Skip to content

King of Gods 1249

King Of Gods

บทที่ 1249 แรงกดดัน

หลังจากที่ออกไปจากงานพบปะชุมนุมแล้ว ทั้งสองคนเดินมายังพื้นที่ศูนย์กลางของเผ่าพันธุ์วิญญาณที่งดงามโอ่อ่า ทุกสิ่งที่นี่ล้วนเป็นวัสดุผลึกแก้วหลากสี ใต้ดินยังมีสายแร่ผลึกเทพระดับสูง ไอสวรรค์ฟ้าดินที่เข้มข้นดุจหมอกเบาบางลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับทิวทัศน์แดนเซียน

จ้าวหยูเฟยเหมือนเซียนหญิงน่ารักสดใส ฝีก้าวเบาหวิว ยากที่จะปกปิดความปีติในใจ

นางรู้ดีเป็นอย่างยิ่งว่าดินแดนเทพรกร้างกว้างใหญ่เพียงใด แต่เดิมนางคิดว่าจ้าวเฟิงจะหาเผ่าพันธุ์วิญญาณเจออย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองร้อยปี แต่จ้าวเฟิงกลับมาถึงเผ่าพันธุ์วิญญาณได้เร็วเช่นนี้ นี่เป็นการบอกชัดหรือไม่ว่าตำแหน่งของตนในใจของเขาสูงมาก? ใจของจ้าวหยูเฟยเปี่ยมสุขยิ่งนัก

ในขณะเดียวกัน จ้าวหยูเฟยยังตกใจเป็นอย่างยิ่ง หากหลายปีมานี้จ้าวเฟิงเดินทางโดยตลอด เช่นนั้นพลังของเขาเหตุใดจึงก้าวหน้าได้เร็วเพียงนี้?

“พี่เฟิง สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของข้าตามความเร็วในการฝึกฝนของท่านไม่ทัน!”

จ้าวหยูเฟยยิ้มพูดขึ้น

“สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณของเจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ แต่เจ้าอย่าลืมตาซ้ายของข้า…”

จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ

เขามีพลังอย่างทุกวันนี้ได้ ความเร็วการฝึกรวดเร็วเช่นนี้ ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเพราะตาซ้าย จากนั้นทั้งสองก็คุยกันถึงทุกข์สุขและประสบการณ์ของแต่ละฝ่ายในช่วงหลายปีนี้

จ้าวหยูเฟยนำจ้าวเฟิงมาถึงยังที่พักส่วนตัวของนางโดยไม่รู้ตัว

นี่เป็นหมู่ตำหนักผลึกแก้วงดงามที่เปล่งแสงม่วงวาววับแห่งหนึ่ง ยังไม่ทันเดินเข้าไป จ้าวเฟิงก็รู้สึกว่าในอากาศมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์โชยมา

“พี่เฟิงอยู่ที่เผ่าพันธุ์วิญญาณได้หรือไม่?”

จ้าวหยูเฟยจ้องมองจ้าวเฟิงด้วยสีหน้าจริงจัง สายตาอ่อนโยนจุจสายน้ำ การพบกันทุกครั้งของทั้งสองไม่นานนัก และทุกครั้งก็ต้องแยกจาก

ครั้งนี้จากกันไปสามสิบปี จ้าวหยูเฟยไม่รู้ว่าครั้งต่อไปจะต้องแยกจากกันนานเท่าใด

อีกทั้งจากที่จ้าวเฟิงเล่ามา นางก็ได้รู้ว่าคู่หมั้นของจ้าวเฟิงใช้อีกวิธีหนึ่งไปเกิดใหม่ตามสังสารวัฏแล้ว สำหรับนาง หลิ่วฉินอินในยามนี้ไม่ใช่หลิ่วฉินอินที่หมั้นหมายกับจ้าวเฟิงในตอนนั้นอีกต่อไป

และหากหลิ่วฉินอินไม่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่อีกทั้งพรสวรรค์แล้วละก็ อาจจะต้องอยู่ที่ดินแดนทวีปไปตลอดกาล ไม่มาปรากฏอยู่ในสายตาของจ้าวเฟิงอีกต่อไปก็เป็นได้

“ได้!”

จ้าวเฟิงมองใบหน้าที่ทำให้ใจหวั่นไหวของจ้าวหยูเฟย อารมณ์ความรู้สึกในใจทะลักล้นดุจคลื่นน้ำ

บางทีอาจเป็นเพราะสาละวนกับการสังหารในหลายปีมานี้ ทำให้เขาเหนื่อยล้ามากเกินไป บางทีอาจเป็นเพราะครั้งนี้จากกันนานเกินไป หรือบางทีอาจเป็นเพราะหลิวฉินอินตัดขาดจากอดีต…

การพบกันครั้งนี้ จิตใจของจ้าวเฟิงสับสนเป็นอย่างยิ่ง ยามมองจ้าวหยูเฟย ในใจก็เกิดอารมณ์ชั่ววูบที่ร้อนรุ่มขึ้น

สายตาของคนทั้งสองสบประสานรวมกัน ระยะห่างขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

แขนของจ้าวเฟิงโอบเอวบางอรชรของจ้าวหยูเฟยอย่างไม่รู้ตัว ทำให้นางส่งเสียงอย่างเขินอาย ทั่วร่างแดงเรื่อขึ้นชวนหลงใหล

แต่ในยามนี้เอง เสียงหนึ่งดังก้องไปทั้งตำหนัก

“หยูเฟย มาหาข้าที่นี่ อาจารย์มีเรื่องจะคุยกับเจ้า!”

สีหน้าของจ้าวหยูเฟยตื่นตระหนก รีบดิ้นออกจากอ้อมแขนของจ้าวเฟิง ใบหน้าเขินอาย ทำตัวไม่ค่อยถูก ส่วนจ้าวเฟิงก็ได้สติกลับมา มองโฉมสคราญเบื้องหน้าอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“ท่านอาจารย์เรียกหาข้า” จ้าวหยูเฟยพูดเสียงเบา

นางรู้ ทุกสิ่งที่งานพบปะชุมนุมเมื่อครู่ ผู้นำระดับสูงของเผ่าจะต้องเห็นแล้วอย่างแน่นอน

จ้าวเฟิงไม่มีสายเลือดบรรพกาลที่แข็งแกร่ง เผ่าพันธุ์วิญญาณจะต้องไม่ยอมรับเขา ไม่อนุญาตให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอย่างเด็ดขาด

“พี่เฟิง ไม่เช่นนั้นก็บอกเรื่องเนตรเทพเจ้าของท่านกับเผ่าพันธุ์วิญญาณ!”

จ้าวหยูเฟยเอ่ยเสียงแผ่ว

แค่เพียงเผ่าพันธุ์วิญญาณรู้เรื่องเนตรเทพเจ้าของจ้าวเฟิง จะต้องไม่ก้าวก่ายเรื่องของทั้งสองคนอย่างแน่นอน กระทั่งจะดึงจ้าวเฟิงมาเป็นพวกแทบไม่ทัน

ต้องรู้ว่า แปดเนตรเทพเจ้าที่รู้กันทั่วดินแดนเทพรกร้างล้วนเป็น ‘ผู้ครอบครองเนตรเทพเจ้า’ ที่สูงส่ง

“ข้าตอนนี้ยังอ่อนแอเกินไป หากเรื่องเนตรเทพเจ้าแพร่งพรายออกไป เกรงว่า…”

จ้าวเฟิงส่ายหน้าน้อยๆ

เขาก็มาถึงดินแดนเทพรกร้างแล้วถึงได้รู้จักความแข็งแกร่งของแปดเนตรเทพเจ้า

แต่เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าที่ตนครอบครอง เมื่อเทียบศักยภาพกับพวกเขาแล้วน่าจะต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ตอนนี้พลังของเขาไม่แข็งแกร่ง ถ้าเรื่องแพร่งพรายออกไป เกรงว่าขั้วอำนาจที่เคยเกิดความบาดหมางกับจ้าวเฟิงพวกนั้นจะจัดการกับเขาอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นอกจากนั้น เขายังไม่รู้ว่าแปดเนตรเทพเจ้าจะมีท่าทีอย่างไรกับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าของตน หากเนตรเทพเจ้าของจ้าวเฟิงสร้างความไม่พอใจให้กับเนตรเทพเจ้าคนใดก็ตาม เขาก็ตายอย่างไร้ที่ฝังทั้งสิ้น

จ้าวหยูเฟยพยักหน้า แน่นอนว่านางเข้าใจถึงความลำบากของจ้าวเฟิง

จากนั้นจ้าวหยูเฟยมุ่งหน้าไปยังที่พักของอาจารย์นาง ส่วนจ้าวเฟิงก็จากพื้นที่ของศิษย์หลักไปอย่างรวดเร็ว

ณ สถานที่ต้องห้ามของเผ่าพันธุ์วิญญาณ วังผลึกแก้วสีเขียวที่ค่อนข้างธรรมดาแห่งหนึ่ง

“หยูเฟย เขามาแล้วงั้นรึ?”

ผู้อาวุโสที่สวมชุดสีขาวมีกลิ่นอายราบเรียบพูดขึ้นอย่างเนิบช้า

หากจ้าวเฟิงอยู่ที่นี่ จะต้องจำได้อย่างแน่นอนว่าผู้อาวุโสคนนี้ก็คือผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์วิญญาณที่ไปยังดินแดนทวีปเพื่อรับจ้าวหยูเฟย

จ้าวหยูเฟยพยักหน้า อาจารย์รู้เรื่องทุกอย่างของนางกับจ้าวเฟิง

“เจ้าก็รู้สถานการณ์ยากลำบากของเผ่าพันธุ์วิญญาณในตอนนี้ ความขัดแย้งสองขั้วใหญ่ในเผ่ารุนแรงขึ้นทุกวัน และข้างนอกก็ยังมี ‘เผ่าเปลวทอง’ ตัวปัญหานี้อีก…”

ผู้อาวุโสชุดขาวทอดถอนใจ

ไม่ว่าขั้วอำนาจใดก็ตามล้วนไม่ได้สมัครสมานโดยสิ้นเชิง ในเผ่าพันธุ์วิญญาณก็มีข้อขัดแย้งไม่น้อย และข้างนอก เผ่าเปลวทองขั้วอำนาจห้าดาวอีกแห่งหนึ่งของเขตเทพสวรรค์ก็จ้องจะตะครุบเผ่าพันธุ์วิญญาณมาโดยตลอด

“ฝั่งของเราต้องแข็งแกร่ง เผ่าพันธุ์วิญญาณก็ต้องแข็งแกร่ง คนข้างบนไม่มีทางให้สายเลือดสูงส่งของเจ้าตกไปอยู่ในมือคนนอกที่ไร้ประโยชน์!”

ผู้อาวุโสชุดขาวพูดต่อ

ในความเป็นจริง เบื้องบนได้วางแผนเรื่องการแต่งงานของจ้าวหยูเฟยเอาไว้แล้ว

พวกเขาจะให้จ้าวหยูเฟยแต่งงานกับศิษย์หลักของอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อลดความขัดแย้งของทั้งสองฝั่ง หรือไม่ก็ให้นางแต่งกับอีกสองขั้วอำนาจห้าดาวของเขตเทพสวรรค์ เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากขั้วอำนาจอื่นเพื่อสยบเผ่าเปลวทอง

ส่วนจ้าวเฟิง มนุษย์ที่สายเลือดต้อยต่ำมีสิทธิ์อะไรจะเคียงคู่จ้าวหยูเฟย?

“พี่เฟิงจะอยู่ที่เผ่าพันธุ์วิญญาณ เขาไม่ใช่คนนอก!”

จ้าวหยูเฟยพูดด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว

“คนที่มาเกี้ยวพาเจ้ามากมายเช่นนั้น จ้าวเฟิงไม่ใช่คู่มือของพวกเขา!”

ผู้อาวุโสชุดขาวพูดอีกครั้ง

จ้าวหยูเฟยนิ่งเงียบไปทันใด แน่นอนว่าเรื่องนี้นางก็รู้ดี

จางอวี่ถงเทพแท้จริงขั้นหกคนนั้นเป็นแค่หนึ่งในผู้เกี้ยวพามากมาย ในขั้วอำนาจห้าดาวเผ่าพันธุ์วิญญาณอื่นๆ ยังมีผู้หมายตาที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาอีก

กระทั่งรวมถึงอัจฉริยะรุ่นอาวุโสกว่า ในยามนี้ถึงขั้นเทพโบราณก็ยังสนใจนาง!

“หากตอนนั้นเขาตามข้ามาเผ่าพันธุ์วิญญาณ ได้รับทรัพยากรฝึกฝนและบ่มเพาะจากขั้วอำนาจห้าดาว ในวันนี้ก็คงไม่เป็นเช่นนี้… ”

ผู้อาวุโสชุดขาวปลงอนิจจัง

ในตอนที่เขาพาจ้าวหยูเฟยมาเคยชักชวนจ้าวเฟิง แต่อีกฝ่ายปฏิเสธ หากยามนั้นจ้าวเฟิงมายังเผ่าพันธุ์วิญญาณ ฝึกฝนอย่างหนักหลายสิบปี บางทีอาจจะพัฒนาได้เป็นอย่างดี

ในตอนนี้เอง มีอีกร่างหนึ่งเดินมาอย่างช้าๆ

“ศิษย์พี่หยวนหลง!” จ้าวหยูเฟยทักทายด้วยสีหน้าค่อนข้างเศร้าซึม

“ศิษย์น้องหยูเฟย ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเห็นจ้าวเฟิงดีที่ตรงไหน แต่ข้าบอกเจ้าได้ว่าในเขตเทพสวรรค์มีอัจฉริยะที่ล้ำหน้าเขาในทุกๆ ด้านดาษดื่นไปทั่ว…”

หยวนหลงสีหน้าเย็นชา

ในใจของเขา คนที่คู่ควรกับหยูเฟย พลังอย่างน้อยๆ ต้องล้ำหน้าเขา ต่อมาคือสายเลือดจะต่ำต้อยไม่ได้

ส่วนจ้าวเฟิงยังเป็นเพียงแค่ปฐมเทพ สายเลือดบรรพกาลยิ่งเป็นอันดับประมาณหนึ่งพัน ในบรรดาผู้ที่มาเกี้ยวพาจ้าวเฟิงมีอยู่ถมเถไป

“หยูเฟย เจ้าคิดให้ละเอียด นี่ไม่ใช่เพียงแค่เจ้า แต่ยังเพื่อจ้าวเฟิงอีกด้วย!”

คำพูดของผู้อาวุโสชุดขาวแฝงด้วยความเฉียบขาด

……

งานชุมนุมยังไม่จบสิ้นลง พื้นที่ของศิษย์หลักค่อนข้างกว้างโล่ง จ้าวเฟิงจึงจากมาได้อย่างราบรื่นนัก

“รอให้ข้าทะลวงตำแหน่งเทพขั้นห้าได้ ก็มากพอที่จะพิสูจน์พรสวรรค์และศักยภาพของข้าได้แล้ว!”

จ้าวเฟิงพูดอย่างราบเรียบ

ต้องรู้ว่า ปฐมเทพทุนเทียนแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์กลืนนภาในตอนนั้นก็ทะลวงถึงเพียงตำแหน่งเทพขั้นที่สี่

ถึงแม้ตอนนี้จะผ่านมานาน บางทีเขาอาจจะมีโอกาสทะลวงตำแหน่งเทพขั้นสูงยิ่งขึ้น แล้วจ้าวเฟิงทำไมถึงจะทำบ้างไม่ได้ ความก้าวหน้าของเขาเหนือกว่าอัจฉริยะปฐมเทพอันดับหนึ่งของแดนศักดิ์สิทธิ์กลืนนภาเสียอีก

“แต่ว่าต้องรอไปก่อน!”

จ้าวเฟิงออกไปจากเขตศิษย์ในเผ่าอย่างรวดเร็ว แล้วกลับมายังที่อยู่ของตน

ในตอนนี้จ้าวเฟิงมีความมั่นใจที่จะทะลวงตำแหน่งเทพขั้นห้าเพียงแค่ห้าส่วนเท่านั้น หากสามารถเพิ่มความมั่นใจนี้ขึ้นอีกสี่ห้าส่วนจะไม่ยิ่งเป็นการดีขึ้นหรือ

ดังนั้นจ้าวเฟิงต้องสั่งสมพลัง ต้องรอให้ ‘วิชาวายุอัสนีห้าสาย’ และ ‘กายสายฟ้าปฐพีทอง’ ครบบริบูรณ์เสียก่อน

หลังจากที่กลับมายังที่พัก จ้าวเฟิงก็ปิดด่านฝึกตนต่อ

“เคล็ดวิชาทั้งสองขาดขั้นสุดท้ายอีกนิดจึงจะสมบูรณ์ได้….”

จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขารู้ดี ศักยภาพของเขาถูกบีบเค้นจนถึงขีดจำกัดแล้ว

ส่วนท้ายของเคล็ดวิชาทั้งสองเทียบเท่ากับขั้นเทพแท้จริง

แต่ขอบเขตพลังของจ้าวเฟิงกลับหยุดอยู่ที่ปฐมเทพ หากไม่ทะลวงขั้น เคล็ดวิชาทั้งสองก็ยากที่จะพัฒนา

จุดนี้ก็เป็นปัญหายากที่รบกวนใจปฐมเทพทั้งหลายในดินแดนเทพรกร้าง

ทุกคนล้วนรู้ว่าต้องสั่งสมประสบการณ์และพลังอย่างไม่หยุดหย่อนจึงจะสามารถทะลวงตำแหน่งเทพขั้นสูงขึ้นได้ ในวันข้างหน้าศักยภาพจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่เมื่อศักยภาพไปถึงขีดจำกัด หากไม่ทะลวงขั้นพลังฝึกตน เคล็ดวิชาก็ยากจะก้าวหน้าแม้เพียงเศษเสี้ยว ทำให้ล่าช้าเสียเวลา ดังนั้นคนส่วนมากล้วนยอมแพ้ ทะลวงสู่เทพแท้จริงไปเลย หลังจากนั้นถึงค่อยๆ ทะลวงขั้นขึ้นไป

เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว

จ้าวเฟิงฝึกฝนอยู่ในชุดคลุมมิติสามร้อยวัน แต่ความก้าวหน้าก็ยังคงเล็กน้อยเช่นเคย

ในวันนี้ พานเจี๋ยมาหาเขา

“จ้าวเฟิง เจ้ารู้จักกับจ้าวหยูเฟยจริงๆ เสียด้วย!”

พานเจี๋ยเอ่ยอย่างตื่นตะลึงก่อนเป็นอย่างแรก

อย่างไรเขาก็คาดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงที่ไร้ชื่อเสียงและเป็นศิษย์นอกเผ่าธรรมดาสามัญคนหนึ่ง จะมีความสัมพันธ์ลับๆ กับจ้าวหยูเฟยเทพธิดาแห่งเผ่าพันธุ์วิญญาณ

ต่อมาจ้าวเฟิงก็ได้รู้ถึงสถานการณ์ภายนอกจากพานเจี๋ย

ตอนนี้ทั่วทั้งเผ่าพันธุ์วิญญาณแทบจะทุกคนรวมทั้งศิษย์รับใช้ก็ล้วนรู้ว่าจ้าวหยูเฟยคบหาอยู่กับจ้าวเฟิง

“สหายจ้าว เจ้าต้องระวังตัวแล้ว!”

พานเจี๋ยเริ่มรู้สึกกังวล

จ้าวเฟิงเกี้ยวพาจ้าวหยูเฟยได้ ถึงแม้จะทำให้ทุกคนตกตะลึง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดี

ที่นี่คือถิ่นของเผ่าพันธุ์วิญญาณ จ้าวเฟิงที่เป็นคนนอกมาแก่งแย่งจ้าวหยูเฟยกับศิษย์หลักทั้งหลายในเผ่าพันธุ์วิญญาณ

สำหรับพานเจี๋ย นี่เป็นจุดจบที่ต้องตายเท่านั้น

ในเผ่าพันธุ์วิญญาณ ศิษย์หลักของเผ่าเหล่านั้น หากคิดรับมือกับจ้าวเฟิงก็ช่างง่ายดายนัก หากผู้นำระดับสูงอนุญาตแล้วละก็ ต่อให้แอบใช้อุบายสังหารจ้าวเฟิงก็ไม่มีใครสนใจ

“ข้ารู้!” จ้าวเฟิงพยักหน้า นี่ก็คือเหตุผลที่เขาไม่เปิดเผยพลังออกไปมากนัก

ในยามที่ทั้งสองพูดคุยกันนี้เอง ข้างนอกตำหนักก็มีเสียงคำรามดังมา “จ้าวเฟิง ข้าเว่ยเจ๋อขอท้าสู้เจ้า ข้าต้องการพิสูจน์ว่าเจ้าไม่คู่ควรกับจ้าวหยูเฟย!”

“เว่ยเจ๋อเป็นศิษย์หลัก ถึงแม้จะไม่ใช่สายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณ แต่ก็อยู่อันดับต้นๆ ถึงระดับสูงสุดของขั้นสี่แล้ว เจ้าอย่าได้รับคำท้า…”

พานเจี๋ยมีสีหน้าตกตะลึง รีบเอ่ยห้ามทันใด

พลังฝึกตนของพานเจี๋ยถึงขั้นสี่ระดับสุดยอดแล้ว ไม่เหมือนกับเทพแท้จริงขั้นสี่ทั่วไปด้านนอก อีกทั้งเขายังได้รับทรัพยากรฝึกฝนที่ดีที่สุด ฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ดีที่สุด ทั้งยังมีอาวุธเทพชั้นเยี่ยม

“จ้าวเฟิง เจ้าคนเกาะชายกระโปรงผู้หญิง กล้ารับคำท้าหรือไม่!”

ด้านนอกยังมีเสียงร้องโหวกเหวกของคนอื่นๆ อีกด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version