด และยังมีความสามารถในการดูหมิ่นคนเป็นลำดับต้นๆ เลยทีเดียว หนำซ้ำตระกูลจินเวยมีตำแหน่งสูงนักในเผ่าพันธุ์วิญญาณ ถึงจะเป็นศิษย์หลักก็ยังไม่อยากยั่วโทสะเขา
จ้าวเฟิงจ้องจินเวยอย่างเย็นชา ถ้าหากเขาไม่จากไป คนผู้นี้ก็ย่อมดูหมิ่นเขาไม่หยุด
“ข้าก็อยากจะเห็นความสามารถของศิษย์หลักสักหน่อย!”
ในตอนที่ทุกคนคิดว่าจ้าวเฟิงจะยอมจากไป เขากลับผุดลุกขึ้นรับคำท้าประลอง
พานฮ่าวตบหน้าผาก คิดได้ว่าการพาจ้าวเฟิงมาเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์
“เซียนลั่วอวี่ หากท่านไม่รังเกียจ ให้ข้าไปจัดการเจ้าคนชั้นต่ำคนนี้ก่อนที่งานชุมนุมจะเริ่มขึ้นเถิด!”
จินเวยมองลั่วอวี่ ยกยิ้มมุมปาก
“ลั่วอวี่มาที่นี่ครั้งนี้ก็เพราะอยากจะเห็นความสามารถของทุกท่านที่นี่…”
นางเซียนลั่วอวี่ยิ้มเอ่ย เห็นได้ชัดว่านางอนุญาตแล้ว