Skip to content

King of Gods 1247

King Of Gods

บทที่ 1247 ในที่สุดก็ได้พบจ้าวหยูเฟย

“หยูเฟย เร็วหน่อย งานพบปะชุมนุมจะเริ่มแล้ว!” ข่งเตี๋ยพูดอย่างรีบร้อน

ไม่ไกลนักมีสตรีชุดสีม่วงที่บริสุทธิ์เหนือโลกีย์ งดงามเลิศล้ำ ผิวขาวราวหิมะแสงประกายจางๆ ดุจเซียนผลึกน้ำแข็งผู้สูงศักดิ์ เพียงแต่ว่าสีหน้าท่าทางของสตรีงามเลิศล้ำคนนี้กลับค่อนข้างเศร้าโศกหมองหม่น ราวกับไม่สนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น

“งานชุมนุมไม่เกี่ยวอะไรกับข้า!”

ท่าทางของจ้าวหยูเฟยราวกับมันไม่ใช่สาระสำคัญอะไร

“เฮ้อ นี่เป็นงานพบปะชุมนุมที่ผู้นำระดับสูงของเผ่าพันธุ์วิญญาณจัดขึ้นเพื่อเจ้าและปฐมเทพลั่วอวี่เชียวนะ ที่นั่นมีคนมากมายรอเจ้าอยู่!”

ข่งเตี๋ยบินมาคล้องแขนขาวผ่องของจ้าวหยูเฟย ดึงนางบินไปอย่างรวดเร็ว

“ฮ่าๆ ข้าเคยบอกแล้ว งานพบปะชุมนุมครั้งนี้มีเรื่องประหลาดใจให้เจ้าด้วย เจ้าจะไม่ไปได้อย่างไร?”

ข่งเตี๋ยเอ่ยเสริมอีกประโยค

“ใช่ว่าจะไม่รู้จักเสียหน่อย จะมีเรื่องประหลาดใจอะไรได้?”

จ้าวหยูเฟยสงสัยเล็กน้อย

“ไปแล้วเจ้าก็รู้เอง…” ข่งเตี๋ยยิ้มมีเลศนัย

บนพื้นที่ว่างผลึกแก้วใจกลางทะเลสาบ ลูกศิษย์หลักของเผ่าพันธุ์วิญญาณและจ้าวเฟิงยืนอยู่ตรงกลาง

เว่ยชิงอิ๋งเปิดผนึกเขตพลังค่ายกลด้วยใบหน้าสนุกสนาน เพื่อกันไม่ให้การต่อสู้ของคนทั้งสองกระทบไปยังสถานที่อื่น

ลูกศิษย์ทั้งหมดรวมตัวรอบด้านเวทีต่อสู้

“กลิ่นอายสายเลือดบนร่างของเจ้าเด็กนี่ไม่แข็งแกร่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณอย่างจินเวย จะไม่มีพลังต้านทานใดๆ ทั้งสิ้น!”

ศิษย์หลักบางคนไม่ค่อยสนใจการต่อสู้ครั้งนี้เท่าใดนัก

อย่างแรก ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้พลังไม่แข็งแกร่ง

อย่างที่สอง การต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีเรื่องต้องพะวงใดๆ

ในบรรดาศิษย์หลัก จินเวยพลังไม่แกร่งนัก แต่มีสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณอยู่ เมื่อต่อสู้กับเขา สายเลือดยิ่งอ่อนแอก็จะยิ่งถูกควบคุมมากขึ้น อีกทั้งจินเวยเป็นศิษย์หลักของเผ่าพันธุ์วิญญาณ วิชาและเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนล้วนสุดยอด

“เฮ้อ เมื่อครู่ควรจะออกไปเลย สู้กับจินเวย สู้แพ้แล้วก็ต้องออกไปอยู่ดีไม่ใช่รึ!”

พานฮ่าวพึมพำอยู่ข้างๆ

อีกด้านหนึ่ง ปฐมเทพลั่วอวี่จ้องจ้าวเฟิง มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ

ใบหน้าและท่าทางของจ้าวเฟิงไม่เลวเลย กล้าหาญองอาจสมบูรณ์พร้อม น่าเสียดายก็แต่เขาคือผู้ตามเกี้ยวพาจ้าวหยูเฟย มิฉะนั้นแล้วปฐมเทพลั่วอวี่อาจพิจารณาหยุดยั้งการต่อสู้ครั้งนี้

“จะให้เจ้าได้รู้ถึงสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณที่แท้จริง!”

จินเวยสะบัดแขนเสื้อสีทอง ทำทีเหมือนตัวเองไม่ธรรมดา เย่อหยิ่งทะนงตน

“ช้าก่อน!” จู่ๆ จ้าวเฟิงเอ่ยปากขึ้น

“ทำไม? ตอนนี้เสียใจแล้วรึ?”

จินเวยหัวเราะเสียงเย็น ในดวงตามีแต่ความเหยียดหยาม

กลุ่มคนรอบด้านก็ตะลึงไปเช่นกัน ขึ้นไปบนเวทีต่อสู้แล้ว หรือว่าจ้าวเฟิงคิดกลับคำ?

“หากข้าแพ้แล้วต้องไปจากงานชุมนุม เช่นนั้นหากเจ้าแพ้ก็ต้องไปจากงานนี้เช่นกัน?”

จ้าวเฟิงยิ้มสบายๆ

คำพูดนี้เอ่ยออกไป กลุ่มคนรอบด้านก็เหยียดหยามทันที

“เจ้าเด็กนี่อวดดีไปหน่อยแล้วกระมัง!”

“มันคิดว่าตัวเองเก่งกล้าจริงๆ แล้วรึอย่างไร!”

ลูกศิษย์ในเผ่าไม่น้อยรีบพูดออกมาทันทีเพื่อประจบจินเวย

“ฮ่าๆ ข้ารับปากเจ้า แต่ข้าไม่มีทางแพ้เจ้าแน่!”

จินเวยหัวเราะเสียงดัง จากนั้นพูดอย่างมั่นใจ

“เช่นนั้นก็เริ่มเลยเถอะ!”

ครั้นเห็นจินเวยรับปาก รอยยิ้มบนใบหน้าของจ้าวเฟิงหายไปทันที ไอเยียบเย็นเสียดกระดูกพลันแผ่กระจายออกมา

เสี้ยวขณะนี้ จินเวยที่มองดวงตาของจ้าวเฟิง ทั่วร่างอดสั่นสะท้านไม่ได้ ความหวาดเกรงเกิดขึ้นในใจ

‘เป็นไปได้ยังไงกัน? ข้าจะกลัวได้ยังไง!’

ในใจจินเวยตื่นตะลึงเล็กน้อย

จากนั้นจินเวยกระตุ้นสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณทันใด

ทันใดนั้น ร่างของเขาใสแวววาวดุจผลึกแก้ว แผ่กระจายประกายแสงขาวพราวพร่างออกมา พลังสายเลือดมหาศาลกลุ่มหนึ่งโจมตีไปยังจ้าวเฟิง

คิ้วจ้าวเฟิงขยับเล็กน้อย ถึงแม้จินเวยพลังแท้จริงจะไม่ได้เรื่อง แต่การใช้สายเลือดกลับยอดเยี่ยมเป็นอย่างยิ่ง สมกับที่เป็นลูกศิษย์หลักของเผ่าพันธุ์วิญญาณ

เพลิงมารโลหิตโบราณของจ้าวเฟิงต้องอยู่ในการฝึกฝนตลอด ถึงจะค่อยๆ ก้าวสู่หนึ่งในพันอันดับของบรรพกาลได้

ขณะนี้หากเขาโคจรสายเลือดเพลิงมารโลหิตโบราณก็แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะจะถูกสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณจินเวยควบคุมจนขยับไม่ได้ แต่จ้าวเฟิงไม่จำเป็นต้องใช้สายเลือดเลยสักนิด

“ฮ่าๆ เจ้าเด็กนั่นเพิ่งเคยเห็นสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณที่แท้จริงครั้งแรกล่ะสิ!”

“สายเลือดของเขาอยู่ต่อหน้าจินเวยจะไม่มีทางโคจรได้เลย!”

คนจำนวนไม่น้อยรอบด้านเห็นจ้าวเฟิงยืนนิ่งอยู่กับที่โดยไม่ได้โคจรสายเลือด จึงพากันเยาะเย้ยถากถาง

“ฝ่ามือรวมวิญญาณ!”

จินเวยกระตุ้นสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ ขับเคลื่อนไอสวรรค์ฟ้าดินทั้งหมดในเขตพลังค่ายกลเอามาใช้เป็นของตน

ฟิ้ว ฟิ้ว! รอบกายของเขามีเศษผลึกสีขาวนับไม่ถ้วนปลิวว่อน ประกายเศษผลึกพวกนี้ก่อตัวเป็นหมัดยักษ์ผลึกแก้วข้างหนึ่งตามการเคลื่อนไหวของจินเวย แล้วบดขยี้ไปยังจ้าวเฟิง

หมัดแสงผลึกแก้วใหญ่ยักษ์นั่นใกล้จะโดนจ้าวเฟิง แต่เขากลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน!

“ฮ่าๆ ขนาดสายเลือดโคจรไม่ได้ เจ้ายังต้านทานกระบวนท่านี้ของข้าได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว!”

หลังจากที่จินเวยซัดหมัดออกมาแล้ว เขาก็สำคัญตัวผิดไป ยิ้มพูดขึ้นอย่างสบายๆ

“อย่างนั้นรึ?” จู่ๆ จ้าวเฟิงก็พูดสองคำนี้ออกมา

วู้ม แซ่ด แซ่ด! อัสนีห้าสีชั้นหนึ่งพลันพวยพุ่งขึ้นจากผิวกายของเขา อัสนีเจิดจ้ากลุ่มนั้นก่อตัวเป็นตราอัสนีแต่ละสายอย่างรวดเร็ว ก่อนแนบติดไปกับผิวกายเขา

ในขณะเดียวกัน แก่นแท้พลังอัสนีที่บดขยี้ทำลายทุกสิ่งม้วนกวาดไปทั่วทุกทิศ

อากาศหนักอึ้งลงทันใด จากนั้นประกายหมัดผลึกแก้วที่โจมตีมาก็ชะงักไปโดยพลัน

ครืน! แรงดึงดูดและสายฟ้าเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หมัดแสงผลึกแก้วใหญ่ยักษ์แตกทลายทันที ทั่วทั้งเวทีต่อสู้สั่นสะเทือน

ไม่ไกลนัก จินเวยที่ไม่ทันตั้งตัวถูกแก่นแท้พลังมหาศาลบดอัดลงไป ในขณะเดียวกัน พลังอัสนีกลุ่มนั้นก็ทำให้เขาชาไปทั้งร่าง

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง? การโจมตีของจินเวยแตกทลายไปแล้ว!”

“เขาทำได้ยังไงกัน?”

กลุ่มคนรอบด้านร้องอย่างตกใจทันใด

พวกเขาคิดว่าจ้าวเฟิงอาจจะแพ้ราคาบในกระบวนท่าเดียวหรือไม่ก็ดิ้นรนอยู่ชั่วประเดี๋ยว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดภาพนี้ขึ้น

ตึง! เท้าของจ้าวเฟิงเพียงก้าวออกไป พลังแก่นแท้อัสนีกลุ่มหนึ่งม้วนไปรอบด้านโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง

จินเวยที่อยู่เบื้องหน้าเขาหัวใจเต้นระรัว ถูกโจมตีรุนแรงอีกครั้ง

ตึง! จ้าวเฟิงก้าวออกไปก้าวที่สอง จินเวยใบหน้าซีดขาว

ก้าวที่สาม! จินเวยกระอักเลือดสดๆ ออกมาทันที

ก้าวที่สี่! จินเวยนั่งไร้เรี่ยวแรงอยู่บนพื้น สั่นเทิ้มไปทั้งกาย!

เฮือก!

รอบด้านเวทีต่อสู้เงียบสงัด

นับจากการต่อสู้เริ่มขึ้น จ้าวเฟิงไม่ได้ลงมือ เพียงแค่ก้าวออกไปไม่กี่ก้าวเท่านั้นก็สามารถทำให้จินเวยได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่มีกำลังรบแม้แต่น้อย!

นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?

ศิษย์หลักทั้งหลายที่นั่นล้วนไม่อยากเชื่อว่าจ้าวเฟิงจะมีพลังเช่นนี้

“นี่หรือจึงจะเป็นพลังของเขา?” อีกด้านหนึ่ง พานฮ่าวอ้าปากกว้างจนยัดผิงกั๋วลูกใหญ่เข้าไปได้ทั้งลูก

เนื่องด้วยมีการสกัดกั้นจากเขตพลังค่ายกล พวกเขาสัมผัสไม่ได้ว่าจ้าวเฟิงสำแดงพลังที่แข็งแกร่งเพียงใดออกมา แต่ว่าสามารถเอาชนะจินเวยโดยไม่ลงมือ พลังต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“เจ้าเด็กนี่…” ดวงตาทั้งสองของจางอวี่ถงจ้องมา ในที่สุดก็มองจ้าวเฟิงตรงๆ

เซียนลั่วอวี่มองจ้าวเฟิงที่ต่อสู้อยู่บนเวทีอย่างเหม่อลอย ท่วงท่าไม่ธรรมดา องอาจสง่างาม ดุจเทพอัสนีไร้เทียมทาน ทรงอำนาจเหนือผู้ใด

“จ้าวหยูเฟย!” ในขณะนี้เอง ในกลุ่มผู้คนส่งเสียงตื่นตะลึง

“จ้าวหยูเฟยมาแล้ว!”

ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็มองไปยังที่ไกลๆ

เห็นเพียงสตรีชุดม่วงผู้งามสง่าไร้มลทินเลิศล้ำไม่เป็นรองใครลอยอยู่ที่ไกลๆ ราวกับทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในฟ้าดิน แม้กระทั่งปฐมเทพลั่วอวี่ก็ยังตะลึง จากนั้นก็เผยทีท่าริษยาขึ้น

“หยูเฟย!”

สีหน้าของจินเวยตะลึงไป ก่อนคำรามเสียงดัง “ไม่ ข้าจะแพ้ไม่ได้!”

เขาจะให้ตัวเองเผยท่าทางไร้สภาพเช่นนี้ต่อหน้าเทพธิดาได้อย่างไร เขาจะต้องเอาชนะจ้าวเฟิงให้ได้

ฟุ่บ! กระบี่ผลึกแก้วเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา บนนั้นมีเส้นผลึกสีฟ้าที่มหัศจรรย์ล้ำลึกเส้นหนึ่ง

เสี้ยวขณะที่กระบี่เล่มนี้ปรากฏขึ้น แม้กระทั่งกลุ่มคนที่อยู่นอกค่ายกลก็ล้วนสัมผัสได้ถึงจิตกระบี่ที่คมกริบ พลังเทพในร่างหลั่งไหลออกไปส่วนหนึ่ง

การเคลื่อนไหวของจินเวยดึงสายตาของทุกคนกลับมาจากจ้าวหยูเฟย

“อาวุธเทพระดับสูง กระบี่ผลึกสวรรค์!”

ศิษย์หลักคนหนึ่งร้องออกมาอย่างตื่นตะลึงทันใด

อาวุธเทพระดับสูงคืออาวุธเทพที่เทพโบราณใช้!

“คิดไม่ถึงเลยว่าบรรพชนของจินเวยจะมอบกระบี่ผลึกสวรรค์ให้เขาเอาไว้ป้องกันตัว!”

จางอวี่ถงมีสีหน้าตื่นตะลึง

ด้วยความคมกริบของอาวุธเทพระดับสูง นอกเสียจากจ้าวเฟิงจะนำอาวุธเทพระดับสูงออกมา มิฉะนั้นแล้วก็ไม่มีทางต้านทานได้เลย

“งานพบปะชุมนุม ห้ามใช้อาวุธเทพ!” พานฮ่าวร้องตกใจทันที

งานชุมนุมครั้งนี้ใจความสำคัญคือให้อัจฉริยะเผ่าพันธุ์วิญญาณได้แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ประลองฝีมือพูดคุย ไม่ใช่การต่อสู้เอาเป็นเอาตาย ไม่อนุญาตให้ใช้อาวุธเทพ!

ทว่าที่นั่นไม่มีใครไปห้ามปราม ในเมื่อพวกเขาล้วนหวังให้จ้าวเฟิงหายไปจากที่นี่กันทั้งนั้น

แต่ว่า ภาพเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้น

“จินเวย หยุดนะ!” สตรีชุดม่วงที่อึ้งตะลึงอยู่ที่ไกลๆ ร้องตะโกนขึ้นโดยพลัน ก่อนพุ่งตรงไปยังเวทีต่อสู้

ข่งเตี๋ยก็บินมายังข้างเวทีต่อสู้ทันทีเช่นกัน แล้วสลายเขตพลังค่ายกลออก

“หยูเฟย ทำไม…”

จินเวยอึ้งไปทันที จ้าวหยูเฟยไม่เคยตะคอกเขาเช่นนี้เลย นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ตอนนี้ จ้าวหยูเฟยมาถึงยังเวทีต่อสู้ ดวงตาทั้งสองที่พร่าเลือนจับจ้องจ้าวเฟิงโดยตลอด ไม่อาจเคลื่อนไปไหนได้

“หยูเฟย!” จางอวี่ถงสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย

ตลอดมา จ้าวหยูเฟยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคลื่นอารมณ์รุนแรงจากสตรีที่เขาชมชอบ

“พี่เฟิง…ในที่สุดท่านก็มา!”

หยาดน้ำไหลรินจากดวงตาทั้งสองของจ้าวหยูเฟย ในใจไม่มีสิ่งใดทั้งนั้น

สามสิบกว่าปีแล้ว ในที่สุดจ้าวเฟิงก็มาหานาง และนางก็รอมาสามสิบกว่าปีแล้วเช่นกัน ถึงแม้สามสิบปีสำหรับปฐมเทพนั้นแสนสั้น แต่นางกลับรู้สึกเหมือนรอมาแล้วสามพันปี สามหมื่นปี….

ดีที่ในที่สุดเขาก็มาแล้ว ไม่ต้องรออีกต่อไปแล้ว…

“ข้ามาช้าไป….” เสียงของจ้าวเฟิงก็ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเช่นกัน

เสี้ยวขณะนี้ เขาสะเทือนใจเป็นอย่างมาก หางตาก็เปียกชื้น

เมื่อเห็นหยูเฟยในเวลานี้ ในใจของเขาเจ็บปวดอย่างประหลาด เขาคิดอยากจะกอดสตรีเบื้องหน้าไว้ในอ้อมแขนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพื่อไม่ให้นางต้องรับความเจ็บปวดใดๆ อีก!

“หยูเฟย!” กลุ่มคนรอบด้านอดร้องตกใจไม่ได้

จากความรู้สึก พวกเขาพบว่าระหว่างจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยเหมือนจะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันมาก แต่ในยามนี้ จ้าวหยูเฟยจูงมือของจ้าวเฟิงเดินไปด้านหนึ่ง

“พวกเราไปคุยกันที่อื่น!”

จ้าวหยูเฟยเผยรอยยิ้มสดใส

“เป็นไปได้ยังไง…”

กลุ่มคนรอบด้านยืนอึ้งอยู่กับที่ หัวใจของพวกเขาเหมือนถูกชกอย่างรุนแรง ถูกกระเทือนอย่างหนักหน่วง

“หยูเฟย…” จินเวยมึนงงไปทันใด อาวุธเทพระดับสูงในมือร่วงลงพื้นดัง ‘เคร้ง’

ทุกคนล้วนคิดไม่ถึง เทพธิดาในใจของพวกเขาจับมือของคนที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่ง

อีกทั้งผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อเสียงคนนี้ยังเคยเป็นศิษย์รับใช้ ถูกพวกเขาเยาะเย้ยมาไม่รู้กี่ครั้ง

ด้านข้าง ชุยหลินตกอยู่ในความงงงัน หยิบเอาป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งออกมารับข่าว

สีหน้าของเขาตื่นตะลึง รีบมายังข้างๆ จางอวี่ถง พูดเสียงเบาอยู่สามสี่ประโยค

สีหน้าของจางอวี่ถงอึ้งไป ประกายเหี้ยมโหดฉายผ่านดวงตาทั้งสอง

“ช้าก่อน จ้าวเฟิง เจ้าเป็นเพียงแค่ศิษย์นอกเผ่า กลับกล้าบุกมางานชุมนุมของศิษย์หลักในตระกูล!”

จางอวี่ถงตะโกนทันใด

“เขาเป็นแค่ลูกศิษย์นอกเผ่างั้นรึ?” ศิษย์หลักบางคนถามอย่างตกใจ

ทุกคนล้วนคิดว่าคนที่มาที่นี่อย่างน้อยก็ต้องเป็นศิษย์ในเผ่า ไม่มีทางที่ศิษย์นอกเผ่าจะแฝงตัวเข้ามาได้ แต่จ้าวเฟิงกลับใช้ฐานะของศิษย์นอกเผ่ามายังที่นี่

“เป็นศิษย์นอกเผ่ายังกล้าแฝงตัวเข้ามาในงานชุมนุม!”

ในยามนี้ จินเวยพลันลุกยืน ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าอำมหิต

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version