Skip to content

King of Gods 127

King Of Gods

บทที่ 127 : กวาดล้างว่าที่ศิษย์สายใน (1)

ในเสี้ยววินาที พลังและจิตต่อสู้ของเซี่ยวซุนก็ได้เข้าสู่จุดสูงสุด

พลังฝึกขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณและวิชามนุษย์ระดับกลาง คู่มือเพลิงอัสดง ได้ทำให้เขาสามารถโจมตีจ้าวเฟิงได้ทุกเวลาที่ต้องการ

“ผู้ที่เพิ่งจะเข้าร่วมสำนักผู้หนึ่งจะมีวิชามนุษย์ระดับกลางได้อย่างไร?” ศิษย์สายนอกใกล้ๆ ต่างนิ่งอึ้งไป

“นอกจากหลินฟ่านที่ครองอันดับหนึ่งในว่าที่ศิษย์สายในแล้ว ข้าไม่เคยได้ยินว่าผู้อื่นได้ครอบครองวิชามนุษย์ระดับกลางมาก่อน”

เหล่าผู้ที่มีวิชามนุษย์ระดับกลางนั้นมีข้อได้เปรียบมากกว่าผู้อื่นหลายเท่า

“บัดซบ! คู่ต่อสู้คนแรกของศิษย์น้องจ้าวก็น่ารำคาญเช่นนี้แล้ว!”

หยางชิงชั่นและหนานกงฟั่นสบตากัน ทั้งคู่ต่างเคร่งเครียด

ทุกคนล้วนรู้ว่าจ้าวเฟิงนั้นต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ 4 คน ในวันนี้ และไม่มีผู้ใดเลยที่ง่ายกาย ในทางกลับกัน ยิ่งต่อสู้ไปนานเท่าใด คู่ต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

ดังนั้นแล้ว ทุกคนจึงไม่แม้แต่จะคิดเกี่ยวกับชัยชนะของเด็กหนุ่ม พวกเขากำลังคิดว่าเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวผู้นั้นจะอยู่รอดจากสถานการณ์ปัจจุบันไปได้นานเท่าใด การประลองแรกกับเซี่ยวซุนนับว่ายากเกินกว่าที่คาดแล้ว

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าเราอาจไม่แม้แต่จะมีโอกาสสู้”

พี่น้องหงหัวเราะออกมา

บนเวที

จ้าวเฟิงสำรวจคู่ต่อสู้อย่างใจเย็น

เขาต้องประลองทั้งหมดสี่ครั้งในวันนี้ ดังนั้นแล้วเขาต้องจบการต่อสู้แรกให้เร็ว เขากระทั่งต้องจบการประลองสามรอบแรกให้เร็วที่สุดเพราะว่าคนที่น่ากลัวที่สุดนั้นคือโฮวหยวน และเด็กหนุ่มต้องประหยัดพลังไว้สู้กับอีกฝ่าย

“จ้าวเฟิง! การประลองแรกของเจ้าคือการประลองสุดท้าย!”

ประกายแสงสีแดงแล่นวาบในดวงตาของเซี่ยวซุนพร้อมกับที่กลิ่นอายแผดเผาได้รายล้อมร่างของจ้าวเฟิงไว้

“เป็นพลังภายในและความเร็วที่น่าพรั่นพรึงอันใดเช่นนี้”

มันราวกับว่าจ้าวเฟิงได้ร่วงหล่นลงสู่ทะเลเพลิง ก่อนที่เด็กหนุ่มจะได้ขยับตัว คู่ต่อสู้ก็ได้รวบรวมพลังภายในและโจมตีออกแล้ว

ตูมมมม!

หมัดที่ส่องประกายสีแดงราวอุกกาบาตพุ่งตรงไปยังจ้าวเฟิงอย่างรุนแรง

กระบวนท่าลมเคลื่อน! ย่างก้าวหมอกผันแปร!

ร่างของเด็กหนุ่มพลันกลายเป็นพร่าเลือนและหายไป จากนั้นเขาจึงเริ่มเคลื่อนไหวไปรอบการโจมตีของเซี่ยวซุนด้วยท่าทางราวกับมัจฉา

ประกายแสงสีแดงและร่างวูบวาบนั้นทำให้ฝูงชนเบื้องล่างไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน

พวกเขาสามารถมองเห็นการโจมตีของเซี่ยวซุนได้ ทว่ากลับมองไม่เห็นร่างของจ้าวเฟิง ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มทำความเข้าใจภาพมัจฉามายา ย่างก้าวหมอกผันแปรของเขาก็ได้ก้าวข้ามขั้นหลอมรวมไปแล้ว

ร่างของจ้าวเฟิงพร่าเลือน จริง ลวงหลอก และเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง

แม้ว่าการโจมตีของเซี่ยวซุนจะแข็งแกร่ง ทว่าไม่มีการโจมตีใดเลยที่สามารถสัมผัสชายเสื้อของจ้าวเฟิงได้ วิชาเคลื่อนไหวของเขานั้นยอดเยี่ยม และเซี่ยวซุนไม่อาจที่จะแยกแยะได้ว่าร่างใดที่เป็นร่างจริง เขาถูกหลอกด้วยภาพมายาทุกครั้ง

“วิชาเคลื่อนไหวนี่ดูเหมือนจะมีนัยยะของค่ายกลบางอย่าง หรือว่า…?”

ผู้คุมกฎชิวจ้องไปยังร่างของจ้าวเฟิงด้วยสายตาตะลึงงันที่แล่นผ่านดวงตา

ร่างทั้งสองบนเวทีได้เข้าปะทะกันชั่วครู่ และแม้ว่าคู่มือเพลิงอัสดงของเซี่ยวซุนจะทรงพลัง เขากลับโจมตีพลาดทุกครั้ง ทว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ยังสร้างความตื่นตะลึงให้กับว่าที่ศิษย์สายในสิบอันดับแรกอยู่ดี

กระทั่งจ้าวเฟิงก็ไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายโดยตรง อย่างแรก อีกฝ่ายนั้นใช้วิชามนุษย์ระดับกลาง และแม้เซี่ยวซุนจะยังไม่ได้ฝึกมันจนเข้าขั้นสูง มันก็ยังคงทรงพลัง อย่างที่สอง จ้าวเฟิงต้องการที่จะรักษาพลังของเขาไว้สำหรับการประลองรอบหลัง

สามตอกเพลิงอัสดง!

แสงสีแดงซีดปรากฏขึ้นบนร่างของเซี่ยวซุนพร้อมกับที่หมัดร้อนแรงที่ชกออกไปเบื้องหน้าสามครั้งติดๆ กัน สร้างระลอกคลื่นการโจมตีวงกว้าง

อากาศสีแดงจางระเบิดออกทุกทิศทาง

เพียงแค่กระบวนท่านี้ เขาสามารถเอาชนะอี้เฟิงอวิ๋นที่เคยครอบครองอันดับที่สิบสามก่อนหน้าได้แล้ว ไม่น่าแปลกที่เขาจะมีความมั่นใจในการท้าประลองจ้าวเฟิง

“แตก!”

ร่างมายาของจ้าวเฟิงพลันพุ่งวาบไปยังร่างของคู่ต่อสู้ ในตอนนี้เด็กหนุ่มได้เคลื่อนไหวในที่สุด

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

นิ้วชี้ของเด็กหนุ่มแทงออกไปซ้ำๆ ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน บางเส้นแสงนั้นตรง บ้างก็โค้ง ทว่าทั้งหมดได้พุ่งไปยังเซี่ยวซุน

ใบหน้าของเซี่ยวซุนพลันซีดขาวเพราะการโจมตีของอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความปราดเปรียว และการโจมตีที่แท้จริงนั้นยากที่จะค้นพบ

สิ่งที่เขาได้ยินมีเพียงเสียงของพลังภายในที่ถูกปลดปล่อย ดังนั้นแล้วเขาจึงพยายามที่จะหาตำแหน่งของอีกฝ่ายด้วยเสียง ทว่าหลังจากที่ดรรชนีดาราได้หลอมรวมเข้ากับความเข้าใจจากภาพมัจฉามายา มันก็เกือบจะกลายเป็นวิชาใหม่โดยสิ้นเชิง พลังโจมตีมากขึ้น ทั้งยังเต็มไปด้วยความปราดเปรียวและมายา

สิ่งที่เจ้าเห็นและได้ยินอาจไม่ใช่ความจริง เพราะหูและตาได้ถูกหลอกด้วยมายาแล้ว

ฉูดดด!

เส้นแสงเส้นหนึ่งได้พุ่งผ่านไหล่ของเซี่ยวซุน สร้างรอยเลือดไว้บนร่างและทำให้ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้าน

ทันใดนั้นก็ปรากฏรอยเลือดที่สองและสามขึ้นติดๆ กัน…

เซี่ยวซุนได้ตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤต เขาได้โคจรคู่มือเพลิงอัสดงอย่างกราดเกรี้ยวเพื่อพยายามตอบโต้ ทว่าทุกครั้งที่เขาทำเช่นนั้น เขากลับไม่อาจแตะได้แม้แต่ชายเสื้อของอีกฝ่าย

ความเร็วและการโจมตีของจ้าวเฟิงได้หลอกลวงเซี่ยวซุนทุกครั้ง

เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ร่างของเซี่ยวซุนก็ปรากฏรอยเลือดกว่า 7-8 รอย ผมเผ้ายุ่งเหยิงขณะที่หอบหายใจอย่างหนัก

“ยอมแพ้ซะ”

ร่างสองร่างกลายเป็นหนึ่งเบื้องหน้าชายหนุ่มเผยให้เห็นร่างจริงของจ้าวเฟิง

เซี่ยวซุนได้ใช้พลังส่วนมากไปแล้ว ทั้งยังบาดเจ็บ หากไม่เป็นเพราะจ้าวเฟิงออมมือให้ เขาอาจสูญเสียชีวิตไปแล้ว ทว่าความรู้สึกที่ไม่อาจแตะต้องแม้ชายผ้าของอีกฝ่ายตลอดทั้งการต่อสู้ได้ทำให้เขาเสียสติไป

คลื่นทำลายล้างเพลิงอัสดง!

ฝ่ามือของเซี่ยวซุนแหวกฝ่าอากาศและกระแทกเข้าไปยังร่างของจ้าวเฟิงที่ยืนอยู่เบื้องหน้า

ภาพนั้นทำให้หยางชิงชั่นและคนอื่นๆ ด้านล่างอุทานออกมาอย่างหวาดกลัวและคิดว่าจ้าวเฟิงนั้นประมาทเกินไป

ผลุบ!

ร่างของจ้าวเฟิงสลายหายไปในอากาศ

เซี่ยวซุนตวาด ‘ฉิบหาย’ อยู่ในใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะทันตั้งตัว พลังภายในแหลมคมก็ได้ทิ่มแทงเขาจากเบื้องหลัง

พลังโจมตีของการโจมตีนี้ได้พุ่งทะลุร่างของเขา

ร่างของเซี่ยวซุนแข็งค้างและขยับหมุนไปด้านหลังอย่างยากลำบากก่อนจะพบกับสายตาเย็นเยียบของคู่ต่อสู้

“หากนี่เป็นการต่อสู้เอาเป็นเอาตายจริงๆ เจ้าย่อมตายไปนับพันครั้งแล้ว…”

มีพลังฝึกตนสูงส่งและวิชาโจมตีรุนแรงแล้วอย่างไร? หากพลังต่อสู้จริงๆ ของเจ้าเป็นเพียงขยะ มันก็ไร้ประโยชน์

“การประลองแรก ผู้ท้าประลองเซี่ยวซุน แพ้!” ผู้คุมกฎชิวประกาศ

หลังจากที่เซี่ยวซุนพ่าย พี่น้องหงก็ได้เก็บความเย่อหยิ่งของตนไว้ สีหน้ากลายเป็นเคร่งเครียดแทน

จากการต่อสู้ก่อนหน้า ความแข็งแกร่งของเซี่ยวซุนนับว่าติดหนึ่งในสิบ และยอดฝีมือเช่นเขากลับถูกปั่นหัวโดยจ้าวเฟิง

มันอาจคิดได้เพียงว่าความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั้นมีเพียงแต่แข็งแกร่งกว่าพวกเขา ไม่ด้อยกว่า

“การประลองที่สอง: จ้าวเฟิง อันดับที่ 13 vs หงซื่อ อันดับที่ 9”

จ้าวเฟิงกลายเป็นผู้ท้าประลองแล้วในตอนนี้

ชิ้ง!

ร่างใหญ่โตของหงซื่อนั้นราวกับแมวขณะที่เขากระโจนขึ้นมาบนเวที

รูม่านตาของจ้าวเฟิงหดเล็กลงเล็กน้อย เขาพบว่าการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายนั้นคล่องแคล่ว ทั้งยังเห็นพลังมหาศาลภายในร่างของอีกฝ่ายอีกด้วย

“ร่างกายที่คล่องแคล่ว ไม่เพียงแค่เขาเข้าสู่ขั้นสูงในวิชาเสริมกายา เขายังเข้าสู่ขั้นครึ่งก้าวของขอบเขตก่อกำเนิดปราณ…”

เด็กหนุ่มคาดคำนวณความแข็งแกร่งของหงซื่อ ในด้านของวิชาเสริมกายาและความเร็วนั้น หงซื่อนั้นเหนือกว่าเซี่ยวซุนมาก

แขนไถโลหะ!

ร่างของหงซื่อกระโดดไปเบื้องหน้าจ้าวเฟิงและส่งหมัดของเขาออกไปอย่างหนักหน่วง

ตูมมม!

รูขนาด 50 เซนติเมตรปรากฏขึ้นบนพื้นเวทีซึ่งสร้างข้นจากหินสีดำสนิท

แขนไถโลหะของหงซื่อนั้นเป็นวิชาที่รุนแรงอย่างมากซึ่งสามารถกวาดทุกสิ่งได้

จ้าวเฟิงพลันตอบโต้ด้วยย่างก้าวหมอกผันแปรและหลบหลีกการโจมตีของอีกฝ่าย ทว่าสัญชาตญาณการต่อสู้ของชายหนุ่มนั้นเหนือกว่าเซี่ยวซุนและเขารับรู้ถึงร่างของจ้าวเฟิงได้

ดรรชนีชี้ดารา!

เสียงกรีดแหลมพลันปรากฏขึ้นแหวกอากาศก่อนจะพุ่งทะลุม่านป้องกันของหงซื่อ

ฉูด!

รอยเลือดปรากฏขึ้นบนขาของชายหนุ่มพร้อมกับเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด

เหตุผลที่จ้าวเฟิงโจมตีสำเร็จนั้นเป็นเพราเขาสามารถจับช่องว่างเล็กๆ ของอีกฝ่ายได้ด้วยดวงตาซ้ายของเขา ตัวหงซื่อเองไม่แม้แต่จะรู้ตัวก่อนหน้า

หลังจากที่ขาบาดเจ็บ ความเร็วของหงซื่อก็ลดลงและถูกโจมตีอีกครั้งด้วยดรรชนีดาราของเด็กหนุ่ม กระทั่งบนร่างของหงซื่อปรากฏรอยเลือดกว่าสิบรอย จ้าวเฟิงจึงเตะเขาออกไปจากเวที

ตุบ!

หงซื่อหน้าทิ่มพร้อมกัดฟันกรอดอย่างเกลียดชัง หากขาของเขาไม่บาดเจ็บในตอนแรกซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้าลง เขาย่อมไม่แพ้ง่ายดายเพียงนี้

“หงซาน! ไอ้หมอนี่ค่อนข้างแปลกประหลาด ระวังด้วย…”

หงซื่อบอกแก่หงซานที่กำลังจะขึ้นไปบนเวทีในสิ่งที่เกิดขึ้น

ผู้เป็นพี่ของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าเขา ทั้งยังใจเย็นกว่า

“หงซาน! เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาชนะไอ้เด็กเหลือขอนั่น สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงถ่วงเวลาสักหน่อยและทำให้เขาใช้พลังให้มากขึ้น” เสียงเสียงหนึ่งดังเขาหูของชายหนุ่ม

หงซานผงกศีรษะหลังจากได้ยินเช่นนั้นและเดินขึ้นไปบนเวทีอย่างเชื่องช้าและมั่นคง

จ้าวเฟิงสำรวจคู่ต่อสู้คนที่สามของเขาอย่างช่วยไม่ได้

กลิ่นอายของหงซานนั้นล้ำลึกกว่าผู้เป็นน้อง

กรงเล็บพญาอินทรีเหล็ก!

วิชาเคลื่อนไหวของหงซานนั้นสามารถล่าถอยและรุกหน้าได้อย่างคล่องแคล่วปราดเปรียวนัก ทั้งการโจมตียังแหลมคมและรวดเร็วราวสายฟ้า

เพี้ยะ!

กรงเล็บที่รวดเร็วราวสายฟ้าที่ป่นโลหะหนาสองสามเซนติเมตรได้พุ่งแหวกอากาศออกไป

ย่างก้าวหมอกผันแปร!

ร่างของจ้าวเฟิงพลันกลายเป็นพร่าเลือนอีกครั้งและหลบการโจมตีรุนแรงของอีกฝ่ายไป

ร่างทั้งสองได้เข้าปะทะกันอีกครั้ง

จ้าวเฟิงพบว่าหงซานนั้นไม่เคยโจมตีอย่างผลีผลาม อีกฝ่ายนั้นให้ความสนใจและไม่ประมาทคู่ต่อสู้แม้แต่น้อย

ดวงตาของหงซานนั้นแหลมคมขณะที่เขามองไปยังจ้าวเฟิงอย่างเย็นชา

“ไอ้เด็กเหลือขอสกุลจ้าว ข้ายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า แต่มันย่อมไม่ง่ายในการที่จะเอาชนะข้า”

เป้าหมายของเขามีเพียงการทำให้อีกฝ่ายเสียพลัง ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version