บทที่ 1353 ตำหนักเทพยักษ์
เป็นไปตามที่คาดคิดเอาไว้ จ้าวเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติง ส่วนเทพโบราณทั้งสองคนตรงเข้าไปใกล้เขา
สองฝ่ายประจันหน้ากัน ชายร่างสูงใหญ่และสตรีร่างอวบอัดมองประเมินจ้าวเฟิง
“ท่านทั้งสองมีอะไร?” จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
สองคนนี้เหมือนจะไม่รู้จักกับตน แต่กลับต้องการตามหาตน จึงทำให้จ้าวเฟิงสงสัยอย่างยิ่ง
“ท่านคือจ้าวเฟิงใช่หรือไม่?” ชายร่างกำยำเอ่ยออกมาทันที
“ข้าเอง!” จ้าวเฟิงตอบ
สองคนนี้รู้ชื่อเขา แต่กลับไม่รู้จักเขา เช่นนั้นคงจะไม่ใช่คนจากเขตเทพสวรรค์และแดนเขตพยับฟ้า
“เจ้าครอบครองตราเทพบรรพกาลอยู่ โปรดมอบมันมาให้พวกข้าด้วย!”
ชายร่างกำยำเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา ในเวลาเดียวกัน แรงกดดันสายเลือดที่สะเทือนฟ้าดินก็สาดซัดออกมา ถึงจะเป็นจ้าวเฟิง เมื่อต้องเจอเหตุการณ์ที่คาดคิดไม่ถึงก็ยังสั่นเทิ้มเล็กน้อย
‘เป็นสายเลือดบรรพกาลที่แข็งแกร่งเหลือเกิน!’
จ้าวเฟิงค่อนข้างตกใจ สายเลือดบรรพกาลของชายร่างกำยำไม่ธรรมดา จะต้องเป็นลำดับต้นๆ แน่ แต่จ้าวเฟิงไม่สามารถตัดสินได้ว่าอีกฝ่ายมีสายเลือดอะไรจากเพียงรูปลักษณ์ภายนอก
ทว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จ้าวเฟิงจึงคุ้นเคยกับสายเลือดนี้มาก เหมือนว่าเคยพบเจอมาก่อน
“มันเป็นของของข้า!”
สีหน้าจ้าวเฟิงเย็นชา กลิ่นอายที่หนักแน่นมั่นคงพวยพุ่งออกมา
จนถึงตอนนี้มีเพียงเทพโบราณเฮยเทียนที่รู้จักตราเทพบรรพกาล และพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วงชิงมันไป
ทว่าสองคนนี้มาเพื่อตราเทพบรรพกาลเช่นกัน นี่จึงทำให้จ้าวเฟิงคาดเดาว่าสองคนนี้อาจจะเป็นสมาชิกในขั้วอำนาจของเทพโบราณเฮยเทียน และทั้งสองคนนี้ล้วนแต่เป็นเทพโบราณขั้นแปด บวกกับมีสายเลือดที่แกร่งกล้า จึงมีพลังไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
แต่จ้าวเฟิงก็ผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาแล้ว ต่อให้สองคนร่วมมือกัน เขาก็ไม่หวาดกลัว อีกทั้งสองคนนี้ไม่เหมือนเทพโบราณเฮยเทียนที่ตรงมาสังหารเขาทันที จ้าวเฟิงจึงยังไม่ลงมือเช่นกัน
แต่ถ้าหากอีกฝ่ายลงมือทำร้ายเขาละก็ จ้าวเฟิงก็จะไม่เกรงใจเช่นกัน
โครม! พลานุภาพที่จ้าวเฟิงสาดซัดออกมาไม่ด้อยกว่าชายร่างกำยำแม้แต่น้อย
นี่คงเป็นเพราะจ้าวเฟิงฝึกฝน ‘พลังฟ้าประสานหนึ่ง’ บรรลุพลังเสวียนอ้าวจำนวนมาก ก่อนนี้จ้าวเฟิงยังได้เห็นพลังของครึ่งก้าวสู่จอมเทพ จอมเทพ หรือกระทั่งผู้ครองเนตรด้วยตาของตนเอง
เมื่อฝึกไปถึงระดับหนึ่งแล้ว สภาพจิตใจของจ้าวเฟิงจะได้รับการขัดเกลา ความรู้ของเขาจะเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวใดๆ และก้าวหน้าไปโดยไม่หวั่นเกรง
รัศมีอำนาจและท่าทีของจ้าวเฟิงทำให้สีหน้าของสองคนฝั่งตรงข้ามตะลึงค้างไปเล็กน้อย
‘คนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย!’ ชายร่างกำยำพึมพำในใจ
ด้วยอาการบาดเจ็บของเขาในตอนนี้ หากสู้กันตัวต่อตัวเขาคงไม่ใช่คู่มือของอีกฝ่ายแน่
“ข้าแนะนำให้เจ้ามอบมันให้ข้าเสีย อาวุธเทพชิ้นนี้ไม่มีประโยชน์อะไรกับเจ้า มีแต่จะหาเรื่องมาให้เจ้า เจ้ามีความประสงค์สิ่งใดก็บอกได้เลย!”
ท่าทางของชายร่างกำยำอ่อนลงเล็กน้อย เก็บกักกลิ่นอายเข้าไปเช่นกัน
“เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องการตราเทพบรรพกาล?”
จ้าวเฟิงถามข้อสงสัยในใจ
ตอนนี้สำหรับเขาแล้ว ตราเทพบรรพกาลไม่มีประโยชน์ใดๆ ตามนั้นจริง
หนำซ้ำตราเทพบรรพกาลยังถูกขั้วอำนาจของเทพโบราณเฮยเทียนลอบจับตามองอยู่ หากเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเป็นเมื่อก่อนจ้าวเฟิงอาจมอบของไป หรือไม่ก็แลกเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์อื่นๆ แทน แต่ตอนนี้จ้าวเฟิงเข้าร่วมกับเผ่าพันธุ์วิญญาณ ระดับพลังฝึกตนเทียบเท่ากับเทพโบราณขั้นแปด สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวได้นั้นมีไม่มากแล้ว
ดังนั้นเขาจึงยิ่งสนอกสนใจในความลับของตราเทพบรรพกาล
“นี่มัน…” ชายร่างกำยำพลันเกิดความสงสัยขึ้น
เขาเองก็พอจะรู้เรื่องตราเทพบรรพกาลมาบ้าง แต่ไม่สามารถบอกคนนอกได้
“เอาละ จ้าวเฟิง เจ้าเดินทางไปที่ตำหนักเทพยักษ์กับพวกเราครั้งหนึ่งก่อนเถิด พอไปถึงที่นั่นแล้วเจ้าค่อยตัดสินใจ”
ในตอนนี้เอง สตรีร่างอวบที่มองจ้าวเฟิงด้วยรอยยิ้มมาตลอดเปิดปากเอ่ยในที่สุด
“ถ้าหากข้าไปตำหนักเทพยักษ์กับพวกเจ้า ถึงตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรก็มีแต่ต้องพึ่งพวกเจ้า!”
จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงเย็น
เขาไม่เคยได้ยินชื่อตำหนักเทพยักษ์มาก่อน แต่อย่างน้อยก็เป็นถึงขั้วอำนาจสี่ดาวระดับสุดยอด เขาจะเข้าไปภายในนั้นก็อันตรายจนเกินไป
“ข้ารับคำสั่งมาจากท่านอู๋เหินให้เชิญเจ้าไป ข้าสามารถรับรองได้ว่าหากเจ้าไปที่ตำหนักเทพยักษ์จะไม่เกิดอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น!”
สตรีร่างอวบมีสีหน้าจริงจังมากขึ้น
“ท่านอู๋เหิน?” จ้าวเฟิงชะงักไป หลุดปากออกมาทันใด
ชื่อนี้ย่อมทำให้เขานึกไปถึงซินอู๋เหิน
หนำซ้ำจ้าวเฟิงยังล่วงรู้มาว่าในดินแดนทวีปมีร่างเทพที่เกี่ยวข้องกับซินอู๋เหินปรากฏขึ้น และจ้าวเฟิงก็ได้ตราเทพบรรพกาลมาจากซินอู๋เหิน
ในเวลาเดียวกัน สตรีร่างอวบล้วงเอาตราหยกทรงสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งออกมา บนนั้นมีแสงสีขาวเรืองรองแผ่ออกมา
แสงนั้นเกาะกลุ่มกันเป็นม่านแสงขนาดเล็กกึ่งโปร่งใส ก่อนจะรวมตัวกันเป็นเงาร่างสูงใหญ่อยู่ภายในนั้นอย่างช้าๆ ถึงแม้ว่ารัศมีพลังจะเปลี่ยนแปลงไป แต่รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายคลึงซินอู๋เหินที่จ้าวเฟิงเคยรู้จักยิ่งนัก
“จ้าวเฟิง หากเจ้ายินดีก็เดินทางมาที่ตำหนักเทพยักษ์สักคราเถิด…”
ซินอู๋เหินในภาพเอ่ยแค่สั้นๆ จากนั้นจึงพร่าเลือนหายไปพร้อมกับม่านแสง
ถึงแม้จะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ จ้าวเฟิงกลับรู้สึกว่าซินอู๋เหินมีเรื่องอยากจะบอกแต่ไม่สะดวกนัก
ยามนี้เอง จ้าวเฟิงปรายตามองคนทั้งสองอีกครั้ง พวกเขาสองคนน่าจะเป็นคนของตำหนักเทพยักษ์ แต่ท่าทีที่แสดงต่อจ้าวเฟิงกลับต่างกันออกไป
สตรีร่างอวบน่าจะรับคำสั่งมาจากซินอู๋เหิน ส่วนอีกคนหนึ่งเขาไม่รู้แน่ชัด
‘ถึงแม้สองคนจะมีท่าทีแตกต่างกัน แต่ต่างก็ทำเพื่อตราเทพบรรพกาล หากข้าไม่ไป พวกเขาต้องคอยตอแยไม่หยุดแน่ อีกอย่างพวกเขาเองก็รู้จักกับซินอู๋เหินด้วย…’
เมื่อครุ่นคิดซ้ำไปซ้ำมา จ้าวเฟิงจึงตัดสินใจจะไปตำหนักเทพยักษ์สักครา
อย่างไรเสีย ก่อนที่ซินอู๋เหินจะออกจากดินแดนทวีป เขาก็มอบผลึกเทพอัสนีเทวะที่ล้ำค่ายิ่งให้ และยังให้เบาะแสเกี่ยวกับที่อยู่ของหลิวฉินอินกับจ้าวเฟิง
สรุปโดยรวมคือ ซินอู๋เหินมีบุญคุณต่อจ้าวเฟิงเช่นกัน อีกอย่าง การได้เจอคนรู้จักจากดินแดนทวีปในดินแดนเทพรกร้างก็เป็นเรื่องน่ายินดี
“ตกลง ข้าจะไปกับพวกเจ้าแล้วกัน!” จ้าวเฟิงตอบตกลง
“เช่นนั้นรีบออกเดินทางกันเถอะ!” สตรีร่างอวบระบายยิ้มน้อยๆ
“รอก่อน ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำ!”
จ้าวเฟิงรีบเอ่ยขึ้นขณะที่ทอดสายตามองเขามารทมิฬ
“เจ้าจะทำอะไร? พวกเราจะพาเจ้าไปที่ตำหนักเทพยักษ์ และต้องไปคนเดียว ห้ามพาใครไปด้วย!”
ชายร่างกำยำเปลี่ยนสีหน้า
เขาคิดว่าจ้าวเฟิงเป็นคนของเขามารทมิฬ คงจะกังวลในความปลอดภัยของตนเองจึงจะพาคนไปด้วย
“ไม่ใช่ ให้ข้าสังหารสองคนนั้นก่อน!”
จ้าวเฟิงพลันระบายยิ้ม ทำให้พวกเขาสองคนเกิดสั่นกลัวขึ้นมา
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!
จ้าวเฟิงและคนทั้งสองเดินทางออกจากเขามารทมิฬไป
ด้านในยอดเขามารทมิฬ
“ไปแล้วหรือ?” ผู้อาวุโสแซ่เถาพึมพำเสียงเบา
เทพโบราณสามคนรวมตัวกันอยู่ที่ส่วนนอกของเขามารทมิฬ เป็นธรรมดาที่จะดึงความสนใจจากพวกเขา แต่ดีที่เทพโบราณสามคนนี้น่าจะมีธุระอื่น พูดคุยไม่มากก็จากไป คนระดับสูงของเขามารทมิฬจึงวางใจลงได้
“เทพโบราณคนเมื่อครู่แผ่กลิ่นอายสายเลือดออกมา น่าจะเป็นเผ่าเทพยักษ์!”
ชายชราผมดอกเลาคนหนึ่งเอ่ยปาก
“เผ่าเทพยักษ์สูญสิ้นไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ?”
ผู้อาวุโสแซ่เถามีสีหน้าประหลาดใจ
“เผ่าพันธุ์หนึ่งไม่ได้ล่มสลายลงโดยง่าย นับประสาอะไรกับเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งขนาดนี้!”
เมื่อออกจากเขามารทมิฬไปได้ระยะหนึ่งแล้ว ทั้งสามรีบเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาที่มืดมิดแห่งหนึ่ง
“คนที่เจ้าอยากจะสังหารคงเป็นคนจากเขามารทมิฬ แต่ที่มาหลบที่นี่ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?”
ชายร่างกำยำถามตามตรง
จ้าวเฟิงไม่ได้ตอบคำถาม แต่ในตาซ้ายกลับสาดระลอกวิญญาณที่ทรงพลังออกมา
วินาทีต่อมา เขาสำรวจสถานการณ์แถวนั้นผ่านตราประทับบนร่างเทพแท้จริงพั่วอวิ๋น
“กลิ่นอายดวงวิญญาณแข็งแกร่งนัก!” ชายร่างกำยำค่อนข้างตกใจ
พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงด้อยกว่าพวกเขาสองคนอย่างเห็นได้ชัด แต่พลังวิญญาณกลับอยู่เหนือกว่าพวกเขามาก
เมื่อบวกกับสายเลือดดวงตาลึกลับพวกนั้น กำลังรบของเขาน่าจะไม่ธรรมดา
เหมียว เหมียว!
ในตอนนี้เอง เจ้าแมวขโมยน้อยโผล่ออกมาจากมิติเก็บของ กระโจนขึ้นไปบนบ่าจ้าวเฟิง
“เป็นแมวที่ประหลาดเสียจริง!” สตรีร่างอวบจับจ้องเจ้าแมวขโมยทันที
รูปลักษณ์ภายนอกในตอนนี้ของมันต่างจากแมวทั่วไปมากนัก ร่างกายมันปราดเปรียวแข็งแรง ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกว่าช่างเป็นร่างสิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ หูและหางของมันเรียวยาว กลับคล้ายภูตปีศาจเสียมากกว่า
แต่สิ่งที่ประหลาดที่สุดก็คือ อักขระและสัญลักษณ์สีเงินหลากชนิดที่แสนจะซับซ้อนบนตัวเจ้าแมวขโมยน้อย
แมวขโมยน้อยจ้องคนจากตำหนักเทพยักษ์สองคนด้วยท่าทีระแวดระวัง
วินาทีต่อมา กลิ่นอายวิญญาณในร่างจ้าวเฟิงพลันอ่อนจางหายไป จนเหมือนว่าเขาตายแล้วอย่างนั้น
มีเพียงเจ้าแมวขโมยเท่านั้นที่รู้ว่าครรลองสายตาของจ้าวเฟิงล่องลอยไปยังขอบฟ้าที่ไกลออกไปแล้ว
ณ ที่พักของเทพแท้จริงพั่วอวิ๋น
“เมื่อเป็นศิษย์หลักแล้วจะมีความเป็นอยู่ที่ต่างออกไป โอสถโลหิตเจ็ดแปรผันเม็ดนี้สามารถช่วยข้าเพิ่มความเสถียรพลังฝึกตน และเพิ่มระดับขั้นชีวิตได้ด้วย…”
เทพแท้จริงพั่วอวิ๋นกินยาเม็ดสีแดงสุกสกาวลงไปเม็ดหนึ่ง
ทว่ายามนั้นเอง เหนือศีรษะของเขาปรากฏดวงตาสีเงินมายาขนาดประมาณกำปั้นลอยอยู่กลางอากาศ
ในนั้นแผ่ลำแสงสีฟ้าอ่อนที่หนาวเหน็บออกมาหลายเส้น
วูบ วูบ! ลำแสงฟ้าอ่อนพวกนั้นแทรกเข้าสู่ดวงวิญญาณของเทพแท้จริงพั่วอวิ๋น แช่แข็งสตินึกคิดในพริบตา ก่อนที่ดวงวิญญาณจะสูญสลายไปในวินาทีถัดมา
เมื่อทั้งหมดจบสิ้น ดวงตาสีเงินภาพดุจความฝันก็หายไปทันที
จ้าวเฟิงใช้พลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในการสังหารเทพแท้จริงพั่วอวิ๋น จึงไม่ถูกจับได้
“จะสังหารเทพแท้จริงพั่วอวิ๋นก็ช่างง่ายดายนัก แต่ถ้าลงมือสังหารคุณชายห่ายอาจจะโดนจับได้ ยามนี้เขากำลังฝึกอยู่…”
ภายในอีกห้องหนึ่ง
คุณชายห่ายกำลังจมดิ่งอยู่กับวิชาดวงตาดาราที่ลึกล้ำสูงส่ง
ดวงตาสองข้างของเขาเป็นประกายจางๆ เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังอนุมานวิชาดวงตา แต่สีหน้าของเขากลับย่ำแย่อย่างยิ่ง คงฝึกฝนวิชาดวงตาได้ไม่ราบรื่นนักและเจออุปสรรคอะไรบางอย่าง
วู้ม! ดวงตาสีเงินมายาข้างหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังเขา
หากเป็นยามปกติ คุณชายห่ายอาจสังเกตเจอ แต่ตอนนี้เขากำลังฝึกฝนวิชาดวงตาอยู่ จิตใจจึงกระวนกระวายอย่างยิ่ง
“เนตรมารวิญญาณเพลิง!”
พลังศาสตร์ลวงตาที่ร้อนแรงปกคลุมลงไป
คุณชายห่ายที่กำลังฝึกตนอยู่ในตอนนี้มีสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด เลือดไหลเป็นสายออกจากดวงตาทั้งสองข้าง
ชั่วขณะต่อมา ดวงตาสีเงินมายากลางอากาศก็หายวับไป
ในถ้ำบนเขา
นัยน์ตาสีเทาเข้มของจ้าวเฟิงมีประกายแสงสีเงินลอยเอ่อขึ้นมา
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
บุรุษหนุ่มร่างกำยำเอาแต่สังเกตจ้าวเฟิงอยู่ตลอด รู้สึกแปลกใจนัก
“เขาชำนาญศาสตร์วิญญาณมาก เมื่อครู่วิญญาณออกจากร่างไป…”
สตรีร่างอวบแววตาเป็นประกายประหลาด
“ไปกันได้แล้ว” จ้าวเฟิงเปิดปากเอ่ย
ถึงแม้ไม่ได้ลงมือสังหารคุณชายห่ายทันที แต่จ้าวเฟิงก็ใช้วิชาเนตรศาสตร์ลวงตาที่อันตรายอย่างยิ่งกับคุณชายห่าย
เนตรมารวิญญาณเพลิงเป็นวิชามายาที่ทั้งล่อลวงและโจมตี แถมจ้าวเฟิงยังผสานพลังทำลายล้างที่กัดกินวิญญาณเอาไว้ในเวลาเดียวกัน
เมื่อตกอยู่ในอำนาจวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงยามที่ฝึกตน หากโชคดีหน่อยพลังจะถดถอยลงไป ไม่มีทางก้าวหน้าไปทั้งชีวิตด้วยมีจิตมารพัวพัน หากแย่หน่อยก็คือวิญญาณอาจจะสลายไป
ชายร่างกำยำและสตรีร่างอวบผู้นั้นมองจ้าวเฟิงด้วยสายตามีเลศนัย ไม่พูดอะไรมากมายนัก
เมื่อครู่จ้าวเฟิงพูดว่าสังหารคนของเขามารทมิฬสองคนแล้วจึงจะไป
ยามนี้ไปได้ ก็เป็นการพิสูจน์แล้วว่าเขาสังหารคนที่ต้องการจะสังหารแล้ว!
ถึงแม้ออกจะเหลือเชื่อ แต่เรื่องนี้ก็ทำให้พวกเขาสองคนระมัดระวังจ้าวเฟิงยิ่งขึ้น
หลังจากทั้งสามไปได้ไม่นานนัก เขามารทมิฬก็มีข่าวคุณชายห่ายฝึกตนจนธาตุไฟเข้าแทรก วิญญาณระเบิดตัวเองจนสลายไป