บทที่ 1294 คนคุ้นเคยจากดินแดนทวีป
ลำดับแรก จ้าวเฟิงจะทดลอง ‘วิชาอำพรางดวงตา’ เมื่อโคจรเคล็ดวิชาแล้ว เหนือหัวเขาก็ปรากฏระลอกพลังที่ผิดปกติขึ้น ไม่นานนัก แสงประกายในดวงตาของเขาอ่อนแสงลงไปส่วนหนึ่ง
เช่นเดียวกัน ผมสีเงินสว่างราวภาพฝันก็เปลี่ยนเป็นสีดำทั้งหมดทันที แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงก็จบลงเท่านี้ ไม่ได้มีอะไรอีก หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จ้าวเฟิงก็หยุดโคจรวิชาแล้วลืมตาขึ้น
“วิชาอำพรางดวงตาไม่สามารถปกปิดลักษณะพิเศษของดวงตาเทพเจ้าข้าได้!”
จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยใบหน้าราบเรียบ
ตอนเขาทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้ก็เดาเรื่องนี้ออกแล้ว
อย่างไรเสีย ดวงตาของจ้าวเฟิงก็ไปถึงขั้นปฐมเทพ หนำซ้ำยังมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นดวงตาเทพเจ้าลำดับที่เก้า
‘วิชาอำพรางดวงตา’ ระดับต่ำนี้ย่อมไม่สามารถปกปิดลักษณะพิเศษของสายเลือดดวงตาได้
บางทีในตอนที่ดวงตาเทพเจ้าเป็นสีทอง เคล็ดวิชานี้อาจจะพอมีผล
ลำดับต่อมา จ้าวเฟิงลองเคล็ดวิชาที่ระดับขั้นค่อนข้างสูงอย่าง ‘วิชาผนึกดวงตา’
‘วิชาผนึกดวงตา’ จะผนึกความสามารถทั้งหมดของสายเลือดดวงตาเป็นหลัก หรือไม่ก็ความสามารถบางส่วน แต่เมื่อพิจารณาถึงความแข็งแกร่งของดวงตาเทพเจ้าแล้ว คิดว่าไม่น่าจะผนึกได้ทั้งหมด
ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงผนึกแค่พลังสำคัญไว้ นั่นก็คือพลังดั้งเดิมภายในลูกกลมสีเงินมายาในมิติเนตรเทพเจ้า
ในตอนที่ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกลายเป็นสีเงินมายา การเปลี่ยนแปลงของแก่นแท้ก็คือพลังดั้งเดิมที่สามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างอิสระ ขอแค่ผนึกพลังดั้งเดิมได้ พลานุภาพดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็จะลดลงไปมาก หากคนอื่นคิดล่วงรู้ความพิเศษของดวงตาเทพเจ้าก็จะลำบากยากเย็นยิ่ง
วิ้ง! ในมิติดวงตาเทพเจ้าปรากฏริ้วลายสลับซับซ้อนที่เกิดขึ้นจากพลังเทพรวมศูนย์ ดูราวกระดาษบางๆ แผ่นหนึ่ง
จ้าวเฟิงควบคุมให้ตราผนึกนั้นแนบติดไปกับลูกกลมสีเงินมายา
วู้ม วูบ! แต่ทว่าตอนที่ผนึกของเคล็ดวิชาเข้าใกล้ลูกแสงสีเงิน ในนั้นก็ส่งแรงต้านไม่น้อยออกมา
“ยากเหมือนกัน!” จ้าวเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพยายามที่จะกดพลังดั้งเดิมอย่างสุดแรงแล้ว
‘วิชาอำพรางดวงตา’ ไม่มีผลใดก็อยู่ในความคาดเดาของเขา แต่ ‘วิชาผนึกดวงตา’ ก็ไม่มีผลใดเช่นกัน การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ขาดทุนแล้ว
“จริงด้วย ก่อนนี้ข้าเคยศึกษาเสวียนอ้าวผนึกบางส่วนมานี่!”
จู่ๆ จ้าวเฟิงก็นึกออก
เขาบรรลุเสวียนอ้าวผนึกไปเล็กน้อยก่อนนี้ เสวียนอ้าวส่วนนี้ไปถึงขอบเขตขั้นที่สองตามพลังฝึกตนของเขาที่ทะลวงขั้นเทพโบราณ ถึงแม้ว่าพลังเสวียนอ้าวจะต่ำ แต่ถ้าหากหลอมรวมเข้าไปในวิชาผนึกนี้ก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว จ้าวเฟิงจึงโคจรพลังเสวียนอ้าวผนึกหลอมรวมเข้าไปในเคล็ดวิชาผนึก ทันใดนั้น ริ้วลายพลังเทพรวมศูนย์ที่ราวกระดาษบางก็ขยายใหญ่ขึ้น แต่ละเส้นก็สมจริงขึ้น
พลานุภาพของเคล็ดวิชาผนึกเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จ้าวเฟิงจึงลงมือปิดผนึกต่อ
ครั้งนี้เคล็ดวิชาผนึกล้อมรอบลูกกลมสีเงินมายาได้เป็นผลสำเร็จ
วู้ม! ประกายแสงในดวงตาสีเงินมายาของจ้าวเฟิงค่อยๆ อ่อนลงไป เหมือนว่าสูญเสียพลังชีวิตและวิญญาณ แต่เรือนผมสว่างที่โบกพลิ้วอย่างอิสระก็เป็นเช่นนั้น
ก่อนนี้ดวงตาและเรือนผมของจ้าวเฟิง ไม่ว่าใครเห็นก็ยังรู้สึกว่าผิดปกติอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้ไม่สะดุดตาเพียงนั้นอีกต่อไป
ต่อจากนั้นจ้าวเฟิงจึงเริ่มปิดด่านฝึกตนครู่หนึ่ง
ก่อนนี้เพราะเขาฝึกฝนเสวียนอ้าวห้าธาตุ วายุอัสนี และมิติเวลา ดังนั้นเขาจึงเลิกฝึกเสวียนอ้าวผนึกที่ยากกว่านั้น แต่ในตอนนี้เขาฝึกฝน ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ยิ่งพลังเสวียนอ้าวมาก พลานุภาพของวิชาก็มากขึ้นตามไปด้วย หนำซ้ำประโยชน์ของเสวียนอ้าวผนึกก็มีมากมาย จ้าวเฟิงจึงสนใจเช่นกัน
เขาจึงเอาหินผนึกเทพหลายชิ้นออกมาศึกษาพลังเสวียนอ้าวภายในนั้นอย่างละเอียด
สามสิบวันต่อมาเขาได้รับการติดต่อจากเซี่ยโหวอู่ ถึงจะออกจากการปิดด่าน
แต่โลกภายนอกเพิ่งผ่านไปเพียงสี่วันเท่านั้น
“งานชุมนุมเนตรเทพเจ้าจะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า จะมาสิ้นเปลืองเวลาเช่นนี้ไม่ได้!”
เซี่ยโหวอู่เอ่ยทันที
สถานที่จัดงานชุมนุมเนตรเทพเจ้าใหญ่โตอย่างยิ่ง สถานที่ที่ทั้งสองคนเคยไปก็เป็นเพียงแค่มุมหนึ่งในนั้น
“ถัดจากนั้นไปดูการประลองของสายเลือดดวงตาอื่นกันเถอะ!”
เซี่ยโหวอู่เสนอ
ในฐานะที่เป็นทายาทเนตรชีวิต เขาอยู่ในแดนศักดิ์สิทธิ์ชีวิตเป็นเวลานาน เห็นทายาทเนตรเทพเจ้าคนอื่นไม่มากนัก ส่วนพวกที่ค่อนข้างทรงพลังยิ่งน้อยนิดลงไปอีก
แต่ที่งานชุมนุมเนตรเทพเจ้าต่างออกไป ที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวของทายาทแปดเนตรเทพเจ้ารวมไปถึงผู้ครอบครองสายเลือดดวงตาอื่น ทั้งยังไม่จำกัดระดับพลังฝึกตนด้วย
“ตกลง!” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ
ในตอนนี้เขาเลิกฝึกร่างกาย เลือกที่จะศึกษาวิชาดวงตาและวิญญาณโดยเฉพาะ
หากชมการประลองของสายเลือดดวงตาคนอื่นๆ ย่อมได้เรียนรู้มากมาย หรืออาจจะถึงขั้นสามารถคัดลอกวิชาดวงตาของอีกฝ่ายได้ ถึงแม้ว่าพลังดั้งเดิมของเขาจะถูกปิดผนึก และจำกัดพลังของดวงตาเทพเจ้าไว้ แต่ไม่ได้ส่งผลอะไรมากกับการคัดลอกหรือว่าเรียนรู้
ทั้งสองเดินทางไปไม่นานนักก็เจอตำหนักทรงเหลี่ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีเสียงอึกทึกครึกโครมดังลอดออกมา
แต่นั่นเป็นแค่สถานที่ประลองทั่วไป ในนั้นสามารถเลือกคู่ต่อสู้ได้ตามอำเภอใจเพื่อฝึกปรือความสามารถของตนเอง ในเวลาเดียวกันก็จะถูกคนอื่นท้าประลองได้ด้วยเช่นกัน
“พวกเราไปที่ลานประลองใหญ่แล้วกัน ที่นั่นจะได้ดูการประลองของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง!”
เซี่ยโหวอู่มีสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย
ลานประลองใหญ่มีรางวัล ยิ่งจำนวนการประลองสูงเท่าไหร่ ของรางวัลก็ยิ่งมากขึ้น ดังนั้นการต่อสู้ภายในจึงตื่นตาตื่นใจกว่า
ไม่นาน คนทั้งสองก็เจอลานประลองหล่อทองดำซึ่งทั้งสี่ทิศมีรูปสลักเทพขนาดใหญ่ตระหง่าน
ภายนอกของลานประลองมีค่ายกลปราการพลังที่แข็งแกร่ง จ้าวเฟิงคาดเดาว่าต่อให้เป็นชราผิวลายเขียวที่นำกลุ่มมาก็ยังไม่สามารถจะทำลายได้
โครม!
ภายในปราการพลังค่ายกล แสงสีดำพุ่งทะลวงขึ้นฟ้า ปะทะเข้าหากันอย่างจัง
“ไป เข้าไปดู!” เซี่ยโหวอู่มีสีหน้าตื่นเต้น
ทั้งสองจ่ายค่าเข้าสนามประลองจำนวนมากแล้วจึงเดินเข้าไปในลานประลองขนาดใหญ่ เพิ่งจะก้าวเข้าไป จ้าวเฟิงก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนกระเทือนหู
เห็นเพียงคนสองคนประมือกันอย่างดุเดือดบนลานประลองเหล็กสีเทากว้างใหญ่
ฝ่ายที่สู้ฟากหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนผมสั้น พลังฝึกตนอยู่ที่เทพโบราณขั้นที่เจ็ด เสวียนอ้าวมิติสูงส่งลอยมาจากในดวงตาสีเงินเข้ม
ส่วนคู่ต่อสู้ของเขาเป็นแค่สายเลือดดวงตาทั่วไปเท่านั้น แต่มีประสบการณ์มาก พลังฝึกตนแข็งแกร่ง
“ดาบทะลวงฟ้า!”
ดวงตาสองข้างของชายวัยกลางคนผมสั้นรวบรวมเสวียนอ้าวธาตุทองและเสวียนอ้าวมิติที่แข็งแกร่งออกมา เมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วก็กลายเป็นคมดาบสีเงินในทันที
เปรี๊ยะ! แสงสว่างขยับวูบวาบ คมดาบสีเงินหายไปทันที
ในวินาทีต่อมา ตรงหน้าชายวัยกลางคนที่แข็งแกร่งคนนั้น บริเวณทรวงอกถูกพุ่งทะลวงผ่าน ประกายเลือดสาดกระเซ็น เขาที่เดิมก็บาดเจ็บสาหัสแล้วยังถูกกระบวนท่านี้ทำร้ายเพิ่ม จึงไม่มีแรงจะสู้ต่อไป สุดท้ายแล้วกรรมการจึงประกาศให้ชายวัยกลางคนร่างกำยำเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
“รวดเร็วเหลือเกิน!” จ้าวเฟิงใจสั่น
‘ดาบทะลวงฟ้า’ ของชายผมสั้นคนนั้นรวดเร็วกว่า ‘เนตรพิฆาตผ่านอากาศ’ ของเขามาก เพียงแต่ทรงพลังน้อยกว่า คนในระดับเดียวกัน หากไม่ระวังก็อาจจะไม่สามารถหลบได้พ้น
แน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ครอบครองเนตรมิติ ความสำเร็จของเสวียนอ้าวมิติเวลาทั้งสองประเภทนี้เหนือกว่าจ้าวเฟิง เมื่อบวกกับเนตรมิติแล้วจึงสามารถปลดปล่อยวิชาดวงตานั้นได้ ไม่จำเป็นต้องตื่นตกใจนัก
“เนตรมิติของหลินเฉิงอู่แข็งแกร่งนัก เขาชนะติดต่อกันสิบสี่ครั้งแล้ว!”
“รีบดูเร็ว คู่ต่อสู้คนที่สิบห้าของเขามาแล้ว!”
ครู่เดียว สมาชิกในลานประลองก็ส่งคนมาประลองอีกคนหนึ่ง
นั่นคือผู้แข็งแกร่งขั้นเทพโบราณที่มีศีรษะเหมือนสิงโต รูปร่างสูงใหญ่ดูดุดัน
สายเลือดดวงตาของเขาค่อนข้างธรรมดา แต่พลังกลับแตะเทพโบราณขั้นเจ็ดสุดยอด
ทันทีที่เขาก้าวขึ้นไปบนลานประลอง กลิ่นอายสังหารที่ชวนอึดอัดจำนวนนับไม่ถ้วนสาดซัดออกมา
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเหมิงอู่!”
“ตัวของเหมิงอู่เองมีสายเลือดอย่างหนึ่ง แล้วด้วยความบังเอิญเขาจึงได้ครอบครองสายเลือดพลังดวงตาอีกประเภทหนึ่ง หนำซ้ำกำลังรบก็แข็งแกร่งมาก น่าจะอยู่เหนือเทพโบราณขั้นเจ็ดทุกคน!”
ผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมงานชุมนุมเนตรเทพเจ้าเกินครั้งหนึ่งต่างจำชายศีรษะคล้ายสิงโตผู้นี้ได้
“ดูแล้วหลินเฉิงอู่น่าจะต้องพ่ายแพ้แล้ว!” เสียงตื่นตะลึงดังขึ้นจากที่ไม่ไกลนัก
ผู้ร่วมชมการต่อสู้ในบริเวณใกล้เคียงอดทอดสายตามองไม่ได้ ดูแล้วคนที่พูดเหมือนจะมีอดีตกับหลินเฉิงอู่ที่กำลังสู้อยู่
จ้าวเฟิงปรายตามอง ชายวัยหนุ่มคนหนึ่งใบหน้าขาวซีดราวมาร ในดวงตาสีดำคู่นั้นมีแสงประกายสีขาวจำนวนมาก แต่ทันใดนั้นเอง แววตาจ้าวเฟิงก็หยุดลงบนร่างชายวัยกลางคนในชุดเกราะดำ ศีรษะมีเขาโค้งคนหนึ่ง
สายตาและท่าทางของฝ่ายนั้นก็กวาดผ่านรอบบริเวณตามอารมณ์ ก่อนที่จะพลันหยุดที่ร่างของจ้าวเฟิงด้วยใบหน้าที่ตื่นตะลึง “จ้าวเฟิง!”
“ไม่เจอกันนานเลย!” จ้าวเฟิงระบายยิ้มเล็กน้อย
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนรู้จักที่ตนเองเจอคนแรกในดินแดนเทพรกร้างจะเป็น ‘ครึ่งเทพพั่วเมี่ย’ของพวกต่างเผ่าพันธุ์
ในตอนแรกจ้าวเฟิงยังรู้สึกว่าคนที่มีศักยภาพมากที่สุดของต่างเผ่าพันธุ์ก็คือครึ่งเทพพั่วเมี่ย
เป็นไปอย่างที่คิด คนผู้นี้มาถึงดินแดนเทพรกร้างอย่างรวดเร็ว จนวันนี้ไปถึงเทพแท้จริงขั้นที่สามแล้ว
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอเจ้าที่นี่!”
ครึ่งเทพพั่วเมี่ยระบายยิ้มเย็น ในดวงตาฉายแววไม่เป็นมิตร
“จ้าวเฟิง! เทพแท้จริงพั่วอวิ๋น ท่านไม่รู้จักเขาหรือ?”
แววตาของบุรุษหนุ่มเผ่าอสูรตะลึงลาน
ก่อนจะฉายแววสงสัยมองไปที่ครึ่งเทพพั่วเมี่ย แต่เดิมหลังจากที่ครึ่งเทพพั่วเมี่ยมาถึงดินแดนเทพรกร้าง เขาเปลี่ยนชื่อเป็นพั่วอวิ๋น ในดินแดนทวีป เขาเป็นคนแรกที่เป็นทายาทเนตรดับสูญ ชื่อพั่วเมี่ยนั้นก็ไม่ได้เก่งกาจอะไร
แต่ในดินแดนเทพรกร้าง ผู้แข็งแกร่งที่ครอบครองเนตรดับสูญมีมากมายยิ่ง หากเขายึดติดกับคำว่า ‘พั่วเมี่ย’แล้วละก็ เกรงว่าน่าจะต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าสังหารจากทายาทเนตรดับสูญ
“ใช่แล้ว คุณชายห่าย เขาและข้ามาจากมิติรอบนอกและเดินทางมาที่ดินแดนเทพรกร้างเหมือนกัน!”
เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นเอ่ยด้วยใบหน้ายินดี
“หืม? ที่แท้จ้าวเฟิงแห่งเขตเทพสวรรค์มาจากมิติรอบนอกระดับต่ำนี่เอง!”
คุณชายห่ายผู้นั้นยิ้มขี้เล่น ในคำพูดเจือเสียงเยาะเย้ย
จ้าวเฟิงชะงักไปเล็กน้อย เหมือนว่าเขาจะไม่รู้จักคนผู้นี้ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับมีท่าทีไม่เป็นมิตรกับเขาเท่าไหร่นัก
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าทะลวงถึงเทพขั้นหก แต่เรื่องที่บอกว่าทะลวงเทพโบราณขั้นเจ็ดได้รวดเร็วขนาดนี้น่าจะเป็นข่าวลือที่กระจายทั่วเขตเทพสวรรค์เท่านั้นกระมัง!”
คุณชายห่ายเอ่ยต่อ
เขตพยับฟ้าอยู่ติดกับเขตเทพสวรรค์
ดังนั้นเขาจึงเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับจ้าวเฟิงมาบ้าง
ตอนแรกเขาไม่เชื่อว่าจะมีอัจฉริยะขนาดนี้อยู่ ตอนนี้ดูไปแล้วทั้งหมดน่าจะเป็นเรื่องโกหก ไหนเลยจะมีคนที่สามารถทะลวงถึงเทพโบราณขั้นเจ็ดได้ทันที
เมื่อวันนี้ได้ยินเทพแท้จริงพั่วอวิ๋นพูดว่าจ้าวเฟิงมาจากมิติรอบนอกระดับต่ำ เขาจึงยิ่งไม่เชื่อมากขึ้น หรือถึงขั้นดูแคลนเสียด้วยซ้ำ
“อะไรนะ ขั้นหก ขั้นเจ็ด…”
เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นชะงักราวท่อนไม้ในทันที
เมื่อครู่เขายังอยากจะท้าจ้าวเฟิงประลองฝีมือสักหน่อย
อย่างไรเสียที่ดินแดนทวีป คนทั้งสองต่างอยู่ในราชวงศ์ที่เป็นศัตรูกัน และสายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงก็ลึกลับเกินจะเปรียบ ถึงขั้นอยู่เหนือเนตรดับสูญของเขา
หลังจากที่เขาเดินทางมาที่ดินแดนเทพรกร้างแล้ว เขาพึ่งพิงขั้วอำนาจห้าดาวของเขตพยับฟ้า พลังฝึกตนพุ่งทะยานอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้จึงไปถึงเทพแท้จริงขั้นสาม
แต่จ้าวเฟิงเป็นเทพโบราณไปแล้ว!
เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นอึ้งไป เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้กระทบกระเทือนเขาไม่น้อย
ทันใดนั้น จ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติในมิติเก็บของ
เขาดำดิ่งห้วงความคิดเข้าไปภายใน และเจอป้ายคำสั่งที่ได้มาจากปราการแลกเปลี่ยนลับ
“อย่างแรก ข้าต้องได้ชมพลังของเจ้าสักหน่อย ถ้าหากอ่อนแอจนเกินไป เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติเป็นเพื่อนร่วมทางของข้า!” เสียงเคร่งขรึมดังออกมาจากภายใน
จ้าวเฟิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็จ้องคุณชายห่าย ยิ้มพลางเปิดปากเอ่ย “จริงหรือปลอม เจ้าไม่ลองดูจะรู้ได้อย่างไร?”