Skip to content

King of Gods 1358

King Of Gods

บทที่ 1358 คลังสมบัติบรรพชน

“หนานกงเซิ่ง!” จ้าวเฟิงอุทานด้วยความตกใจ

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คาดคิดไม่ถึงว่าจะมาเจอหนานกงเซิ่งที่นี่

พรึ่บ! จ้าวเฟิงโบยบินไป

คนของเผ่าเทพยักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ ยังคงไม่ชอบหน้าจ้าวเฟิง แต่เมื่อจ้าวเฟิงได้รับการยอมรับจากผู้อาวุโสสูงสุด แถมยังมีข่าวลือว่าอีกฝ่ายรู้จักมักคุ้นกับเจ้าตำหนักอู๋เหิน ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ท้าทายจ้าวเฟิงก่อนแน่

“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ด้วย” จ้าวเฟิงอมยิ้มเอ่ย

หนานกงเซิ่งในตอนนี้เป็นเทพแท้จริงขั้นที่หกแล้ว

อย่างไรเสีย ก่อนนี้เขาก็รับสืบทอดพลังของเทพโบราณมา บวกกับพรสวรรค์ในการฝึกตนที่ยอดเยี่ยมของเขา จะไปถึงขอบเขตพลังเช่นนี้ก็เป็นเรื่องปกติมาก

สิ่งที่แปลกก็คือ จิตปีศาจบนร่างหนานกงเซิ่งในตอนนี้เหมือนจะอ่อนกว่าตอนที่อยู่ดินแดนทวีป

“ตอนมาถึงดินแดนเทพรกร้าง ข้าได้เจอซินอู๋เหินโดยบังเอิญ ตอนนั้นไม่รู้จะไปที่ไหน จึงติดตามเขามาที่นี่!” หนานกงเซิ่งสาธยาย

พูดไปแล้วก็นับว่าเขาโชคดีมาก

ตอนนั้นเขาไปล่วงเกินขั้วอำนาจสี่ดาวครึ่ง จึงโดนไล่ล่าสังหาราเกือบตาย จนสุดท้ายได้ซินอู๋เหินช่วยชีวิตเอาไว้ สุดท้ายซินอู๋เหินช่วยเขาข่มจิตปีศาจในร่างเขาเอาไว้ ทำให้จิตใจเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น

“จริงสิ เจอเพื่อนเก่าสักหน่อยแล้วกัน!”

จ้าวเฟิงระบายยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเรียกคุนอวิ๋นออกมา

“หนานกงเซิ่ง?”

“คุนอวิ๋น!”

ทั้งสองคนตกใจกันเล็กน้อย ร้องออกมาพร้อมกัน

คุนอวิ๋นจ้องหนานกงเซิ่ง เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังฝึกตนของอีกฝ่ายที่ลึกล้ำเกินคาดเดา ก็อดจะอิจฉาริษยาไม่ได้

แต่เมื่อสืบทอดพลังบางส่วนที่ชั่วร้ายของเทพโบราณมา หนานกงเซิ่งสามารถประสบความสำเร็จได้มากถึงเพียงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อีกอย่างเขาก็เข้ามาในดินแดนเทพรกร้างก่อนจะเป็นเทพแท้จริง

ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะหัวเราะน้อยๆ ไม่นึกเลยว่าผู้แข็งแกร่งสามคนของตำหนักราชันจะมารวมตัวอยู่ด้วยกันที่นี่

มาคิดๆ ดูเวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานขนาดนี้แล้ว

ในตอนที่อยู่ในดินแดนทวีป คนทั้งสามสานสัมพันธ์ด้วยผลประโยชน์ แต่ตอนนี้พวกเขาเดินเล่นไปพลางคุยกันไปพลาง ไม่มีผลประโยชน์ใดๆ ผูกมัด ต่างผ่อนคลายและปลอดโปร่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

จนสุดท้าย คุนอวิ๋นตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อ ถึงแม้ว่าที่นี่จะต่อต้านคนนอกเผ่า แต่สำหรับเขาแล้วที่นี่ดีกว่าเขามารทมิฬมากทีเดียว

เขาต้องการจะบากบั่นพยายามในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพิ่มความแข็งแกร่งไม่หยุด และไล่ตามหนานกงเซิ่งให้ได้ สำหรับเขาจ้าวเฟิงอยู่ไกลเกินกว่าจะตามทันแล้ว

“จริงสิ หนานกงเซิ่ง ข้ามีของจะให้เจ้า” จู่ๆ จ้าวเฟิงก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนนี้เขาคัดลอกหยาดวารีเทพเอาไว้จำนวนมาก

ก่อนนี้เขายกให้คุนอวิ๋นไปส่วนหนึ่ง แต่คุนอวิ๋นเก็บเอาไว้ไม่ใช้ เพื่อรอโอกาสที่เหมาะสม

พรึ่บ!

จ้าวเฟิงหยิบขวดแก้วเล็กๆ ออกมาใบหนึ่ง ภายในบรรจุของเหลวแวววาว

“นี่คือหยาดวารีเทพที่สามารถช่วยให้ผู้แข็งแกร่งในระดับเทพแท้จริงทั้งขั้นเก้าทะลวงผ่านไปอีกขั้นหนึ่งทันที ยิ่งพลังฝึกตนต่ำเท่าไหร่โอกาสก็จะยิ่งมาก หนำซ้ำรากฐานยังมั่นคงอีกด้วย…”

จ้าวเฟิงมอบมันให้กับพวกเขา ส่วนจะใช้เมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขาเอง

“คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีของแบบนี้อยู่ด้วย!”

หนานกงเซิ่งตะลึงลาน

จากสรรพคุณของมัน ทำให้เขาพอจะวัดความล้ำค่าของหยาดวารีเทพได้ เขายังตัดสินใจว่าจะใช้สมบัตินี้ทะลวงผ่านขั้นเทพโบราณ

จ้าวเฟิงอยู่ที่ตำหนักเทพยักษ์ต่ออีกหลายวัน

และวันหนึ่ง เสียงของซินอู๋เหินก็ดังขึ้นในหัวจ้าวเฟิง “จ้าวเฟิง มาหาข้าที!”

ในตอนที่ไปถึงตำหนักของซินอู๋เหิน จ้าวเฟิงก็พบว่าผู้แข็งแกร่งเทพโบราณขั้นแปดมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งสิ้น

“อู๋เหิน เจ้าเรียกเขามาด้วยหรือ?” ผู้อาวุโสสูงสุดข้างกายซินอู๋เหินขมวดคิ้วมุ่น

แล้วทั้งตำหนักก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด ผู้แข็งแกร่งเผ่าเทพยักษ์ที่เหลือมีท่าทีต่อต้านจ้าวเฟิง อย่างไรเสีย เรื่องต่อไปนี้ก็เป็นความลับสำคัญของเผ่าเทพยักษ์ หากไม่ใช่เพราะตอนนี้สมาชิกของเผ่าเทพยักษ์มีจำนวนน้อยนิด พวกเขาก็อาจไม่มีโอกาสเข้าร่วม แต่ตอนนี้คนนอกเผ่าผู้หนึ่งกลับจะมาเข้าร่วมด้วย

“จ้าวเฟิงเคยช่วยข้าเก็บรักษาตราเทพบรรพกาล จึงต้องโดนไล่ล่าสังหารจากตำหนักวิญญาณบรรพกาล ตอนนี้กลับยังคงเอาตราเทพบรรพกาลมาส่งคืนข้า ข้าจึงตัดสินใจให้เขามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้เพื่อเป็นการตอบแทน!”

ซินอู๋เหินเอ่ยอย่างจริงจังด้วยน้ำเสียงมั่นใจ

ทันทีที่เอ่ยออกมา ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากส่ายศีรษะน้อยๆ ไม่พูดอะไรมาก

จ้าวเฟิงมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าพลังฝึกตนของซินอู๋เหินไม่เทียบเท่ากับจอมเทพ แต่กลับครองตำแหน่งเจ้าตำหนักและทำให้คนเคารพนับถือได้มากถึงเพียงนี้

แต่เขายังได้ยินเรื่องซินอู๋เหินจากหนานกงเซิ่ง

ช่วงชีวิตก่อนซินอู๋เหินคืออัจฉริยะชั้นยอดของเผ่าเทพยักษ์ ไม่เพียงแต่มีสายเลือดที่เข้มข้นมาก แต่ความสามารถในการทำความเข้าใจก็ดีเยี่ยม ใช้เวลาแค่สามพันปีก็เป็นจอมเทพได้ นับได้ว่าเป็นตำนานบทหนึ่งของดินแดนเทพรกร้าง

ตอนนั้นเผ่าเทพยักษ์ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เขา หากไม่ใช่เพราะตำหนักเทพโบราณเกิดเหตุไม่คาดฝัน เป็นไปได้สูงมากว่าซินอู๋เหินจะกลายเป็นราชาเทพแห่งโชคชะตาผู้เป็นใหญ่เหนือดินแดนเทพรกร้าง!

ในตอนนี้ คนของเผ่าเทพยักษ์พวกนี้น่าจะฝากทุกสิ่งไว้ที่ซินอู๋เหิน เชื่อมั่นว่าซินอู๋เหินจะนำพาพวกเขาให้รุ่งเรืองขึ้นได้

“จ้าวเฟิง ตราเทพบรรพกาลชิ้นนี้ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเจ้าตำหนักเทพโบราณ แต่ยังเป็นกุญแจไข ‘คลังสมบัติบรรพชน’ ที่ลึกลับที่สุดของเผ่าเทพยักษ์ด้วย!”

ซินอู๋เหินบอกความลับของตราเทพบรรพกาลออกมา

คลังสมบัติบรรพชน? จ้าวเฟิงใจเต้นระรัวขณะฟังอยู่เงียบๆ

ในอดีตกาลไกลโพ้น คนของเผ่าเทพยักษ์มีสายเลือดน้อยนิด หนำซ้ำยังมีความสามารถในการทำความเข้าใจสูงกว่าคนทั่วไป

จนมาถึงช่วงเวลาหนึ่ง บรรพชนไปเปิดคลังสมบัติลี้ลับนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้มี ‘จอมเทพ’ ในเผ่าเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ในเวลาไม่กี่พันปี จึงกลายมาเป็นขั้วอำนาจห้าดาวของดินแดนเทพรกร้างในที่สุด

“มีจอมเทพหลายคนเกิดขึ้นติดต่อกัน? ‘คลังสมบัติบรรพชน’ นี่น่าเหลือเชื่อนัก…“

จ้าวเฟิงอดตกใจไม่ได้

ถ้าหากเป็นเรื่องจริง ในทันทีที่เปิด ‘คลังสมบัติบรรพชน’ ออกและได้ครอบครองผลประโยชน์ภายในนั้นอีกครั้ง ไม่นานนักเผ่าเทพยักษ์คงจะแข็งแกร่งทรงพลังจนสามารถต่อสู้กับตำหนักวิญญาณบรรพกาลได้!

ยากจะเชื่อว่า ‘ตราเทพบรรพกาล’ ที่ตนเองใช้อยู่เสมอจะเกี่ยวพันกับความลับที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้

“อู๋เหิน เปิดคลังสมบัติบรรพชนของเผ่าเทพยักษ์ แล้วพวกเจ้าเข้าไปด้านใน ข้าจะเฝ้าอยู่ที่นี่!”

ผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยเสียงเรียบ

ในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่งเก่งกาจที่สุด เขาสละสิทธิ์ที่จะเข้าไปในคลังสมบัติ และเฝ้าดูแลเผ่าเทพยักษ์

เห็นได้ชัดเจนว่าผู้อาวุโสสูงสุดคิดเผื่อเผ่าเทพยักษ์เท่านั้น

ฟิ้ว! ในตอนนั้นเอง ปราการพลังด้านนอกตำหนักสั่นไหว

ผู้อาวุโสสูงสุดขมวดคิ้วน้อยๆ กวาดประสาทสัมผัสเทพออกไปสื่อสารกับคนด้านนอก

“แย่แล้ว ตำหนักวิญญาณบรรพกาลบุกโจมตีมาแล้ว!”

ผู้อาวุโสสูงสุดหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

“หากเปิดคลังสมบัติตอนนี้แล้วตำหนักวิญญาณบรรพกาลบุกเข้ามาคงแย่แน่!”

“บัดซบ พวกมันกลับรู้ตำแหน่งของพวกเรา!” คนระดับสูงจำนวนมากทอดถอนใจ

“อาจจะมีไส้ศึกกระมัง!” เทพโบราณขั้นแปดผู้หนึ่งเอ่ยด้วยแววตาเย็นชา

และสายตาของทุกคนมองจ้าวเฟิงโดยไม่ได้นัดหมาย

ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ตำหนักวิญญาณบรรพกาลก็บุกเข้าโจมตี จะพอเหมาะพอเจาะเกินไปแล้ว หากกังวลว่าจะมีไส้ศึกก็เป็นเรื่องธรรมดา

ส่วนจ้าวเฟิงเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นานนัก ยังนับว่าเป็นคนนอก ย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัยลำดับแรกๆ

“ถอยก่อนแล้วกัน!” สีหน้าผู้อาวุโสสูงสุดเคร่งขรึม ก่อนจะหายตัวไปจากตำหนัก

ในเวลาเดียวกัน ทุกคนต่างพากันเดินทางออกจากที่นี่ ไม่นานเท่าไหร่นัก สมาชิกทั้งหมดต่างมารวมตัวกันที่ตำหนักเทพยักษ์

“หนีออกไปจากที่นี่ก่อน!”

ผู้อาวุโสสูงสุดตะโกนเสียงกร้าว และหยิบปราการเหล็กขนาดใหญ่ออกมา

รอบๆ ปราการเก่าแก่มีปีกโบยบินได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นพาหนะในการโบยบินขนาดใหญ่ หลายช่วงลมหายใจต่อมา ทุกคนจึงรีบเข้าไปในป้อมปราการเก่า

โครม! ป้อมปราการเก่าระเบิดออกเสียงดัง ก่อนจะพุ่งขึ้นไปยังขอบฟ้า

เมื่อลอยขึ้นไปจนถึงความสูงระดับหนึ่งแล้ว ป้อมปราการเก่าก็ทะลุปราการมิติไปโผล่ที่รอบๆ เขตทะเล เห็นเพียงฟ้าดินมืดที่อยู่ไกลลิบ ดูประหนึ่งวันสิ้นโลกกำลังจะมาถึง

“เจ้าชั่วเผ่าเทพยักษ์ ส่งตราเทพบรรพกาลออกมา ยอมให้จับเสียดีๆ!”

จอมเทพจากเผ่าวิญญาณบรรพกาลที่ร่างกายโปร่งแสงจนไม่เห็นอวัยวะบนใบหน้า ส่งเสียงเย็นออกจากก้อนเมฆดำสนิทที่ลอยละล่อง

“เผ่าวิญญาณบรรพกาล จอมเทพเทียนฮ่าว!” ผู้อาวุโสสูงสุดจ้องอย่างเกรี้ยวกราด

นอกจากจะมีจอมเทพเทียนฮ่าวที่เขารู้จักแล้ว ตำหนักวิญญาณบรรพกาลยังมีจอมเทพอีกคนหนึ่ง จำนวนรวมของผู้แข็งแกร่งในขั้นเทพโบราณก็มีมากกว่าเผ่าเทพยักษ์อย่างยิ่ง

“แย่ล่ะ ตำหนักวิญญาณบรรพกาลบุกโจมตีมาถึงที่นี่แล้ว!”

เผ่าวิญญาณบรรพกาลว่องไวปราดเปรียวกว่าเผ่าเทพยักษ์

ยิ่งไปกว่านั้นเผ่าเทพยักษ์ก็ใช้พาหนะขนาดใหญ่ในการเดินทาง จึงทำให้ช้าลง เผ่าเทพยักษ์คนอื่นที่เหลือก็เข้าใจในจุดนี้เช่นกัน

“ทุกคนตามข้าไปขวางตำหนักวิญญาณบรรพกาล เพื่อช่วยให้ท่านอู๋เหินมีโอกาสหนีรอดไปได้!”

ผู้อาวุโสสูงสุดเอ่ยปากในฉับพลัน นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว

ป้อมปราการเก่าตกอยู่ในความเงียบสงัด นี่เป็นตัวเลือกที่เกี่ยวโยงกับชีวิตเช่นกันแต่ที่น่าแปลกใจก็คือคนจำนวนมากต่างรีบเสนอตัวออกมาอย่างรวดเร็ว

ในฐานะที่หนานกงเซิ่งและซินอู๋เหินเป็นคนของตำหนักเทพยักษ์ ไม่มีเหตุผลจะต้องหนี พวกเขาจึงไม่หนีไปเช่นกัน

จ้าวเฟิงเดินไปหาคนทั้งสามและมอบสมบัติรักษาชีวิตให้ไว้…

“อู๋เหิน เจ้าพาคนพวกนี้ลอบหนีไปก่อน ไปเปิดคลังสมบัติของเผ่าเทพยักษ์ให้ได้…”

ผู้อาวุโสสูงสุดมองซินอู๋เหินอย่างครุ่นคิด

ในเวลาเดียวกัน คนทั้งป้อมปราการเก่าล้วนแต่จดจ้องไปที่เจ้าตำหนักของพวกเขา อันที่จริงแล้วซินอู๋เหินน่าจะเป็นคนที่กดดันที่สุดด้วยซ้ำไป

“แน่นอนว่าพวกเราไม่ได้จะสู้อะไรอย่างเอาเป็นเอาตาย แค่ยื้อไว้ชั่วคราวเท่านั้นจะได้หนีได้ทัน…” ผู้อาวุโสสูงสุดบอกกลยุทธ์

ในช่วงเวลานั้น ป้อมปราการเก่าบินได้ของเผ่าเทพยักษ์ก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ

“จะยอมแพ้แล้วรึ?” จอมเทพเทียนฮ่าวหัวเราะชั่วร้าย

ที่จริงพวกเขาเจอจุดซ่อนตัวของตำหนักเทพยักษ์นานแล้ว

เหตุที่รั้งรอจนถึงตอนนี้ก็คือ รอให้คนจากเผ่าเทพยักษ์นำตราเทพบรรพกาลกลับมา อย่างไรเสียก่อนนี้ตราเทพบรรพกาลก็อยู่ในครอบครองของจ้าวเฟิง หนำซ้ำเผ่าพันธุ์วิญญาณที่จ้าวเฟิงอยู่ก็เป็นขั้วอำนาจหนังเหนียวเสียด้วย

“พวกเจ้าดูแคลนเผ่าเทพยักษ์เกินไปแล้ว!”

ผู้อาวุโสสูงสุดพุ่งออกมาจากป้อมปราการเก่า กลิ่นอายสายเลือดที่น่ากลัวระเบิดออกในฉับพลัน

ในวินาทีนั้นเอง ท้องฟ้าสีสว่างสุกสกาวแสบตาเข้าแทนที่ความมืดมิดทั้งหมด

ตู้ม! ยักษ์ร่างใหญ่โตจนเกินจะบรรยายยืนอยู่บนพื้น

ทันใดนั้นเอง ขุนเขาก็ระเบิดออก ผืนดินแหลกละเอียดประหนึ่งว่าทั้งโลกเผชิญกับมหันตภัยครั้งใหญ่

“เผ่าเทพยักษ์!” จอมเทพเทียนฮ่าวมองผู้อาวุโสสูงสุดอย่างเคร่งขรึม

สายเลือดคนส่วนมากในเผ่าเทพยักษ์ล้ำค่าหายาก อีกทั้งพวกที่มีสายเลือดเข้มข้นมากก็มีน้อยนิดนัก แต่ผู้อาวุโสสูงสุดเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของเผ่าเทพยักษ์

เขายังไม่กล้าจะต่อสู้กับผู้อาวุโสสูงสุดตัวต่อตัวด้วยซ้ำ

“เมื่อครู่มีคนหนีออกมาจากป้อมปราการเก่า!”

จอมเทพคนหนึ่งของตำหนักวิญญาณบรรพกาลกดเสียงต่ำ

“เจ้าไปไล่ตามพวกมันเสีย!”

จอมเทพเทียนฮ่าวสั่งเสียงต่ำ ร่างกายหายวับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาปรากฏกายที่ฝั่งตรงข้ามของผู้อาวุโสสูงสุด

“ใครก็อย่าคิดจะหนีออกไปจากที่นี่!”

ผู้อาวุโสสูงสุดตะโกนกร้าว แล้วด้านหลังจึงปรากฏกำแพงสีเหลืองขนาดใหญ่เกินจะเปรียบ เหมือนแบ่งโลกออกเป็นสองส่วน

ในขณะนั้นเอง คนที่เหลือของตำหนักเทพยักษ์ก็ต่างพุ่งทะยานออกมาโดยพร้อมเพรียง

……

วินาทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดปรากฏกายออกมา ซินอู๋เหินก็นำคนจำนวนหนึ่งหลบหนีไปโดยที่จ้าวเฟิงก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขาเหล่านั้น เขาเป็นคนนอก เผ่าเทพยักษ์ย่อมไม่ปล่อยให้เขาอยู่ต่อเพื่อทำเรื่องเช่นนี้

“จอมเทพยี่สิบลำดับต้นของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ ช่างทรงพลานุภาพจริงๆ!”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงยังสามารถมองเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างขั้วอำนาจทั้งสองได้ ความตื่นตระหนกที่ผู้อาวุโสสูงสุดมอบให้แก่จ้าวเฟิงนั้นเหนือกว่า จอมเทพเทียนจี้ในตอนนั้นมากนัก

สถานการณ์เช่นนี้ทำลายล้างขั้วอำนาจสี่ดาวครึ่งให้สิ้นในคราเดียวได้เลยทีเดียว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version