Skip to content

King of Gods 1351

King Of Gods

บทที่ 1351 เคลื่อนย้ายมิติ

หลังจากจ้าวเฟิงบินตามกองกำลังแดนศักดิ์สิทธิ์มิติมาได้ไกลระยะหนึ่ง

“เทพโบราณลั่วหลิง คนคนนี้เป็นใคร?” ในที่สุดก็มีคนในกองกำลังถามขึ้น

จ้าวเฟิงอายุน้อยแต่มีพลังฝึกตนอยู่เทพโบราณขั้นแปด ที่ยิ่งหาได้ยากคือไม่มีเนตรมิติ แต่เสวียนอ้าวมิติกลับล้ำลึกถึงเพียงนี้

ต่อให้เป็นคนของแดนศักดิ์สิทธิ์มิติ ก็ยากจะหาลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมกว่าจ้าวเฟิงได้

“เขาคือคนที่ข้ารู้จักตอนแฝงตัวเข้าไปในหอมารสวรรค์ เป็นผู้บุกรุกเช่นเดียวกัน พวกเราสองคนร่วมมือช่วยกันถึงได้รอดมาจนถึงตอนนี้!”

เทพโบราณลั่วหลิงมองจ้าวเฟิงแวบหนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้น

ตอนที่อยู่หอมารสวรรค์ นางไม่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของจ้าวเฟิงมาก่อน เพียงแค่พิจารณาจากเสียงได้ว่าจ้าวเฟิงอายุไม่มาก

ก่อนหน้านี้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของจ้าวเฟิง แม้กระทั่งเทพโบราณลั่วหลิงก็ตะลึงไปเล็กน้อยเช่นกัน

จ้าวเฟิงรูปโฉมหล่อเหลา บุคลิกดีเป็นอย่างยิ่ง รวมกับตาซ้ายที่ลุ่มลึกและเส้นผมสีเงินดุจภาพความฝันที่พลิ้วไหว ยิ่งทำให้ดูลึกลับแปลกประหลาด

“ผู้บุกรุก?” สีหน้าของคนแดนศักดิ์สิทธิ์มิติทั้งหมดอึ้งไปเล็กน้อย

สถานะนี้ของจ้าวเฟิงเป็นเรื่องที่พวกเขาคิดไม่ถึง

และการช่วยเหลือซึ่งกันและกันที่เทพโบราณลั่วหลิงพูด ยิ่งดึงดูดความสนใจจากพวกเขาทั้งหมด

ตอนนี้เทพโบราณลั่วหลิงทะลวงถึงเทพโบราณขั้นเก้า ผู้ที่สามารถช่วยเหลือนางได้จะธรรมดาได้อย่างไร

“ไม่ทราบว่าท่านเป็นสมาชิกของขั้วอำนาจใด?”

เทพโบราณชื่อเซียวถามขึ้น

ด้วยพรสวรรค์ของจ้าวเฟิง เป็นไปได้มากว่าอาจจะเป็นสมาชิกของขั้วอำนาจหนึ่งหรือกระทั่งแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งเทพ แต่จ้าวเฟิงหากเป็นสมาชิกของขั้วอำนาจใหญ่ ไยจึงบุกเข้าไปในหอมารสวรรค์ลำพัง

นอกจากนั้น เขาก็สนใจจุดประสงค์ของจ้าวเฟิงที่บุกเข้าไปในหอมารสวรรค์

เป้าหมายอะไรที่มีค่าให้เขาเข้าไปในพื้นที่อันตรายเพียงลำพัง?

“เผ่าพันธุ์วิญญาณ จ้าวเฟิง!”

จ้าวเฟิงตอบตามตรง

เมื่อรู้หน้าตาของตน อีกฝ่ายคิดอยากสืบตัวตนก็ง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องปิดบัง

“เผ่าพันธุ์วิญญาณ!” คนแดนศักดิ์สิทธิ์มิติทั้งหลายเผยสีหน้าครุ่นคิด

“ข้าแซ่จ้าวขอลาไปก่อน วันใดหากมีโอกาสจะไปเยี่ยมเยือนขอบคุณทุกท่าน!”

จ้าวเฟิงเอ่ยลาทันที

เขาเพียงแค่ยืมมือแดนศักดิ์สิทธิ์มิติหนีออกมาจากหอมารสวรรค์เท่านั้น ไม่ได้คิดจะไปแดนศักดิ์สิทธิ์มิติกับพวกเขา

“เช่นนั้นก็ลาก่อน”

เทพโบราณชื่อเซียวไม่รั้งเอาไว้เช่นกัน

“ลาก่อน!” จ้าวเฟิงพูดกับเทพโบราณลั่วหลิง จากนั้นก็จากไปทันใด

เดินทางได้ไม่ไกล จู่ๆจ้าวเฟิงก็หยุดลง

“ลองเคลื่อนย้ายมิติสักหน่อย!”

เงื่อนไขของการเคลื่อนย้ายข้ามมิติคือเสวียนอ้าวมิติขั้นหก เนิ่นนานก่อนหน้านี้จ้าวเฟิงก็เริ่มศึกษาทำความเข้าใจ ตอนนี้เข้าใจไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว

สำแดงเคลื่อนย้ายมิติเป็นครั้งแรก จ้าวเฟิงคลุมชุดคลุมมิติเพื่อเพิ่มอัตราความสำเร็จ

วู้ม ฟิ้ว! ระลอกคลื่นมิติแต่ละชั้นๆ หมุนวนโดยมีจ้าวเฟิงเป็นศูนย์กลาง

คลื่นวนมิติเล็กลงเรื่อยๆ แต่ระลอกมิติกลับยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เสี้ยวขณะต่อมา ร่างของจ้าวเฟิงก็ตกอยู่ในคลื่นน้ำวนมิตินั้น

ไกลออกไปสิบล้านกว่าลี้

วู้ม ฟิ้ว ฟิ้ว

คลื่นน้ำวนมิติพลันปรากฏขึ้น ร่างของจ้าวเฟิงเผยออกมากลางอากาศช้าๆ

“หนึ่งการเคลื่อนย้าย สิบล้านกว่าลี้!”

จ้าวเฟิงตกตะลึง ระยะนี้มากกว่าเคลื่อนย้ายมิติชั่วพริบตาหลายสิบเท่า

แน่นอน นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเฟิงใช้เคลื่อนย้ายมิติ เรื่องระยะทางยังมีช่วงให้พัฒนาอีก

 

นอกจากนั้น แม้การเคลื่อนย้ายมิติจะได้ระยะทางไกลเป็นอย่างยิ่ง แต่เวลาการเตรียมตัวของเคล็ดวิชานี้นานยิ่งกว่า ถูกคนขัดจังหวะได้ง่ายดายนัก

……

“เทพโบราณลั่วหลิง เจ้ารู้จักกับจ้าวเฟิงได้อย่างไร?”

“จุดประสงค์ที่เขาบุกเข้าไปในหอมารสวรรค์คืออะไร?”

ในกองกำลัง สมาชิกจำนวนไม่น้อยรีบถามขึ้น

“ข้าเจอตอนก่อนที่จะแฝงตัวเข้าไปในโถงตำหนักลับ เป้าหมายเขาคือช่วยสัตว์วิเศษของตน!”

เทพโบราณลั่วหลิงตอบ

“ช่วยสัตว์วิเศษ เทพโบราณลั่วหลิงไม่ได้โดนเจ้าคนนั้นหลอกเอากระมัง!”

คนชราผมฟ้าเทพโบราณขั้นแปดหัวเราะน้อยๆ

สำหรับเขา เทพโบราณลั่วหลิงถึงแม้พรสวรรค์จะล้ำลึก พลังแข็งแกร่ง แต่ก็ยังอายุน้อยเกินไป ประสบการณ์ไม่มากพอ

เทพโบราณลั่วหลิงกวาดสายตามองคนคนนี้อย่างเย็นชา ไม่ได้พูดอะไรตอบ

“ใช่แล้ว เทพโบราณลั่วหลิง ด้วยพลังของเจ้า ต่อให้เจออันตราย จ้าวเฟิงนั่นก็ช่วยอะไรเจ้าไม่ได้กระมัง!”

เทพโบราณชื่อเซียวพลันถามขึ้น

ก่อนหน้านี้จ้าวเฟิงอยู่ด้วย เขาจึงเกรงใจที่จะถาม

“ที่ข้าทะลวงขั้นเก้าได้ก็ล้วนเป็นเพราะเขา!”

เทพโบราณลั่วหลิงไม่ได้อธิบายให้ละเอียด พูดเพียงเช่นนี้เท่านั้น

“อะไรนะ?” สมาชิกแดนศักดิ์สิทธิ์มิติทั้งหมดที่นั่นเผยสีหน้าตื่นตะลึง

คาดไม่ถึงว่าคนที่ช่วยให้เทพโบราณลั่วหลิงทะลวงขั้นเก้าได้ก็คือจ้าวเฟิง

หลายคนตรงนั้นยังเป็นเทพโบราณขั้นแปด พวกเขายิ่งร้อนใจอยากจะรู้ว่าจ้าวเฟิงช่วยเทพโบราณลั่วหลิงให้ทะลวงขั้นเก้าได้อย่างไร แต่ทว่าตอนนี้เอง กลิ่นอายกดดันมรณะกลุ่มหนึ่งพลันตรงเข้ามา ฟ้าดินมืดครึ้มไปทั่ว มองไม่เห็นแสงสว่าง

สมาชิกแดนศักดิ์สิทธิ์มิติทุกคนรวมถึงเทพโบราณชื่อเซียวมีสีหน้าจริงจัง

กลิ่นอายกลุ่มนี้พวกเขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี คือจอมเทพเทียนจี้นั่นเอง

ขวับ! ทันใดนั้น ร่างสีดำร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา

สายตาของจอมเทพเทียนจี้ที่เยือกเย็นน่าสะพรึงกลัวกวาดมองเล็กน้อย สีหน้าคร่ำเคร่งทันที

“จ้าวเฟิงล่ะ?” จอมเทพเทียนจี้ถามขึ้น

หลังจากรูปโฉมหน้าตาของจ้าวเฟิงเปิดเผยออกมาแล้ว หอมารสวรรค์ก็เร่งสืบหาตัวตนของเขา

“ไปแล้ว” เทพโบราณชื่อเซียวตอบ

“ไปแล้ว? ฮ่าๆ พวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์มิติช่างไม่ซื่อตรงเอาเสียเลย พาคนนอกออกมางั้นรึ!”

จอมเทพเทียนจี้แค่นเสียงเย็น แรงกดดันที่ไร้รูปส่งผลต่อร่างของสมาชิกแดนศักดิ์สิทธิ์มิติทั้งหมด

สีหน้าของทุกคนเคร่งเครียด แม้กระทั่งหายใจยังค่อนข้างยาก คนจำนวนไม่น้อยปรายตามองเทพโบราณลั่วหลิงอย่างไม่พอใจ

“เหมือนว่าพวกเราจะไม่ได้พาจ้าวเฟิงมาด้วย แต่เป็นจ้าวเฟิงตามพวกเรามาเอง อีกทั้งพวกเราก็ไม่เคยพูดว่าเขาเป็นสมาชิกของแดนศักดิ์สิทธิ์มิติ!”

เทพโบราณชื่อเซียวพูดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย เขาเชื่อว่าจอมเทพเทียนจี้ไม่มีทางทำอะไรพวกเขา

ในเมื่อพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด อีกทั้งความของผู้ครอบครองเนตรมิติยังคงอยู่

“ดี…ดี!” ดวงตาทั้งสองของจอมเทพเทียนจี้เบิกโพลง จ้องเขม็งไปยังคนทั้งหลายเบื้องหน้า กลิ่นอายมรณะที่ทำให้หายใจไม่ออกแผ่กระจายมา

นี่คือเหตุผลที่จอมเทพเทียนจี้ควบคุมพลังสุดกำลัง มิฉะนั้นเทพโบราณขั้นแปดทั่วไปที่นี่คงตายคาที่ไปแล้ว

จะเห็นได้ว่าจอมเทพเทียนจี้ในตอนนี้โกรธแค้นเพียงใด

แต่ว่านี่ก็สามารถเข้าใจได้ เขามาหอมารสวรรค์ในครั้งนี้ เป้าหมายที่สำคัญคือพาตัวแมวความลับสวรรค์ไป ผลการค้นคว้าและของสะสมบางอย่างในหอมารสวรรค์เป็นเรื่องรอง

และเขามาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เจอกับผู้ครอบครองเนตรมิติจนเสียหน้าครั้งใหญ่

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือแมวความลับสวรรค์ก็หายไป!

“ข้าเชื่อว่าทุกท่านแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์มิติไม่ได้ตั้งใจหลอกลวงข้า!”

จอมเทพเทียนจี้ค่อยๆ สงบลง

“ยามคนคนนี้อยู่ในหอมารสวรรค์ เขาช่วงชิงทรัพยากรของล้ำค่าไปมากมาย สังหารผู้แข็งแกร่งเทพโบราณหลายคน…ไม่ทราบว่าเมื่อครู่เขาจากไปยังทิศใด?”

จอมเทพเทียนจี้ถามตามตรง

ตอนนี้ไม่จำเป็นพุ่งเป้าเล่นงานแดนศักดิ์สิทธิ์มิติ จ้าวเฟิงน่าจะเพิ่งจากไปได้ไม่นาน ยังตามได้ทัน

คนของแดนศักดิสิทธิ์มิติอดทอดถอนใจไม่ได้

สามารถทำให้จอมเทพเทียนจี้มาจับกุมด้วยตนเอง จ้าวเฟิงมีจุดพิเศษอะไรกันแน่

“ทางนั้น!” เทพโบราณลั่วหลิงยื่นมือชี้นิ้วไป

สีหน้าของเทพโบราณชื่อเซียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าไม่ได้พูดอะไร

ทิศที่เทพโบราณลั่วหลิงชี้ไป แน่นอนว่าเป็นทิศทางที่ผิด เป็นทิศตรงข้ามกับที่จ้าวเฟิงจากไปอย่างสิ้นเชิง สีหน้าของจอมเทพเทียนจี้ตะลึงไปเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไรออกมาเช่นกัน

ในตอนที่สืบข้อมูลของจ้าวเฟิงได้ เขาย่อมรู้ว่าจ้าวเฟิงเป็นคนของเผ่าพันธุ์วิญญาณ ส่วนทิศที่เทพโบรณลั่วหลิงชี้เป็นทิศทางตรงข้ามกับเผ่าพันธุ์วิญญาณ

แต่จ้าวเฟิงอาจคาดเดาได้ว่าหอมารสวรรค์จะไล่สังหารมา หากเดินทางไปทิศตรงข้ามก็เป็นเรื่องปกติยิ่ง

ขวับ! ชั่วขณะต่อมา จอมเทพเทียนจี้หายวับไปโดยไร้ร่องรอย

ฟ้าดินกลับสู่แสงสว่าง ทุกคนพากันโล่งอก

“เทพโบราณลั่วหลิง เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? นี่เจ้าล่วงเกินจอมเทพเชียวนะ!”

ผู้อาวุโสผมฟ้าคนนั้นซักไซ้

สำหรับจอมเทพ ในใจของทุกคนมีเพียงเฝ้าใฝ่ถึง เคารพเลื่อมใส และเกรงกลัว

“เขาช่วยข้าทะลวงขั้นเก้า ข้าก็ช่วยเขาครั้งหนึ่ง!” เทพโบราณลั่วหลิงพูดเสียงต่ำทุ้ม สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน

ที่จริงแล้วจ้าวเฟิงช่วยนางทะลวงขั้นเก้าเป็นการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง และการแลกเปลี่ยนนั้นจบลงไปนานแล้ว

“รีบไปเถอะ!” เทพโบราณชื่อเซียวตะโกนขึ้น

ถึงแม้เทพโบราณลั่วหลิงจะหลอกจอมเทพเทียนจี้ ต่อให้จอมเทพเทียนจี้จับคนไม่ได้ ก็ไม่มีหลักฐานมาพูดว่าแดนศักดิ์สิทธิ์มิติหลอกลวงเขา เพียงแต่ว่าหากถูกเขาตามมาหาอีกรอบ คงยากที่จะหลีกเลี่ยงเรื่องยุ่งยากบางอย่าง

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว! คนของแดนศักดิ์สิทธิ์มิติไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว

อีกด้านหนึ่ง จ้าวเฟิงที่กำลังทดลองเคลื่อนย้ายมิติไม่รู้ว่าตนเองเพิ่งจะเฉียดผ่านวิกฤตความตายมา

วู้ม ฟิ้ว ฟิ้ว! ชายชุดเงินคนหนึ่งปรากฏออกมาจากคลื่นวนมิติ

“ถึงแม้สิ้นเปลืองพลังค่อนข้างมาก แต่ได้ระยะไกลถึงเพียงนี้ก็คุ้มค่ายิ่ง!”

จ้าวเฟิงพอใจในเคลื่อนย้ายมิติเป็นอย่างยิ่ง

ดินแดนเทพรกร้างกว้างใหญ่ไพศาล ทุกครั้งที่เดินทางค่อนข้างยาวนานและน่าเบื่อหน่าย นี่ก็คือเหตุที่เทพแท้จริงรวมทั้งเทพโบราณเกือบทั้งหมดศึกษาทำความเข้าใจเสวียนอ้าวมิติ

จ้าวเฟิงสำแดงเคลื่อนย้ายมิติ เดี๋ยวเดินทางเดี๋ยวหยุด

ไม่ถึงสิบวัน เขาก็มาถึงด้านนอกขั้วอำนาจเขามารทมิฬ

“ไม่รู้ว่าพวกเทพโบราณฝูหลิงเป็นอย่างไรบ้าง…”

จ้าวเฟิงครุ่นคิด

หลังจากเข้าไปในเขามารทมิฬ การส่งข่าวจะถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก ดังนั้นพวกผู้อาวุโสฝูหลิงจึงไม่อาจติดต่อจ้าวเฟิงได้

ตอนนี้เวลาของภารกิจค้าขายของเผ่าพันธุ์วิญญาณสิ้นสุดลงไปนานแล้ว กองกำลังเผ่าพันธุ์วิญญาณน่าจะกลับไปแล้ว

วู้ม! จ้าวเฟิงกระตุ้นตาซ้าย มองทะลุผ่านไปยังเขามารทมิฬ

หลังจากดวงตาเทพเจ้าแปรสภาพ พลังการมองเห็นจึงยิ่งกว้างไกล เมื่อรวมกับการมองทะลุปรุโปร่งก็ยิ่งราวกับปลาได้น้ำ อีกทั้งใช้พลังการมองเห็นสำรวจจะไม่มีทางถูกคนจับได้ หากใช้ประสาทสัมผัสเทพ ผู้แข็งแกร่งขั้นเดียวกันจะจับได้ทันที

“น่าจะจากไปแล้ว!” จ้าวเฟิงสำรวจหลายที่ ล้วนไม่มีความเป็นไปได้ที่ผู้แข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์วิญญาณจะอยู่ที่นี่

“ไม่รู้ว่าคุนอวิ๋น…” จู่ๆ จ้าวเฟิงก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงพึมพำขึ้นมา

ในตอนนั้นที่เตรียมแยกกับเผ่าพันธุ์วิญญาณ เขาให้ผู้อาวุโสของเผ่าพาคุนอวิ๋นไปแต่ระหว่างทางจ้าวหุยถูกลักพาตัว จึงไม่ได้แจ้งเรื่องนี้ให้รู้

แต่แค่เพียงคุนอวิ๋นอธิบายทุกอย่างกับผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์วิญญาณ เชื่อว่าเทพโบราณฝูหลิงต้องยื่นมือเข้าช่วยอย่างแน่นอน

ทว่าตอนที่สายตาของจ้าวเฟิงกวาดไปยังที่พักอาศัยของคุนอวิ๋น ใบหน้ากลับเคร่งเครียดขึ้นทันที

ณ ยอดเขาฝ่ายนอกนอกเรือนพักหลังหนึ่งมีลูกศิษย์สายนอกล้อมไว้หนาแน่น

“คุนอวิ๋น ออกมาเร็วเข้า พวกเรามาประลองกันอีกสักหน่อย!”

ชายหนุ่มสูงใหญ่รูปร่างราวโครงกระดูกคนหนึ่งหัวเราะลั่น

“แค่เจ้าเอาชนะข้าได้ เจ้าก็เอาอาวุธเทพระดับกลางชิ้นนั้นที่แพ้ให้กับข้าคืนไปได้ ทั้งยังสามารถกลายเป็นอันดับหนึ่งของยอดเขาฝ่ายนอก การเข้าไปฝ่ายในก็คงเป็นจริงได้ในไม่ช้า!”

ชายหนุ่มโครงกระดูกคนนั้นหัวเราะเยาะหยัน ตะโกนต่อไป

“ออกมาเร็วเข้า คุนอวิ๋นเจ้าเต่าหดหัว!”

ข้างๆ เขา ลูกศิษย์สายนอกหลายสิบคนตะโกนไม่หยุด

“คุนอวิ๋น ข้าขอคำชี้แนะจากเจ้าหลายครั้งหลายครา แต่เจ้ากลับไม่ไว้หน้าข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ได้แต่พังประตูเข้าไปแล้ว!”

ชายหนุ่มร่างโครงกระดูกเผยรอยยิ้มเย็นเหี้ยมเกรียม ร่างพลันบินไปใกล้ประตูเรือน แต่ทันใดนั้น กลิ่นอายน่าหวาดกลัวที่กดดันไปทั่วทุกที่ปรากฏขึ้นทันใด

ครืน ตุบ!

ชายโครงกระดูกคนนั้นกระอักเลือดกองโต ร่างลอยกระเด็นออกมาทันที

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version