บทที่ 1352 คนที่ต้องตามหา
คุนอวิ๋นที่อยู่ภายในเรือน เมื่อได้ยินว่าชายร่างผอมแห้งเหมือนโครงกระดูกจะทำลายประตูเข้ามา ใจก็สะท้านทันที
ในฐานะที่เป็นศิษย์สายนอกเหมือนกัน เขารู้ว่าหากชายหนุ่มร่างผอมแห้งบุกเข้าห้องของศิษย์คนอื่นจะต้องโดนลงโทษ แต่การกระทำทั้งหมดของชายร่างผอมแห้งมีเทพแท้จริงพั่วอวิ๋นคอยบงการ แถมตอนนี้เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นก็กลายเป็นศิษย์คนสำคัญ สถานะจึงสูงส่ง
ส่วนผู้คุมกฎที่ดูแลเรื่องศิษย์นอกยอดเขาไม่อยากจะล่วงเกินเทพแท้จริงพั่วอวิ๋น จึงทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง
เมื่อรู้ว่าไม่อาจหนีได้ คุนอวิ๋นจึงผลักประตู
แต่ทันใดนั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็ร่อนลงด้านหน้า พร้อมกันนั้น พลังกดดันที่สั่นสะเทือนรอบด้านกระจายออกไปในทันที
ชายหนุ่มร่างผอมแห้งที่กระโจนเข้ามาถูกกระแทกจนกระเด็น ก่อนร่วงลงบนพื้นอย่างแรง ลุกไม่ขึ้นอยู่นาน
คนที่เหลือรอบบริเวณสัมผัสได้ถึงแรงกดดันราวขุนเขา กระทั่งยืนยังยากเย็นเหลือแสน
“ไม่รู้ว่า…ศิษย์พี่…” ชายร่างผอมแห้งมองจ้าวเฟิงด้วยใบหน้าตื่นตะหนก
ความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายอยู่เหนือจินตนาการของเขา พลังแกร่งขนาดนี้ คงจะเป็นศิษย์หลักอย่างแน่นอน แต่เขากลับจำไม่ได้ว่ามีคนผู้นี้อยู่ในเขามารทมิฬด้วย
ตุ้บ! ศิษย์สายนอกคนอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์คุกเข่าลงพร้อมกัน
“คุนอวิ๋น ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่อีก?” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงต่ำ ก่อนพลันหมุนกายมา
คุนอวิ๋นจ้องยอดฝีมือผู้นี้ด้วยสายตาตกตะลึง เขาอยากรู้เหลือเกินว่าศิษย์พี่หรือผู้อาวุโสคนใดกันแน่ที่ช่วยเขา
ตอนที่เห็นหน้าจ้าวเฟิง เขาก็ชะงักไป จากนั้นจึงตื่นตกใจ
“เจ้าคือ…จ้าวเฟิงนี่!” คุนอวิ๋นร้องเสียงหลง
ถึงแม้ว่าดวงตาและเส้นผมจะเปลี่ยนสี แต่ใบหน้ากลับยังคงไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น คุนอวิ๋นเองรู้ดีว่าดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงจะยังแปรสภาพไม่หยุด
ในตอนที่คุนอวิ๋นอุทานชื่อจ้าวเฟิงออกมา บรรดาศิษย์เขามารทมิฬหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย และชายร่างผอมแห้งก็เป็นหนึ่งในนั้น
“จ้าวเฟิงจากเผ่าพันธุ์วิญญาณ!” ชายร่างผอมชันกายขึ้นมาโดยพลัน สีหน้าไม่เคารพอีกต่อไป
ก่อนนี้เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นศิษย์พี่จากเขามารทมิฬ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงเป็นคนจากเผ่าพันธุ์วิญญาณ แต่ลงมือกับศิษย์เขามารทมิฬ อันที่จริงก็ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว อีกทั้งเมื่อครู่เขายังไม่ได้ทำอะไร เป็นจ้าวเฟิงที่ทำร้ายเขาก่อน อีกอย่างเทพแท้จริงพั่วอวิ๋นที่อยู่เบื้องหลังชายหนุ่มร่างผอมแห้งก็เป็นศิษย์หลัก มีสถานะไม่ต่างจากจ้าวเฟิงที่เผ่าพันธุ์วิญญาณ
“จ้าวเฟิง เจ้าบุกเข้ามาในเขามารทมิฬ แล้วยังลงมือทำร้ายศิษย์ของที่นี่ เจ้าอยู่รอรับโทษได้เลย!”
ชายหนุ่มร่างผอมแห้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จ้าวเฟิงไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ถึงขั้นไม่ปรายตามองคู่กรณีสักนิด
“เรื่องมันก็เป็นแบบนี้…”
เดิมทีคุนอวิ๋นอัดอัดใจยิ่งนัก จึงรีบเล่าต้นสายปลายเหตุออกมา
แต่เดิมหลังจากที่จ้าวหุยหายตัวไป เขามารทมิฬเคยส่งคนจำนวนมากไปสืบเสาะค้นหา แต่ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไร ดังนั้นคุนอวิ๋นจึงได้แต่รายงานเรื่องทั้งหมดกับผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์วิญญาณด้วยตนเอง หวังว่าจะหนีออกไปจากที่นี่ได้ แต่จนปัญญา เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นลอบส่งคนไปกักตัวคุนอวิ๋นเอาไว้ เขาจึงพลาดโอกาสนี้ไป จากนั้นคุนอวิ๋นต้องเผชิญหน้ากับการกลั่นแกล้งต่างๆ นานาจากเทพแท้จริงพั่วอวิ๋น เป้าหมายในตอนนี้ก็คือชิงอาวุธเทพและสมบัติของเขาไป
ไม่นานก่อนนี้ คุนอวิ๋นถูกบังคับให้ลงประลอง ตอนนั้นเขาคิดว่าตนเองมีอาวุธเทพระดับกลางสามชิ้น คงจะรับมือชายร่างผอมแห้งไหว
แต่คิดไม่ถึงว่าชายร่างผอมแห้งเองก็มีอาวุธเทพระดับกลางที่ได้มาจากเทพแท้จริงพั่วอวิ๋นเช่นกัน บวกกับพลังที่แข็งแกร่งยิ่ง คุนอวิ๋นจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ต้องเสียอาวุธเทพระดับกลางชิ้นหนึ่งไป…
“ข้าจะพาเจ้าไปเอง!” จ้าวเฟิงเอ่ยทันใด
ยามนี้เองเขาถึงจะหันไปมองชายร่างผอมแห้งด้วยสายตาเย็นชา
ฉับพลันนั้น ชายผอมแห้งกระดิกตัวไม่ได้ ราวกับผืนฟ้าถล่มทลายลงมาทับ
“ตายเสีย!” จ้าวเฟิงกดเสียงต่ำ
วิญญาณของชายร่างผอมแห้งถูกพลังมหาศาลที่ไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งบดขยี้จนแตกสลายไปทันที
ตุ้บ! ร่างของเขาล้มลงบนพื้น
มิติเก็บของลอยจากร่างเขาไปปรากฏที่ข้างกายคุนอวิ๋น
ผลสุดท้ายได้มิติเก็บของมา คุนอวิ๋นพลันตื่นเต้นเหลือประมาณ นี่แหละคือพลังที่แท้จริง!
บอกจะสังหารก็สังหารทันที ปลิดชีพเทพแท้จริงราวมดปลวก!
และเวลานี้เอง
โครม! ตูม!
นอกยอดเขามารทมิฬ กลิ่นอายชั่วร้ายน่าสะพรึงสองกลุ่มพวยพุ่งออกมา
“ผู้ใดกล้าบุกรุกเขามารทมิฬ?”
เทพโบราณสายมารสองคนรีบพุ่งมาหาจ้าวเฟิงทันที
จ้าวเฟิงทะลวงผ่านปราการตรวจจับของเขามารทมิฬเข้ามาโดยตรง ต่อให้ไม่ได้จงใจแผ่พลังฝึกตนออกมา เขามารทมิฬก็ล่วงรู้อยู่ดี
พรึ่บ! พรึ่บ! เงาทั้งสองร่างมาถึงบริเวณใกล้เคียงในพริบตา
ตอนที่พวกเขากวาดสายตาเห็นชายร่างผอมแห้ง สีหน้าก็ถมึงทึงทันใด
“ผู้อาวุโส!” ศิษย์มารทมิฬพากันค้อมกายทำความเคารพ
“จ้าวเฟิง เจ้าบุกเข้ามาในเขามารทมิฬ สังหารศิษย์ของพวกเรา เจ้าไม่เห็นเขามารทมิฬอยู่ในสายตาเลยใช่หรือไม่?”
คนหนึ่งในนั้นซักถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แค่ช่วยพวกท่านเก็บกวาดสำนักเท่านั้น!”
สีหน้าจ้าวเฟิงเคร่งขรึมลง สายตากวาดไปยังเทพโบราณสองคน พร้อมปลดปล่อยรัศมีอำนาจที่ไร้รูปร่างออกมา
ผู้อาวุโสเทพโบราณสองคนนี้เป็นแค่เทพโบราณขั้นเจ็ดที่อารักขายอดเขาด้านนอกเท่านั้น
จ้าวเฟิงสามารถสังหารผู้มีพลังในระดับนี้ได้ในพริบตาเดียว
“ขั้นที่แปด…” สีหน้าท่าทีของผู้อาวุโสทั้งสองผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ศิษย์สายนอกตายไปเพียงแค่คนเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พวกเขาเพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนรุ่นหลังคนหนึ่งจะมุทะลุเช่นนี้ จึงอยากสั่งสอนอีกฝ่ายเสียบ้าง แต่ไม่นึกเลยว่าจ้าวเฟิงจะเป็นเทพโบราณขั้นแปด
ตามที่พวกเขารู้มา จ้าวเฟิงเพิ่งทะลวงผ่านขั้นที่เจ็ดเมื่อไม่นานก่อนนี้ เหตุใดจึงทะลวงขั้นแปดรวดเร็วเช่นนี้ได้!
“จ้าวเฟิง เจ้าสังหารศิษย์เขามารทมิฬ จะจากไปแบบนี้ไม่ได้ อย่างไรก็ต้องชี้แจงกับเบื้องบน!”
ผู้อาวุโสทั้งสองเอ่ยโดยละม่อม ตัดสินใจว่าจะให้ผู้กุมอำนาจเบื้องบนเป็นคนจัดการเรื่องนี้
“ได้!” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ
สังหารศิษย์สายนอกผู้หนึ่งอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่จ้าวเฟิงยังจะพาศิษย์สายนอกอีกคนหนึ่งไปด้วย ถ้านับรวมการกระทำทั้งสองนี้เข้าด้วยกัน นับว่าค่อนข้างมุทะลุและโอหัง เป็นการไม่เห็นเขามารทมิฬอยู่ในสายตา
……
ณ ตำหนักประชุม
“เจ้าคือจ้าวเฟิงหรือ?”
ผู้อาวุโสแซ่เถามองประเมินจ้าวเฟิงอย่างละเอียด ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย
ไม่เสียทีที่เป็นอัจฉริยะผู้โดดเด่นที่สุดของเผ่าพันธุ์วิญญาณ ทะลวงเทพโบราณขั้นหกได้ทันที เพิ่งทะลวงผ่านขั้นเจ็ดได้ไม่นานนัก แต่ตอนนี้เป็นเทพโบราณขั้นแปดไปแล้ว
พรสวรรค์ในการฝึกตนระดับนี้ เกรงว่าพวกเผ่าพันธุ์วิญญาณที่สายเลือดเข้มข้นมากก็ยังแพ้ให้เขากระมัง
ทางฝั่งผู้อาวุโสหน้าผีตกใจเล็กน้อย
เขามารทมิฬแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ทางฟากผู้อาวุโสเถามีสายสัมพันธ์อันดีกับเผ่าพันธุ์วิญญาณ ส่วนผู้อาวุโสหน้าผีมีความสัมพันธ์กับกลุ่มที่ผู้เป็นปรปักษ์กับเผ่าพันธุ์วิญญาณ
“จ้าวเฟิงเจ้าสังหารศิษย์เขามารทมิฬตามอำเภอใจ จะโอหังมากเกินไปแล้วกระมัง!”
ผู้อาวุโสหน้าผีพลันเอ่ยขึ้น และยังแผ่กลิ่นอายที่แข็งแกร่งออกมาเลือนราง
ยามเผ่าพันธุ์วิญญาณเพิ่งมา เขาเป็นคนเสนอให้ท้าประลอง ลองทำลายความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าพันธุ์วิญญาณและฝั่งผู้อาวุโสแซ่เถา
แต่ผลลัพธ์กลับมีจ้าวหุยโผล่ออกมา ทำให้แผนของเขาวุ่นวาย
หากอาศัยโอกาสครั้งนี้ลงโทษจ้าวเฟิงอย่างหนัก ย่อมต้องทำให้เผ่าพันธุ์วิญญาณไม่พอใจมากแน่นอน และจะเขาบรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการได้อีกครั้งหนึ่ง
“ผู้อาวุโส ข้าขอแจ้งท่านก่อนเรื่องหนึ่งก่อน ข้าและจ้าวหุยเป็นพี่น้องที่มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน บังเอิญว่าข้าร่อนเร่เดินทางในเขตพยับฟ้าพอดี เมื่อได้ยินว่าเขาหายตัวไปจึงออกตามหาเขาโดยลำพัง…”
จ้าวเฟิงเปลี่ยนเรื่อง
“จ้าวหุย…”
สีหน้าผู้อาวุโสหน้าผีชะงักไป ก่อนเอ่ยด้วยท่าทีเห็นอกเห็นใจ
“ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้หายตัวที่เขามารทมิฬ แต่พวกข้าก็ต้องเสียใจด้วยอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าเจออะไรบ้างหรือไม่?”
เมื่อเอ่ยจบ จ้าวเฟิงก็โบกมือน้อยๆ เรียกจ้าวหุยให้ปรากฏตัวขึ้น
ภาพนี้ทำให้ผู้อาวุโสหน้าผีแตกตื่นไม่น้อย
คนที่ถูกส่งไปหอมารสวรรค์ ทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่?
“ข้าถูกศิษย์เขามารทมิฬจับตัวไป!” จ้าวหุยตอบโดยพลัน
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ?” ผู้อาวุโสแซ่เถาหน้าเปลี่ยนสีทันที
อย่างไรเขาก็คาดคิดไม่ถึงว่าการหายตัวไปของจ้าวหุยจะเกิดขึ้นเพราะเขามารทมิฬ เรื่องนี้จำเป็นต้องสืบให้ถึงที่สุด
ชั่วขณะต่อมา จ้าวหุยก็ฉายภาพความทรงจำในวันที่ถูกจับตัวไปให้ทุกคนดู
“เจ้าวางใจเถอะ เขามารทมิฬจะจัดการสองคนนี้ด้วยตนเอง จะไม่ให้เผ่าพันธุ์วิญญาณต้องเสื่อมเสียแน่!”
ผู้อาวุโสหน้าผีเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
กับอีแค่ศิษย์ในยอดเขาทั่วไปสองคน เขาส่งคนไปจัดการ เรื่องก็จบลงแล้ว
“อีกอย่าง ไม่ทราบว่าพวกผู้อาวุโสรู้จักหอมารสวรรค์หรือไม่!”
จู่ๆ จ้าวเฟิงก็โพล่งออกมา
“หอมารสวรรค์!” ผู้อาวุโสทั้งสองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
หอมารสวรรค์เป็นขั้วอำนาจที่ลอบติดต่อกับผู้อาวุโสหน้าผี เขาเองก็พอจะรู้ เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะสืบเรื่องหอมารสวรรค์มาด้วย
ผู้อาวุโสแซ่เถาก็ตกใจเช่นกัน เพราะเขาเพิ่งสืบได้ว่าฟากผู้อาวุโสหน้าผีติดต่อกับขั้วอำนาจลึกลับที่ชื่อหอมารสวรรค์
และที่ช่วงนี้ผู้อาวุโสหน้าผีแข็งแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ย่อมเป็นเพราะได้รับการสนับสนุนอย่างลับๆ จากหอมารสวรรค์ เพียงแต่ว่าเขายังสืบสถานการณ์ที่แน่ชัดของหอมารสวรรค์ไม่ได้
“ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าตามหาจ้าวหุย ก็ไปเจอการต่อสู้ระหว่างหอมารสวรรค์และแดนศักดิ์สิทธิ์มิติโดยบังเอิญ!”
จ้าวเฟิงมองผู้อาวุโสหน้าผีพลางเอ่ยช้าๆ
สีหน้าผู้อาวุโสหน้าผีเคร่งขรึมลงมาก
แม้ระยะเวลาในการติดต่อสื่อสารกับหอมารสวรรค์จะไม่นานนัก แต่เขาย่อมเข้าใจพฤติกรรมของหอมารสวรรค์ไม่น้อย
‘คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าคนพวกนี้จะกล้าจับทายาทเนตรเทพเจ้าของแดนศักดิ์สิทธิ์มิติ และยังโดนสืบเจออีก…’
ผู้เฒ่าหน้าผีลอบด่าในใจ
พวกเขาและหอมารสวรรค์แลกเปลี่ยนซื้อขายกัน เวลาหลายเดือนที่ผ่านมา หอมารสวรรค์มอบทรัพยากรให้เขามากมาย แต่ทำไมต้องมาเกิดปัญหาในช่วงเวลานี้ด้วย
“ท่านผู้อาวุโส เหมือนท่านจะเป็นห่วงขั้วอำนาจนี้มาก?”
จ้าวเฟิงเอ่ยยิ้มๆ กับผู้อาวุโสหน้าผี
ยังไม่ทันรอฟังคำอธิบายจากผู้อาวุโสหน้าผี จ้าวเฟิงก็เอ่ยต่อ “หอมารสวรรค์ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง มีผู้แข็งแกร่งมากมาย แต่เมื่อพลังข้ามขอบฟ้าจากผู้ครอบครองเนตรมิติมาเยือน จึงทำให้เรื่องทั้งหมดจบสิ้นลง จนตอนนี้หอมารสวรรค์ก็หายไปอย่างร่องรอย!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา ผู้อาวุโสทั้งสองคนใจเต้นระส่ำ หน้าเปลี่ยนสี
“หอมารสวรรค์แห่งนี้กลับกล้าไปยั่วโทสะแดนศักดิ์สิทธิ์มิติ จนทำให้ผู้ครองเนตรมิติต้องออกหน้า…”
ผู้อาวุโสแซ่เถาประหลาดใจนัก แต่ในใจกลับยินดีอย่างมาก หอมารสวรรค์หายไปแบบนี้ สำหรับเขาแล้วนี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีเยี่ยม ส่วนผู้เฒ่าหน้าผีสีหน้านิ่งสงบราวน้ำ ไม่พูดจาสักคำ!
เมื่อผู้ครอบครองเนตรมิติลงมือ หอมารสวรรค์ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
ในสายตาของเขา หอมารสวรรค์ต้องโดยทำลายล้างจนเหลือแค่ซากเท่านั้น
“ทุกท่าน ข้ายังมีธุระอยู่ ต้องขอตัวก่อน!”
จ้าวเฟิงดูท่าทางของผู้อาวุโสหน้าผี ก่อนจะยิ้มเย็นและขอตัวจากไป
ผู้อาวุโสหน้าผีในตอนนี้ถูกกระทบเข้าอย่างจัง จึงไม่มีกะจิตกะใจจะไปถกเถียงเรื่องการกระทำของจ้าวเฟิงที่เขามารทมิฬ
“จ้าวเฟิง คราวหน้าหากมีโอกาส เขามารทมิฬย่อมต้องรับรองเจ้าอย่างดี!”
ผู้อาวุโสแซ่เถาเอ่ยอย่างยินดี
การปรากฏตัวของจ้าวเฟิงนำข่าวดีที่สุดมาให้เขา
“ไปกันเถอะ คุนอวิ๋น!”
ในตอนที่เดินออกจากโถงตำหนัก จ้าวเฟิงเอ่ยกับคุนอวิ๋นที่มีสีหน้าร้อนรน
“ไปได้แล้วหรือ?”
คุนอวิ๋นตกตะลึง แทบไม่เชื่อว่าตนเองจะหลุดพ้นจากเขามารทมิฬได้
แต่พลังฝึกตนของคุนอวิ๋นต่ำจนเกินไป จ้าวเฟิงจึงให้อีกฝ่ายไปอยู่ในมิติของชุดคลุมเพื่อจะได้เดินทางโดยสะดวก
ระดับพลังของคุนอวิ๋นต่ำเกินไป ต่อให้ลองทำอะไรกับชุดคลุมมิติก็ไร้ประโยชน์ ดังนั้นจ้าวเฟิงจึงวางใจได้
จ้าวเฟิงเดินทางออกจากเขามารทมิฬทันที
“จะปล่อยพวกเจ้าสองคนไปไม่ได้!”
จ้าวเฟิงโคจรดวงตาซ้ายสำรวจเขามารทมิฬ
เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นและคุณชายห่ายถูกจ้าวเฟิงเจอทีละคนอย่างรวดเร็ว จ้าวเฟิงโคจรดวงตาซ้าย ทิ้งตราประทับเอาไว้ที่ตัวพวกเขา พลังดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงในตอนนี้ถึงขั้นแปดสุดยอด พวกเขาทั้งสองคนแทบสังเกตไม่เจออะไรผิดปกติด้วยซ้ำ
หลังจากจัดการเรื่องทั้งหมดเรียบร้อย จ้าวเฟิงก็กำลังจะจากไป
แต่จู่ๆ ดวงตาเทพเจ้าของเขาก็ค้นพบว่ามีเทพโบราณสองคนเดินทางมาที่เขามารทมิฬ โดยที่มีตนเองเป็นเป้าหมาย
“เป็นเขาหรือ?” ชายวัยกลางคนร่างกำยำผู้มีใบหน้าซีดเผือดเล็กน้อยมองจ้าวเฟิงที่อยู่ไม่ไกล
“เขาคือจ้าวเฟิง คนที่ท่านอู๋เหินต้องการให้ตามหาหรือ?”
สตรีร่างอวบอัดสมบูรณ์ในชุดสีเขียวอ่อนมองประเมินจ้าวเฟิงอย่างละเอียด