Skip to content

King of Gods 1356

King Of Gods

บทที่ 1356 ความลับของเผ่าเทพยักษ์

“จะถึงแล้วหรือ?” ภายในชุดคลุมมิติ จ้าวเฟิงพอจะรับรู้สถานการณ์ในเรือบินได้

สามปีนี้เขาเอาแต่ปิดด่านฝึกตน หนำซ้ำเวลาส่วนมากก็อยู่แต่ในมิติของชุดคลุม

ในระยะเวลาสามปี พลังฝึกตนของเขามั่นคงอยู่ที่เทพโบราณขั้นแปด เสวียนอ้าวมิติไปแตะขั้นเจ็ด ส่วน ‘พลังฟ้าประสานหนึ่ง’ เองก็ฝึกฝนไปถึงขั้นที่สามช่วงต้น

นอกจากนี้ เขาอนุมาน ‘วิชาแยกวิญญาณ’ ไปถึงขั้นที่สี่แล้ว เพียงแต่ว่ายังไม่ได้แยกวิญญาณ อย่างไรเสีย การแบ่งแยกวิญญาณก็เป็นเรื่องที่อันตรายมาก จะถูกรบกวนไม่ได้ อีกทั้งหลังจากที่แยกวิญญาณแล้วจะอ่อนแอไปช่วงหนึ่ง

และจ้าวเฟิงยังแก้ไขปรับปรุงวิชาดวงตาของตนเองให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ใช้วิชาและความรู้ประสบการณ์ทั้งหมดสร้างวิชาดวงตาใหม่ๆ ออกมาบางส่วน

ทางฟากมังกรวารีล้างโลกายังดูดซับพลังจากเกล็ดคอเผ่าพันธุ์มังกรล้างโลกาที่จ้าวเฟิงคัดลอกเอาไว้จำนวนมาก จนพลังเทียบเท่าเทพโบราณขั้นแปดไปตั้งนานแล้ว ร่างมังกรวารีกำลังเปลี่ยนสภาพเป็นมังกรแท้ ระดับความเข้มข้นของสายเลือดเผ่าพันธุ์มังกรล้างโลกาก็เพิ่มขึ้นด้วย

ในสามปีที่ผ่านมานี้เขาพัฒนารวดเร็วที่สุดแล้ว พลังเพิ่มขึ้นมากกว่าจ้าวเฟิงเสียอีก แน่นอนว่านี่เป็นเพราะสายเลือดที่โดดเด่นของตัวเขาเองด้วย

เผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคบรรพกาลก็คือเผ่าพันธุ์มังกรล้างโลกา ซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นของวิหคทอง จากจุดนี้จะเห็นความน่ากลัวของสายเลือดดังกล่าวได้ ทว่าเมื่อใช้เกล็ดมังกรล้างโลกามากจนเกินไป สรรพคุณที่แท้จริงของมันจึงไร้ผลไปแล้ว

ต่อไปในภายหน้า หากมังกรวารีล้างโลกาอยากจะเพิ่มพลังก็ต้องใช้วิธีอื่นแล้ว

“นายท่าน ด้วยพลังของข้าในตอนนี้ เทพโบราณขั้นแปดทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้ด้วยแน่นอน!”

มังกรวารีล้างโลกาเห็นจ้าวเฟิงสิ้นสุดการปิดด่านฝึกตนแล้ว จึงรีบเอ่ยปาก

เขามีพลังฝึกตนเช่นในวันนี้ได้เป็นเพราะจ้าวเฟิงทั้งสิ้น มังกรวารีล้างโลกาในตอนนี้คิดกระทั่งว่าตนเองโชคดีที่ได้รับใช้จ้าวเฟิง แต่พัฒนาการที่เพิ่มขึ้นมากเกินไปของจ้าวเฟิง ก็เพิ่มแรงกดดันให้เขาอย่างยิ่ง หากตนเองไล่ตามไม่ทัน ถูกทิ้งช่วงไปไกลเกิน มังกรวารีล้างโลกาก็ยิ่งไม่รู้สึกปลอดภัย

“มังกรวารีทมิฬตัวนี้!” ทางฝั่งคุนอวิ๋นอุทานด้วยความริษยา

ในสามปีนี้ เขาทะลวงถึงเทพแท้จริงขั้นสามได้เพราะการชี้แนะจากจ้าวเฟิง

หนำซ้ำพลังฝึกตนยังพุ่งทะยานขึ้นจนไปแตะขั้นสามสุดยอด ความเร็วในการฝึกตนระดับนี้ หากอยู่ในขั้วอำนาจห้าดาวทั่วไปย่อมต้องภาคภูมิใจแน่ แต่เมื่ออยู่รวมกับพวกจ้าวเฟิง เขาไม่มีความรู้สึกภูมิใจแม้แต่น้อย

เขาถึงกระทั่งได้ยินมาว่า ซินอู๋เหินสหายของจ้าวเฟิงในกาลก่อนกลายมาเป็นเจ้าตำหนักของขั้วอำนาจที่เผ่าเทพยักษ์สังกัดอยู่ ทำเอาเขาตื่นตกใจแทบตาย

พรึ่บ! จ้าวเฟิงออกจากมิติในชุดคลุมมิติ

“สหายจ้าว เจ้าเก็บงำกลิ่นอายไว้ดีนัก ดูไปแล้วพลังฝึกตนคงเสถียรอย่างที่สุดแล้ว!”

เทพโบราณพั่วเยวี่ยเอ่ยอย่างตกใจ

ในลำดับของเทพโบราณ คนจำนวนมากใช้ศักยภาพและพรสวรรค์ที่มีไปจนถึงขีดจำกัด ต้องลำบากตรากตรำถึงจะเกือบทะลวงผ่านได้ ดังนั้นหากอยากทำให้พลังมั่นคงโดยสมบูรณ์จึงยากยิ่งกว่ายาก

“ใกล้ถึงแล้วกระมัง!” จ้าวเฟิงเอ่ยถาม

ก่อนนี้เขารู้สึกได้ว่าเรือบินลดความเร็วลง พวกตำหนักเทพยักษ์หยุดการปิดด่านฝึกตน เขาจึงแน่ใจว่าใกล้จะถึงแล้ว แต่เขากลับไม่เห็นอะไรในครรลองสายตาของตน

“อยู่ในพื้นที่มหาสมุทรด้านหน้านี้!” เทพโบราณหนิงเยวี่ยเอ่ยพลางระบายยิ้ม

“ในมหาสมุทร?” จ้าวเฟิงอึ้งไป

ตู้ม! เรือบินดำลงไปในจุดลึกของมหาสมุทรด้านหน้า เมื่อเดินทางไปได้ระยะทางหนึ่ง อ้อมระลอกน้ำวนขนาดใหญ่หลายแห่งแล้ว จึงหยุดลงแถวแนวปะการังสีเลือดในที่สุด

หลังจากลงเรือ ทั้งสองคนก็ไปยังแนวปะการังแล้วประสานมือใช้วิชา ทันใดนั้นเอง อุโมงค์สีเข้มแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหน้า หลังจากที่ทั้งสามคนข้ามผ่านอุโมงค์ไปแล้ว ก็มาโผล่ยังพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง

หมื่นลี้ในนั้นไม่มีก้อนเมฆ เขาสูงชะลูดกระจายตัวไปทั่วบริเวณ เหนือเขาสูงใหญ่เหล่านั้นมีวิหารตำหนักจำนวนนับไม่ถ้วน

“คิดไม่ถึงเลยว่าจะลึกลับซับซ้อนขนาดนี้!”

จ้าวเฟิงกระจ่างแจ้ง มิน่าล่ะเขาจึงไม่เคยได้ยินชื่อตำหนักเทพยักษ์มาก่อน

จะต้องรู้ว่า เผ่าเทพยักษ์จัดอยู่ลำดับที่สิบห้าในรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ จึงเป็นเป้าสายตาอย่างมาก แต่ที่ตั้งขั้วอำนาจกลับลึกลับขนาดนี้ จึงแทบจะไม่มีใครสักคนล่วงรู้เรื่องนี้

“นี่ก็มีเหตุผลเช่นกัน พอถึงเวลาเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง!”

เทพโบราณหนิงเยวี่ยทอดถอนใจ ไม่พูดอะไรมากนัก

ณ เวลานี้เอง ในส่วนลึกของตำหนักรอบบริเวณมีประสาทสัมผัสเทพหลายเส้นสายกวาดผ่านไปมา จากนั้นเงาหลายร่างโผกระโจนออกมาจากภายในตำหนัก

ผู้แข็งแกร่งขั้นเทพโบราณในเกราะสีทองบินออกมาทันที

“เทพโบราณพั่วเยวี่ย เทพโบราณหนิงเยวี่ย พวกเจ้ากลับมาแล้ว คนผู้นั้นเป็นใคร?”

เทพโบราณจินเจี่ย (เกราะทอง) ถามแล้วก็มองจ้าวเฟิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตรนัก

“ผู้ครอบครองตราเทพบรรพกาล!” เทพโบราณพั่วเยวี่ยเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

ทันทีที่พูดดังนั้น เทพโบราณจินเจี่ยจึงเอ่ยออกมาในทันที “แล้วเขามาที่นี่เพราะอะไร?”

ความนัยของเทพโบราณจินเจี่ยชัดเจนแจ่มแจ้ง แค่ชิงเอาตราเทพบรรพกาลกลับมาก็ได้แล้ว ไม่ควรจะพาจ้าวเฟิงมาที่นี่

“ท่านอู๋เหินเชิญเขามาที่นี่!” ใบหน้าเทพโบราณหนิงเยวี่ยเย็นชาเล็กน้อย

ตอนที่สู้รบกับเทพโบราณโยวหยา บวกกับระยะเวลาสามปีที่รู้จักมักคุ้นกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนจึงไม่เลวนัก ความคิดที่เทพโบราณหนิงเยวี่ยมีต่อจ้าวเฟิงจึงค่อยๆ ดีขึ้น

เมื่อได้ยินชื่อ ‘ท่านอู๋เหิน’ ชายเกราะทองพลันก้มหน้าไม่พูดไม่จา

ยามนี้เอง ในทิวเขาที่เรียงรายนับไม่ถ้วนมีเสียงดังแว่วออกมา “หนิงเยวี่ย เชิญแขกมาหาข้า!”

ทั้งฟ้าดินตกอยู่ในความเงียบสงัด คนทั้งหมดต่างก้มทำความเคารพ

จ้าวเฟิงแน่ใจได้ว่าคนที่พูดประโยคนี้เป็นซินอู๋เหิน แต่เขากลับมองไม่ออกเลยว่าเสียงนี้ดังมาจากเขาลูกไหน

“ไปเสีย!” จากนั้นเทพโบราณหนิงเยวี่ยจึงพาจ้าวเฟิงเดินทางข้ามเขาจำนวนมากจนมาถึงหน้าเขายักษ์สีเหลืองแก่แห่งหนึ่ง

ยอดเขาขนาดใหญ่แห่งนั้นมีตำหนักเก่าแก่แห่งหนึ่ง ด้านหน้าตำหนักมีเงาคนรูปร่างสูงใหญ่ยืนอยู่

รูปโฉมของเขาธรรมดา แต่อากัปกิริยาต่างๆ กลับทำให้คนรู้สึกว่าไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย เขายืนนิ่งๆ อยู่ที่นั่น ดูไปแล้วกลับเหมือนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเขาแห่งนั้น ทั้งสูงใหญ่และทำให้รู้สึกหวั่นเกรงอย่างยิ่ง

“จ้าวเฟิง ไม่เจอกันตั้งนาน เราเข้ามาคุยกันสักหน่อย”

ซินอู๋เหินระบายยิ้มอย่างยินดี

“เจ้านี่เกินคาดเดาจริงๆ!” จ้าวเฟิงทอดถอนใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในตำหนัก

ถึงเขาจะเป็นคนแรกในดินแดนทวีปที่รู้ความไม่ธรรมดาของซินอู๋เหิน แต่ความเป็นจริงกลับเกินความคาดเดาของเขา หลังจากที่จ้าวเฟิงมายังดินแดนเทพรกร้างก็ได้รับโอกาสมากมาย จนทะลวงเทพโบราณขั้นเจ็ดได้ แต่ก็ยังคงด้อยกว่าเขามากนัก

จ้าวเฟิงคิดว่าซินอู๋เหินในตอนนี้น่าจะมีพลังเทียบเท่าเทพโบราณขั้นเก้าเป็นอย่างน้อย แต่ลึกล้ำยิ่งกว่าเทพโบราณขั้นเก้าคนใดๆ ที่เขาเคยพบเจอ!

“เดิมทีข้าคิดว่าอย่างน้อยๆ ต้องรออีกห้าร้อยปีจึงจะได้พานพบ คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีพัฒนาการรวดเร็วเช่นนี้!”

หลังจากทรุดกายลงนั่ง ซินอู๋เหินก็มองสำรวจจ้าวเฟิงอย่างละเอียด

“ห้าร้อยปี?” จ้าวเฟิงหัวเราะน้อยๆ หากเปลี่ยนเป็นเทพโบราณคนอื่นที่เดินทางมาดินแดนเทพรกร้างจากภายนอก ถ้าให้เวลาอีกพันปีก็ยังยากจะประสบความสำเร็จเช่นจ้าวเฟิง

แต่ซินอู๋เหินทำนายเวลาไว้ห้าร้อยปี เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็รู้ถึงความไม่ธรรมดาของดวงตาซ้ายจ้าวเฟิง

“คืนให้เจ้า” จ้าวเฟิงล้วงเอาตราเทพบรรพกาลออกมา ของชิ้นนี้เดิมทีก็เป็นของซินอู๋เหิน

ระยะเวลาสามปี เขาเคยพินิจพิเคราะห์ตราเทพบรรพกาลมานับครั้งไม่ถ้วน ยิ่งสืบค้นลึกลงไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งเห็นถึงความพิเศษของตราเทพบรรพกาล จนในที่สุดเขาก็เข้าใจ ที่ตราเทพบรรพกาลไม่ถูกเขายึดครองโดยสิ้นเชิงเป็นเพราะตราเทพบรรพกาลมีเจ้าของมาโดยตลอดคือซินอู๋เหิน

ฟิ้ว! ตราเทพบรรพกาลเผยขึ้นที่ด้านข้างของซินอู๋เหิน

กลิ่นอายที่แข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมาจากด้านในนั้นช้าๆ ด้านบนของตราเทพบรรพกาลล้อมรอบด้วยระลอกแสงสุกสกาว เมื่อผนึกชั้นหนึ่งเปิดออก ตราเทพบรรพกาลสาดซัดกลิ่นอายอาวุธเทพระดับสุดยอดออกมา

“เจ้ารู้แล้วนี่ ไม่ผิดหรอก ตราเทพบรรพกาลนี้เป็นของที่ระลึกของเจ้าตำหนัก ‘เทพโบราณ’!”

ซินอู๋เหินตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะเก็บตราประทับเอาไว้

“ตำหนักเทพโบราณ?”

ขั้วอำนาจที่ซินอู๋เหินสังกัดอยู่ไม่ใช่ตำหนักเทพยักษ์หรอกหรือ? เกี่ยวอะไรกับตำหนักเทพโบราณ?

“สามร้อยล้านปีก่อน เขตดาราชาดมีขั้วอำนาจห้าดาวชั้นยอดนามว่าตำหนักเทพโบราณ มีชื่อเสียงไม่น้อยในดินแดนเทพรกร้าง ตำหนักเทพโบราณมีสองเผ่าพันธุ์กุมอำนาจอยู่ แบ่งเป็นเผ่าเทพยักษ์และเผ่าวิญญาณบรรพกาล…”

ซินอู๋เหินพูดเนิบนาบราวกำลังทบทวนความจำ

อันที่จริง เขตดาราชาดในอดีตไม่ได้มีตำหนักเทพยักษ์ และก็ไม่ได้มีตำหนักวิญญาณบรรพกาล มีแต่ ‘ตำหนักเทพโบราณ’ ที่เป็นขั้วอำนาจห้าดาวขนาดใหญ่เท่านั้น

โดยผู้ปกครองสูงสุดของตำหนักเทพโบราณก็คือเผ่าเทพยักษ์ แต่ลักษณะพิเศษของเผ่าเทพยักษ์ก็สัดส่วนในการสืบทอดสายเลือดค่อนข้างต่ำ ความเข้มข้นของสายเลือดก็ต่ำด้วยเช่นกัน และสายเลือดที่เข้มข้นมากๆ ก็ยิ่งน้อยลงไปทุกที ก่อนจะค่อยๆ หายไป

ส่วนคนในเผ่าวิญญาณบรรพกาลมีจำนวนค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าลำดับรายชื่อจะไม่เท่าเผ่าเทพยักษ์ แต่สายเลือดเข้มข้นอย่างยิ่ง มีวิชาที่แสนจะพิสดาร พวกเขาไม่พึงใจในสถานการณ์ของตนเอง จึงวางแผนมานาน เพื่อสุดท้ายแล้วจะได้แย่งชิงตำแหน่งและเอาชนะเผ่าเทพยักษ์

จนที่สุดตำหนักเทพโบราณแห่งนี้เปลี่ยนชื่อเป็นตำหนักวิญญาณบรรพกาล!

เรื่องราวผ่านไปเป็นระยะเวลายาวนาน จนมีเพียงผู้อาวุโสเก่าแก่ส่วนหนึ่งในดินแดนเทพรกร้างเท่านั้นถึงจะรู้เรื่องลับพวกนี้

“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นแบบนี้ไปได้!”

จ้าวเฟิงฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้ด้วยใบหน้าตื่นตกใจ

จนตอนนี้ ที่สุดแล้วเขาถึงได้เข้าใจว่าทำไมตำหนักเทพยักษ์จึงแฝงกายอยู่ในสถานที่เร้นลับเช่นนี้ เพราะตอนนี้พลานุภาพของตำหนักเทพยักษ์ด้อยกว่าตำหนักวิญญาณบรรพกาลอย่างยิ่ง และตำหนักวิญญาณบรรพกาลเองก็ไม่ปล่อยเผ่าเทพยักษ์ไป!

“ในตอนแรกข้าโดนเผ่าวิญญาณบรรพกาลล้อมสังหาร ก่อนที่ดวงจิตจะสูญสลาย ข้าฝืนเปิดอุโมงค์ที่นอกดินแดน ผลสุดท้ายก็คือกายเนื้อมาโผล่ที่ดินแดนทวีป ถึงแม้ดวงจิตจะดับสลายจนไม่สามารถชุบชีวิตด้วยเลือดได้ แต่ในฐานะที่เป็นจอมเทพจึงสามารถใช้ ‘ตราประทับดั้งเดิม’ กลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง…”

สีหน้าซินอู๋เหินสับสนเมื่อเอ่ยตอบ

จ้าวเฟิงคาดเดาเรื่องพวกนี้ได้นานแล้ว

เพียงแต่เขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าซินอู๋เหินในชาติก่อนจะเคยเป็นหนึ่งในจอมเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าเทพยักษ์ ดังนั้นหลังจากที่ซินอู๋เหินเดินทางมาถึงดินแดนเทพรกร้าง รับสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักแล้ว จึงไม่มีใครเห็นต่างอีก

“ตราเทพบรรพกาลล้ำค่าถึงเพียงนี้ ไยเจ้าจึงไม่มอบให้ข้าในตอนนั้น?”

จ้าวเฟิงถามอย่างสงสัย

แรกเริ่มเดิมที ตราเทพบรรพกาลชิ้นนี้เป็นถึงอาวุธเทพระดับสุดยอด หนำซ้ำยังดูเหมือนว่าจะมีความลับอย่างอื่นอยู่ สิ่งของที่สำคัญเช่นนี้ ซินอู๋เหินยกให้จ้าวเฟิงในตอนอยู่ที่ดินแดนทวีป ทำให้เขาคาดคิดไม่ถึงอย่างยิ่ง

“ในตอนที่ข้าได้รับสืบทอดกายเนื้อและสายเลือดในชาติก่อนของข้า ตำหนักวิญญาณบรรพกาลก็สังเกตเห็นการดำรงอยู่ของข้า ข้าจึงเดาว่ามีเทพแท้จริงมาที่ดินแดนทวีป อาจพาหายนะมาด้วย จึงเอาสิ่งของทุกชิ้นในช่วงชีวิตก่อนมาสร้างเป็นมรดกแห่งหนึ่งให้พวกเจ้าเลือกสรร หนึ่งก็เพื่อชดเชยพวกเจ้า สองเพื่อเพิ่มพลังความสามารถให้พวกเจ้า เพื่อรับมือกับอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ส่วนตราเทพบรรพกาลเจ้าเป็นคนเอาไปเอง…”

ซินอู๋เหินหัวเราะน้อยๆ เขาไม่ได้ให้ตราเทพบรรพกาล แต่จ้าวเฟิงเป็นคนเอาไปเอง

ซินอู๋เหินสืบทอดพลังในช่วงชีวิตก่อน และเข้าไปในดินแดนเทพรกร้าง จึงต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าสังหารจากตำหนักวิญญาณบรรพกาล

ตราเทพบรรพกาลสำคัญมากถึงขนาดนี้ จะปล่อยให้ตกอยู่ในเงื้อมมือของคนจากตำหนักวิญญาณบรรพกาลไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงยกของชิ้นนี้ให้คนอื่นดูแลก่อน

แต่การดูแลรักษาตราเทพบรรพกาลเองก็เป็นอันตรายอย่างหนึ่งเช่นกัน คนทั่วไปทำก็ไม่ได้…

“อยาจะรู้ความลับของตราเทพบรรพกาลหรือไม่?”

ซินอู๋เหินโพล่งขึ้นมา

จ้าวเฟิงชะงักไป เขาย่อมรู้ดีว่าความลับที่เกี่ยวโยงกับตราเทพบรรพกาลอาจจะยิ่งใหญ่อย่างมาก แต่ซินอู๋เหินกลับไม่ได้มีท่าทีจะปกปิดจ้าวเฟิงแม้แต่น้อย

“อย่างไรเสียเจ้าก็ช่วยข้าได้มากเลยทีเดียว ถือได้ว่าเป็นนายครึ่งหนึ่งของตราเทพบรรพกาลแล้ว จะล่วงรู้เรื่องราวของมันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว…”

ซินอู๋เหินเตรียมจะเล่าความลับของมันออกมา

แต่ในตอนนั้นเอง กลิ่นอายอึดอัดกดดันก็มาเยือนทั้งตำหนัก

จะต้องรู้ว่า หลังจากที่จ้าวเฟิงเข้ามาที่นี่แล้ว รอบๆ ตำหนักก็เปิดปราการป้องกันออก แต่กลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งลึกลับผู้นั้นกลับข้ามปราการป้องกันมาถึงที่นี่

กลิ่นอายกลุ่มนี้หนักแน่นราวขุนเขา ขนาดมีปราการกั้นขวางยังทำให้จ้าวเฟิงขยับตัวไม่ได้ รู้สึกว่าตนเองเล็กจ้อยราวมดปลวก ชีวิตตกอยู่ในกำมือของคนอื่น

เขาเคยสัมผัสความรู้สึกแบบนี้มาก่อนครั้งหนึ่ง

“จอมเทพ!”

จ้าวเฟิงตื่นตะลึง เขาที่เคยเจอจอมเทพเทียนจี้มาก่อน จนสามารถตัดสินพลังฝึกตนของฝ่ายตรงข้ามได้จากกลิ่นอายสำนึกรู้กลุ่มนี้

“อู๋เหิน เจ้าจะบอกความลับของเผ่าเทพยักษ์กับคนนอกหรือ?”

น้ำเสียงเข้มงวดแก่ชราดังสะท้อนไปมาในตำหนัก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version