บทที่ 1357 แสดงศักยภาพ
“อู๋เหิน เจ้าจะบอกความลับของเผ่าเทพยักษ์กับคนนอกหรือ?”
น้ำเสียงเข้มงวดแก่ชราดังสะท้อนในตำหนัก
“แต่ไหนแต่ไรมาเขาช่วยข้าดูแลรักษาตราเทพบรรพกาล หนำซ้ำยังเดินทางมาคืนมันให้กับข้าด้วยตนเอง ดังนั้นข้าจึงเชื่อใจเขา!”
ซินอู๋เหินตอบด้วยท่าทีนิ่งเฉย
จ้าวเฟิงรู้ดีว่าตราเทพบรรพกาลมีความลับซุกซ่อนอยู่ แต่ยังคงเดินทางมาที่นี่เพื่อมอบมันให้ด้วยตนเอง ดังนั้นหากจะบอกความลับของตราเทพบรรพกาลกับจ้าวเฟิงก็ไม่ถือว่าเกินกว่าเหตุ
“ในตอนแรกเผ่าเทพยักษ์ของข้าก็เชื่อในเผ่าวิญญาณบรรพกาลนัก แล้วผลสุดท้ายเป็นอย่างไร?”
เสียงชราดังขึ้นอีกครั้ง ในน้ำเสียงเจือความเหนื่อยหน่าย เกรี้ยวกราด และปลงอนิจจัง
“หากไม่ใช่เผ่าเดียวกับข้า ไม่มีทางมีใจเป็นหนึ่งเดียวกันแน่!”
ยังไม่ทันรอให้ซินอู๋เหินพูด เสียงแก่เฒ่าแฝงพลานุภาพมหาศาลก็ดังก้องในฟ้าดิน
ในเวลาเดียวกัน คนในตำหนักเทพยักษ์แทบทั้งหมดต่างเดินออกมาจากที่พักอาศัย และแหงนมองท้องฟ้าด้วยใบหน้าหมองเศร้า
“จ้าวเฟิง อย่าใส่ใจเลย ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้เพ่งเล็งเจ้าหรอก…”
ซินอู๋เหินรู้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดเกลียดชังเผ่าวิญญาณบรรพกาลเข้ากระดูกดำ จึงไม่ได้ถกเถียงต่อ แต่คุยกับจ้าวเฟิงแทน
เขาคิดว่าที่เผ่าเทพยักษ์เป็นแบบนี้ก็เป็นเพราะพึ่งพาสายเลือดมากเกินไป หนำซ้ำยังคิดว่าสายเลือดของตนเองอยู่ในระดับสูง จึงไม่แยแสเผ่าพันธุ์บรรพกาลที่อ่อนแออื่นๆ ดำเนินชีวิตอย่างราบเรียบมากจนไม่รู้สึกถึงอันตรายคุกคาม ถึงต้องเผชิญหน้ากับจุดจบที่อเนจอนาถเช่นนี้
หลังจากผ่านเรื่องเหล่านี้ไป เผ่าเทพยักษ์มีประสบการณ์อย่างลึกซึ้งแล้ว เมื่อฟื้นคืนกลับมาก็จะเป็นราวใบไผ่แผ่กิ่งก้านสาขา ไม่มีใครขัดขวางได้ แต่เผ่าเทพยักษ์ในตอนนี้กำลังเผชิญกับอันตรายจากตำหนักวิญญาณบรรพกาล หากคิดจะผงาดขึ้นมาต้องอาศัยโอกาสครั้งหนึ่ง
“อู๋เหิน ของมาถึงมือแล้ว ส่งเขากลับไปเถอะ!”
ผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยต่อ
โอกาสที่จะช่วยให้เผ่าเทพยักษ์ผงาดขึ้นมาก็คือตราเทพบรรพกาล
“ข้าต้องการความเหลือจากเขา!” ซินอู๋เหินเอ่ยเสียงราบเรียบ
“อะไรกัน? เจ้าคิดจะให้เขาอยู่ที่นี่ต่อหรือ?” เสียงเกรี้ยวกราดพลันดังขึ้น
จ้าวเฟิงรู้สึกเหมือนกับว่าฟ้าดินถล่มลงมา อึดอัดจนยากจะหายใจ
ในวินาทีต่อมา ภายในตำหนักก็ปรากฏร่างคนแก่ผู้หนึ่งขึ้น ร่างกายเขาสูงใหญ่ ใบหน้าถมึงทึงเป็นสีแดงเข้ม ผมขาวโพลนเต็มศีรษะ
“เขาเป็นเทพโบราณขั้นแปด เมื่ออยู่ในขั้วอำนาจทั่วไปจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดแน่นอน แต่สำหรับเผ่าเทพยักษ์ในตอนนี้ ไม่มีประโยชน์ใดๆ!”
ผู้อาวุโสสูงสุดตะเบ็งเสียงเอ่ย
อันที่จริง ตำหนักเทพยักษ์ในตอนนี้ขาดแคลนผู้แข็งแกร่ง ถ้าหากมีเทพโบราณขั้นแปดเพิ่มมา พวกเขาย่อมยินดีอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหวาดระแวงคนนอกเผ่ายิ่งนัก
ยิ่งไปกว่านั้น เผ่าเทพยักษ์ในตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน จะให้มีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้นไม่ได้
“ในช่วงที่ข้าเกิดใหม่ตามสังสารวัฏ ก็เคยรู้จักกับจ้าวเฟิงมาก่อน ข้ารู้จักเขาค่อนข้างดี เขามีความสามารถพอจะช่วยเหลือข้า แต่จะยินยอมช่วยหรือไม่นั้นต้องถามเขาเสียก่อน!”
ซินอู๋เหินชันกายลุกขึ้นยืนทันใด ก่อนกระจายกลิ่นอายสายเลือดที่แข็งแกร่งเกินจะเปรียบออกมา กดแรงกดดันที่จ้าวเฟิงต้องแบกรับลงไปหลายส่วน
“ในเมื่อเจ้าเห็นค่าของเขามากถึงเพียงนี้ ก็ให้ข้าทดสอบดูสักหน่อยว่าเขามีความสามารถนี้หรือไม่!”
ผู้อาวุโสสูงสุดหน้าไม่เปลี่ยนสี จับจ้องที่จ้าวเฟิง
ก่อนนี้เขาไม่ได้ใส่ใจจ้าวเฟิงมากนัก แต่เขาเชื่อในสายตาของซินอู๋เหิน ดังนั้นจึงเกิดความสนใจในตัวจ้าวเฟิงขึ้นมาเล็กน้อย
“หากเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อ ก็จงประลองกับศิษย์ในนามของข้า ไม่เช่นนั้นก็จากไปเสีย!”
ผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยกับจ้าวเฟิง
ซินอู๋เหินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ‘เทพโบราณเฉิงอวิ๋น’ (แบกเมฆา) ผู้เป็นศิษย์ในนามของผู้อาวุโสสูงสุดเพิ่งจะถึงขั้นแปดสุดยอดได้ไม่นานนัก พลังไม่ธรรมดายิ่งนัก
แต่เขาคิดไว้ว่าจ้าวเฟิงน่าจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้ เพียงแต่ว่าวิธีบีบคั้นเช่นนี้ของผู้อาวุโสสูงสุดอาจทำให้จ้าวเฟิงไม่ยินดีและจากไป
“ผู้เยาว์ยินดีจะประลอง!” สีหน้าจ้าวเฟิงราบเรียบ
เขามาที่นี่เพราะมีใจอยากจะช่วยซินอู๋เหินจริงๆ แต่ท่าทีที่จอมเทพผู้นี้มีต่อเขาช่างชวนให้ไม่สบอารมณ์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตนเองจะใช้ความสามารถที่มีตอกหน้าสั่งสอนฝ่ายตรงข้ามเสีย
ยิ่งไปกว่านั้นการปิดด่านฝึกตนถึงสามปี ทำให้พลังของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ไม่ได้สู้รบมานาน จึงทำให้คันไม้คันมืออยู่เหมือนกัน
เมื่อได้ยินคำตอบของจ้าวเฟิง ซินอู๋เหินก็ระบายยิ้มออกมาน้อยๆ
“ตกลง!” ผู้อาวุโสสูงสุดตะโกนลั่น ก่อนจะโคจรพลังแข็งแกร่ง หอบจ้าวเฟิงออกจากตำหนักไปในพริบตา
ในเวลาเดียวกัน เสียงหนึ่งก็ดังสะท้อนในตำหนักใหญ่ “อู๋เหิน ตราเทพบรรพกาลกลับมาแล้ว เจ้าไปเตรียมตัวก่อนเถอะ ส่วนเรื่องของเจ้าเด็กนี่ให้ข้าจัดการเอง!”
เบื้องหน้ามีแสงสว่างวาบ จ้าวเฟิงพบว่าตนเองมาถึงพื้นที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง รัศมีหลายหมื่นลี้รอบๆ มีปราการป้องกันเอาไว้
ทันใดนั้นเอง ในอากาศระลอกคลื่นขยับวิบวับ จากนั้นชายเกราะทองจึงปรากฏตัวขึ้น
“อาจารย์ ท่านเรียกศิษย์มามีเรื่องอันใด?” เทพโบราณเฉิงอวิ๋นคารวะ
“เจ้าประลองฝีมือกับคนนอกเผ่าคนนี้ให้รู้ผลแพ้ชนะกันไป!”
ผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยเสียงเรียบ
ในบรรดาศิษย์ของเขา มีเพียงเทพโบราณเฉิงอวิ๋นที่พลังฝึกตนไม่ต่างจากจ้าวเฟิงมากนัก ถึงแม้เทพโบราณเฉิงอวิ๋นจะเป็นแค่ศิษย์ในนาม แต่ก็มีสายเลือดเผ่าเทพยักษ์ พลังจึงไม่ธรรมดาเลย
หากคนต่างเผ่าระดับต่ำอย่างจ้าวเฟิงสามารถเอาชนะเทพโบราณเฉิงอวิ๋น ก็พิสูจน์ได้ว่าพรสวรรค์ของฝ่ายตรงข้ามน่ากลัวจริง บางทีก็อาจจะมีประโยชน์กับเผ่าเทพยักษ์
แววตาจ้าวเฟิงทอประกาย เทพโบราณเฉิงอวิ๋นผู้นี้ก็คือเทพโบราณเกราะทองที่มีท่าทีไม่เป็นมิตรต่อจ้าวเฟิงตอนเพิ่งเข้ามาในตำหนักเทพยักษ์
ในเวลาเดียวกัน ด้านนอกปราการพลังก็มีคนเข้ามารวมตัวกันไม่ขาดสาย
“ได้ยินมาว่าคนนอกเผ่าผู้นี้ต้องการจะประลองกับเทพโบราณเฉิงอวิ๋นผู้เป็นศิษย์ในนามของผู้อาวุโสสูงสุด!”
“คนนอกเผ่าระดับต่ำจะมาเป็นคู่มือของเทพโบราณเฉิงอวิ๋นได้อย่างไรกัน?”
รอบๆ บริเวณพากันวิพากษ์วิจารณ์
“ขอคำชี้แนะด้วย!” ครั้นเทพโบราณเฉิงอวิ๋นเอ่ยออกมา เขาก็พลันกระตุ้นสายเลือดเผ่าเทพยักษ์
ฟ้าดินสว่างเจิดจ้าไปหมื่นจั้งในพริบตา ยักษ์เกราะทองที่ร่างกายใหญ่โตเกินจะเปรียบปรากฏขึ้น ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง
เทพโบราณเฉิงอวิ๋นกระตุ้นสายเลือดออกมาทันที เห็นได้ชัดว่าต้องการจะจบการประลองโดยเร็ว อย่างไรเสียเขาก็ไม่ชมชอบคนต่างเผ่ามากนัก หนำซ้ำตอนนี้เขายังประลองเพื่ออาจารย์ จะต้องเอาชนะอย่างสวยงามให้ได้
“ร่างกายของคนผู้นี้ใหญ่โตกว่าเทพโบราณหนิงเยวี่ยในตอนนั้นมากมายนัก!”
ดวงตาจ้าวเฟิงเป็นประกาย จะดูแคลนสายเลือดเผ่าเทพยักษ์ไม่ได้จริงๆ
“ฝ่ามือพายุเทพยักษ์!”
เทพโบราณเฉิงอวิ๋นที่ตัวใหญ่เกือบหมื่นจั้งจนบดบังฟ้าดินโบกฝ่ามือ
ทันใดนั้นเอง ทั้งฟ้าดินก็เกิดพายุที่ปั่นป่วนรุนแรงขึ้น ฝ่ามือแสงเงาวายุขนาดใหญ่โตฟาดลงมาหาจ้าวเฟิงทันที
พรึ่บ! จ้าวเฟิงปลดปล่อยประกายมิติออกมาโดยพลัน หลบจากรัศมีการโจมตีของเทพโบราณเฉิงอวิ๋นไป
โครม! ฝ่ามือนั้นฟาดลงมาบนพื้นดินจนแยกเป็นเหวลึก พลานุภาพการโจมตีนี้ช่างน่าอกสั่นขวัญแขวน
“ก็แค่นี้เอง สายเลือดคนต่างเผ่าคนนั้นอยู่ในระดับต่ำ เทียบเคียงกับเทพโบราณเฉิงอวิ๋นไม่ได้เลย!”
“พลังของเทพโบราณเฉิงอวิ๋นแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย เสวียนอ้าววายุไปถึงขั้นหกสุดยอด บวกกับมีสายเลือดเผ่าเทพยักษ์ เจ้าคนนั้นคงทำได้เพียงหลบ!”
คนที่ล้อมรอบชมการประลองต่างส่งเสียงกู่ร้องติดๆ กัน
ในขณะนี้เอง ชายปีศาจที่มีผมยาวสีม่วงโลหิตคนหนึ่งจับจ้องจ้าวเฟิงในปราการพลังไม่วางตา
การมาถึงของคนผู้นี้ตกเป็นเป้าสายตาหลากหลายของคนอื่นๆ ทันที
“หนานกงเซิ่ง เจ้าและเขาเป็นคนนอกเผ่าเหมือนกัน คิดอยากอยู่ที่นี่ แต่ดวงเขาไม่ดีเท่าเจ้า หากจะอยู่ที่นี่ต่อต้องผ่านด่านของเทพโบราณเฉิงอวิ๋นเสียก่อน!”
เทพโบราณรุ่นเยาว์คนหนึ่งมองชายปีศาจพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เขาจะชนะแน่!” หนานกงเซิ่งเอ่ยเสียงเรียบ
แต่ภายในใจหนานกงเซิ่งร้อนรนยิ่งนัก ‘คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะเป็นเทพโบราณขั้นแปดแล้ว!’
“สายเลือดเผ่าเทพยักษ์ของข้ามีทั้งพลังและการป้องกัน พลังโจมตีก็แกร่งนัก เจ้าจะหลบไปไหนพ้น?”
เทพโบราณเฉิงอวิ๋นเป็นประหนึ่งยักษ์ร่างใหญ่ ฝ่ามือสองข้างเคลื่อนไหว เสวียนอ้าวธาตุลมที่ลึกล้ำพวยพุ่งออกมา
“พายุมังกรฟ้า!” ในขณะที่ฝ่ามือสองข้างของยักษ์ร่างสูงเสียดฟ้าบิดเบี้ยว พลังพายุที่รุนแรงกลุ่มหนึ่งก็โหมกระหน่ำ
“ท่าไม้ตายของเทพโบราณเฉิงอวิ๋นมีรัศมีการโจมตีกว้างยิ่ง เจ้านั่นหลบไม่พ้นหรอก!”
“ดูท่าคงใกล้จะจบแล้ว น่าเบื่อเหลือเกิน!” เดิมทุกคนคิดว่าการต่อสู้คงจะยืดเยื้อต่อไปอีกครู่หนึ่ง ไหนเลยจะคาดเดาว่าเทพโบราณเฉิงอวิ๋นจะปล่อยท่าไม้ตายออกมารวดเร็วแบบนี้ เห็นเพียงมังกรพายุคลั่งขมุกขมัวตัวหนึ่งหอบเอาพลังบ้าคลั่งพุ่งไปหาจ้าวเฟิง
เมื่ออยู่เบื้องหน้ามังกรยักษ์ ร่างเล็กจ้อยของจ้าวเฟิงดุจหนอนตัวเล็กจ้อย อ่อนแออย่างยิ่งยวด
ครั้งนี้จ้าวเฟิงไม่หลบ ร่างยืนนิ่งไม่ไหวติง ประกายแสงพลังเทพพราวพร่างเกาะกลุ่มรวมกันในร่างกาย
“ฝ่ามือเทพรวมศูนย์!”
จ้าวเฟิงฟาดฝ่ามือที่หลอมรวมเสวียนอ้าวหลากชนิดออกมาทันใด
เงาหมัดสีเข้มขนาดใหญ่ยักษ์พุ่งทะลวงไปในฟ้าดินด้วยความเร็วสูงสุด พลังมหาศาลนั้นเหมือนไม่มีสิ่งใดต้านทานได้เลย
โครม! มังกรพายุตัวใหญ่ถูกหมัดจ้าวเฟิงพุ่งทะลวงผ่านไป
ต้องรู้เอาไว้ว่า เมื่อฝึก ‘พลังฟ้าประสานหนึ่ง’ จนทะลวงถึงขั้นสาม พลังฝ่ามือเทพรวมศูนย์ของจ้าวเฟิงเกือบเท่าขั้นแปดแล้ว
“เป็นไปได้อย่างไร?” เทพโบราณเฉิงอวิ๋นชะงักไป
เขาที่เป็นเผ่าเทพยักษ์กลับพ่ายแพ้เทพโบราณขั้นแปดทั่วไปจากนอกเผ่า
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาซ้ายจ้าวเฟิงก็ทะลักเจตจำนงดวงตาที่แข็งแกร่งออกมา
“โจมตีวิญญาณ!” เทพโบราณเฉิงอวิ๋นหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
คนอื่นนอกปราการพลังนิ่งอึ้งไปทันที
เมื่อพูดถึงการโจมตีทางวิญญาณ สิ่งที่พวกเขานึกถึงเป็นลำดับแรกก็คือเผ่าวิญญาณบรรพกาล อีกอย่างวิญญาณเองก็คือจุดด้อยของเผ่าเทพยักษ์
“โลกมายาสายฟ้าฟาด!”
ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงปลดปล่อยพลัง สายฟ้าที่ไม่สิ้นสุดทะลวงออกมา
พลังสายฟ้าขยายออกไม่หยุด หนำซ้ำยังดูดพลังวายุในฟ้าดินไป จนกลายเป็นตาข่ายวายุอัสนีขนาดใหญ่เกินจะเปรียบ แล้วพันรัดเทพโบราณเฉิงอวิ๋นเอาไว้ภายใน
วู้ม แซ่ด แซ่ด!
ตาข่ายวายุอัสนีแผ่พลังทำลายล้างวายุอัสนีที่แกร่งกล้าออกมาตลอดเวลา สร้างอาการบาดเจ็บให้ร่างกายและวิญญาณของเทพโบราณเฉิงอวิ๋นอย่างสาหัส
ในเวลาเดียวกัน ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็เชื่อมกับตาข่ายวายุอัสนี ลอยปลดปล่อยพลังศาสตร์ลวงตาที่ทรงอานุภาพออกมา พร้อมกับการทำให้เหน็บชาของสายฟ้า จึงส่งผลต่อจิตใจของเทพโบราณเฉิงอวิ๋น ตัดทอนพลังต้านทานของเขา
คู่ต่อสู้คือเผ่าเทพยักษ์ที่ร่างกายใหญ่โต วิชาดวงตาขนาดเล็กไร้ซึ่งประโยชน์ใดๆ
ระยะเวลาสามปีที่ปิดด่านฝึกตน จ้าวเฟิงก็ระลึกได้ถึงจุดนี้ ถึงเริ่มศึกษาค้นคว้าวิชาโจมตีวิญญาณที่ส่งผลเป็นวงกว้าง โดย ‘โลกมายาสายฟ้าฟาด’ ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
หนำซ้ำวิชาดวงตานี้ยังว่องไวอย่างยิ่ง พลังสายฟ้ายังใช้ร่วมกับพลังเสวียนอ้าวธาตุทอง น้ำ และไม้ได้ด้วย
เทพโบราณเฉิงอวิ๋นที่ถูกวิชาดวงตาของจ้าวเฟิงรัดรั้งทรมานร้องโหยหวนไม่หยุด
พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงเข้าใกล้เทพโบราณขั้นที่เก้ามากแล้ว ต่อให้ไม่ได้ใช้พลังดั้งเดิม เทพโบราณเฉิงอวิ๋นก็ยากจะต้านทานวิชาดวงตาของเขา เจตจำนงดวงตาในตาซ้ายของจ้าวเฟิงเกิดระลอกคลื่นใหญ่ในฉับพลัน เห็นได้ชัดว่าต้องการสำแดงวิชาดวงตาอื่นๆ ออกมา
“ยั้งมือก่อน!” ตอนนั้นเอง ผู้อาวุโสสูงสุดเปิดปากเอ่ยขึ้นในทันที
ฟ้าดินเหมือนหยุดชะงักไว้ที่วินาทีนั้น พลังทั้งหมดพลันถูกดูดกลืนจนหายวับไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
“ผลแพ้ชนะออกมาแล้ว!” เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยจบก็บินจากไป
ในฐานะที่เป็นจอมเทพ เขาสามารถมองอะไรออกมากมายในการประลองฝีมือสั้นๆ นี้
หากต่อสู้กันต่อไป คนที่พ่ายแพ้จะต้องเป็นเทพโบราณเฉิงอวิ๋น ไม่สู้จบมันลงเสียในตอนนี้ เพื่อเลี่ยงไม่ให้เผ่าเทพยักษ์ต้องขายหน้าจนเกินไป
“ไม่ เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?”
เทพโบราณเฉิงอวิ๋นขัดใจยิ่งนัก แต่ก็ไม่กล้าขัดความต้องการของผู้อาวุโสสูงสุด
เมื่อการต่อสู้จบลง จ้าวเฟิงเตรียมตัวไปจากที่นี่ แต่จู่ๆ เขาก็มองเห็นชายปีศาจผมยาวสีม่วงโลหิตที่อยู่ในกลุ่มผู้ชมการประลอง