Skip to content

King of Gods 1363

King Of Gods

บทที่ 1363 ปล้นชิงอย่างอุกอาจ

จ้าวเฟิงเรียนรู้วิชาอำพรางมิติมาจากเทพโบราณลั่วหลิงที่แดนศักดิ์สิทธิ์มิติ ในเวลาเดียวกันกับที่พรางตัวอยู่ในอากาศ เขายังเดินทางอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ถูกสังเกตเจอ

ส่วนพลังของซินอู๋เหินแข็งแกร่งอย่างมาก ขอบเขตพลังลึกล้ำ สามารถหลอมรวมกลิ่นอายพลังเข้ากับมิติที่นี่ และยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนที่เข้าใจคลังสมบัติอย่างมาก ดังนั้นจำเป็นต้องเข้าไปข้างใน

หลังจากผ่านห้องโถงไปแล้ว สีหน้าซินอู๋เหินตะลึงเล็กน้อย

“ที่นี่น่าจะพบเจอการเปลี่ยนแปลงมากมาย สถานที่เก็บสมบัติกับทรัพยากรว่างเปล่าทั้งสิ้น!” ซินอู๋เหินเอ่ยกับจ้าวเฟิง

อย่างไรเสีย ฝูงอสูรเสือเงินตัวนั้นก็ยึดครองคลังสมบัติเผ่าเทพยักษ์แล้ว คงจะไม่ปล่อยให้สมบัติกองอยู่ที่นี่ จะต้องต่างคนต่างแบ่งกันไป

“ในตอนนั้นเผ่าเทพยักษ์น่าจะทิ้งทรัพยากรและสมบัติเอาไว้ที่นี่!”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงสำรวจร่องรอยค่ายกลพวกนี้ ก่อนจะคาดเดาออกมา

“เพราะผ่านเวลาเนิ่นนานจนเกินไป ตราผนึกค่ายกลค่อยๆ สูญเสียพลังไป อสูรถึงจะสามารถทำลายได้ เพื่อแย่งชิงเอาสมบัติในนั้น แต่ก็อาจจะมีค่ายกลผนึกบางจุดที่ยังไม่ถูกทำลาย!” จ้าวเฟิงแจกแจง

“พูดถูกแล้ว!” สีหน้าซินอู๋เหินตกใจอยู่เล็กน้อย

ที่นี่เป็นขอบนอกของคลังสมบัติ ภายในยังมีทรัพยากรที่สำคัญกว่าจำนวนมาก

ในตอนแรก คนที่วางปราการป้องกันก็คือผู้แข็งแกร่งขั้นจอมเทพของเผ่าเทพยักษ์ ถ้าหากไม่ใช่ว่าอายุมากจนเกินไป อสูรพวกนี้ก็แทบจะทำอะไรกับทรัพยากรและสมบัติที่นี่ไม่ได้สักชิ้น

“ที่นั่นมีผู้อารักขาสองคน!”

จ้าวเฟิงบอกเรื่องที่ตนเองมองเห็นแก่ซินอู๋เหิน

อสูรสองฝูงสู้รบกันในตอนนี้ แต่กลับยังมีองครักษ์อยู่ ดังนั้นเห็นได้ว่าที่นี่จะต้องมีความลับซุกซ่อนอยู่

“ที่นั่นคือหนึ่งในสถานที่ที่เก็บสมบัติเอาไว้!” ในแววตาซินอู๋เหินส่องประกาย

จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มเข้าไปใกล้ตำหนักลับที่มีองครักษ์แห่งนั้น

“เจ้าว่า การต่อสู้ด้านนอกนั่นเป็นอะไรกันแน่?”

เสือสีเงินเข้มตัวหนึ่งเอ่ยถาม

“ยังต้องบอกหรือว่าพวกเราเป็นฝ่ายได้เปรียบ ตั้งแต่ได้ยึดครองคลังสมบัติที่นี่ก็โจมตีและทำลายปราการป้องกันไม่หยุด สมบัติและพลังที่ได้รับมาเพิ่มขึ้นมาก!”

องครักษ์อีกคนเอ่ยพลางระบายยิ้ม

“ที่เจ้าพูดมาก็จริงอยู่ ก็ไม่รู้ว่าคลังสมบัติที่นี่ใครเป็นคนสร้างขึ้น ในนี้มีสมบัติจำนวนมากขนาดนั้น พวกเรายังต้องขอบคุณพวกเขาด้วย ฮ่าๆ!”

เสือเงินหัวเราะร่วน

“ในเมื่อต้องการจะขอบคุณ ก็ใช้ชีวิตขอบคุณข้าแล้วกัน!”

ซินอู๋เหินแค่นเสียงต่ำ ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นพลางชี้นิ้วออกมาในทันที

แสงดัชนีสายนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เป็นประหนึ่งกระบี่แหลมคมที่พุ่งออกมาอย่างกะทันหัน

“แย่ล่ะ!” อสูรเสือสีเงินหน้าเปลี่ยนสี

พลังฝึกตนของเขาไม่ถึงขั้นแปด ในวินาทีที่ซินอู๋เหินปรากฏกายออกมา จึงรู้สึกถึงอันตรายถึงแก่ชีวิต ทว่าการโจมตีของซินอู๋เหินรวบรวมพลังเอาไว้เป็นเวลานาน มันหลอมรวมพลังโจมตีสายเลือดจนหดเล็กลง เคลื่อนไหวมุ่งหมายเอาชีวิตอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

ตูม! ส่วนศีรษะของอสูรเสือเงินปรากฏรอยเลือดที่ทะลุจากด้านหน้าถึงด้านหลัง เลือดพวยพุ่งอย่างน่ากลัว ต่อให้อสูรที่นี่น่ากลัวกว่าโลกภายนอก แต่อสูรขั้นแปดทั่วไปพวกนี้ก็ยังรับมือซินอู๋เหินไม่ได้!

“กล้าบุกทะลวงเข้ามาเชียวรึ…” เสือเงินอีกตัวหนึ่งมีสีหน้าหวาดกลัวอย่างที่สุด เตรียมจะสื่อสารกับอสูรตนอื่นๆ

“เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ!”

ในตอนนี้เอง กลุ่มเพลิงสายฟ้าที่บิดเบี้ยวก็ระเบิดออกเหนือชั้นดวงวิญญาณของมัน

ในขณะที่จ้าวเฟิงผนึกพลังดั้งเดิมเอาไว้ กระบวนท่าโจมตีอย่างเพลิงดวงตาอัสนีเทวะทรงพลังยิ่งนัก ดวงวิญญาณของเสือสีเงินตัวนั้นถูกโจมตีจากระเบิดอัสนีเทวะที่รุนแรงจนไม่สามารถต้านทานอะไรได้เลย ดิ้นรนไปไม่ถึงหนึ่งช่วงลมหายใจ ดวงวิญญาณของมันก็สูญสลายไป

ทั้งสองสบตากันและกัน ตั้งแต่ที่รู้จักกันจนถึงตอนนี้ นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาร่วมมือกัน

ถึงแม้ว่าซินอู๋เหินเป็นถึงผู้แข็งแกร่งเผ่าเทพยักษ์ สายเลือดเข้มข้นเป็นที่สุด พลังฝึกตนเหนือกว่าจ้าวเฟิงมาก แต่เขาไม่เคยประมาทจ้าวเฟิงมาก่อน

ในตอนที่จ้าวเฟิงสำแดงการโจมตีชั้นวิญญาณออกมาเมื่อครู่ ก็มากพอที่จะคุกคามซินอู๋เหินได้แล้ว หนำซ้ำซินอู๋เหินก็รู้สึกว่าดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงไม่ได้สำแดงพลังออกมาทั้งหมด

ส่วนจ้าวเฟิงที่จัดการองครักษ์ผู้หนึ่งก็กำลังตื่นตะลึงกับวิชาเมื่อครู่ของซินอู๋เหิน

จากการสังเกตที่ผ่านมาของเขา เมื่อคนจากเผ่าเทพยักษ์ใช้พลังสายเลือดมากจนเกินไปจำเป็นต้องปรากฏกายออกมา แต่ซินอู๋เหินกลับสามารถผสานพลังสายเลือดจำนวนมากเข้าไปในกระบวนท่าการโจมตีแม้ในขณะที่กำลังพรางกาย

คนอื่นๆ ในเผ่าเทพยักษ์ไม่อาจเทียบเคียงความสามารถในการใช้และควบคุมสายเลือดเผ่าเทพยักษ์ของเขาได้เลย

“องครักษ์คนอื่นๆ ยังไม่รู้ตัว!” จ้าวเฟิงกวาดดวงตาเทพเจ้าไปรอบบริเวณ ก่อนจะเอ่ยออกมา

จากนั้นซินอู๋เหินสำแดงเคล็ดวิชา เปิดให้ประตูมีรอยโหว่เล็กๆ ที่กว้างพอจะให้ทั้งสองคนมุดเข้าไปด้านใน

ภายในตำหนักขนาดใหญ่เป็นเหมือนบ้านที่จัดวางอย่างสวยงาม มีทั้งกระถางดอกไม้ ตำราหนังสือโบราณวางอยู่ตามมุมต่างๆ แต่อันที่จริงของทุกชิ้นที่นี่เป็นสมบัติและทรัพยากรล้ำค่าที่มีชื่อเสียงที่โลกภายนอก

ยกตัวอย่างเช่นตำราบนโต๊ะ ทั้งหมดเป็นวิชาขั้นเทพระดับสูงทั้งสิ้น ส่วนกระถางดอกไม้ข้างตำราหนังสือก็เป็น ‘แจกันหมื่นวิญญาณ’ ที่เป็นอาวุธเทพชั้นยอด ว่ากันว่าอาวุธเทพที่เก็บสะสมไว้ที่นี่มีมิติขนาดเล็กแยกเดี่ยวซึ่งสภาพแวดล้อมแตกต่างกันออกไปนับไม่ถ้วน เป็นมิติที่สะสมทั้งทรัพยากรธาตุเหมันต์และไฟเอาไว้

“ดี ทรัพยากรและสมบัติส่วนมากในมิติแห่งนี้ยังถูกรักษาเอาไว้ในสภาพที่สมบูรณ์ทั้งสิ้น!”

ซินอู๋เหินเอ่ยด้วยความตื่นเต้น

เขารีบเดินมาหน้าโต๊ะหนังสือ กระตุ้นเคล็ดวิชาเพื่อทำลายปราการค่ายกล

ปราการค่ายกลที่นี่เกิดขึ้นจากวิชาของเผ่าเทพยักษ์ ภายในนั้นผสานเคล็ดวิชาของเผ่าความลับสวรรค์เอาไว้ มีเพียงคนในระดับสูงของเผ่าเทพยักษ์ถึงรู้วิธีทำลายมัน

“แจกันหมื่นวิญญาณ!”

ไม่นานนัก ซินอู๋เหินก็ทำลายผนึกค่ายกลของแจกันหมื่นวิญญาณ และเก็บมันเข้าไปในถุงหนัง

“ชักช้าเกินไปแล้ว!” จ้าวเฟิงร้อนรน

อย่างไรเสียจอมเทพก็เป็นคนสร้างค่ายกลที่นี่ ถึงซินอู๋เหินจะเข้าใจวิชาทำลายล้างมันก็ยังต้องใช้เวลาอยู่ดี แต่สิ่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่นี่มีห้าหกสิบชิ้น ถ้าหากรอให้ซินอู๋เหินคลายผนึกทีละชิ้น ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอไปถึงเมื่อไหร่

พรึ่บ! จ้าวเฟิงเดินมาข้างชั้นวางของโบราณ จากนั้นโคจรดวงตาซ้ายไปปกคลุมชั้นวางโบราณ

“เจ้าทำอะไร? ปราการค่ายกลที่นี่เป็นเคล็ดวิชาเฉพาะของเผ่าเทพยักษ์ และยังผสานเคล็ดวิชาความลับสวรรค์เอาไว้!”

ซินอู๋เหินรีบส่งเสียงบอก

หากปราการค่ายกลที่นี่ทำลายได้ง่ายดายแบบนั้น สมบัติที่นี่ก็คงโดนฝูงอสูรเสือเงินรื้นค้นปล้นจนเกลี้ยงไปนานแล้ว

“เนตรเทพ…แยกส่วน!”

ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงทอประกายแสงควันมายาอ่อนๆ ชั้นหนึ่งปกคลุมชั้นวางของโบราณเอาไว้ด้านใน ก่อนจะหมุนวนพุ่งเข้าออกไปมาหลายรอบ

เพื่อจะลดการใช้พลัง จ้าวเฟิงจึงแบ่งเป้าหมายไว้ที่ผนึกค่ายกลทั้งหลาย

ฟิ้ว! นอกจากครรลองสายตาแล้ว พลังของตราผนึกค่ายกลทั้งหมดค่อยๆ เบาบางลงไป โครงสร้างค่ายกลถูกทำลายจนค่อยๆสลายไปทีละน้อย

“นี่คือวิชาดวงตาอะไรกัน?” ทางฟากซินอู๋เหินตื่นตะลึงจนหน้าถอดสี

เหตุใดบนโลกจึงมีวิชาดวงตาที่ทั้งแปลกและประหลาด สามารถลดทอนพลังค่ายกลได้ไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ แต่ซินอู๋เหินเองก็ไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากมายนัก ได้แต่เร่งทำลายค่ายกล รื้อค้นเอาทรัพยากรมา

ในตอนที่เขาเก็บทรัพยากรด้านนอกชั้นวางของเก่าแก่ทั้งหมดไปแล้ว จ้าวเฟิงก็ทำลายปราการค่ายกลทั้งหมดบนชั้นวางของเก่าแก่ไปพร้อมกัน

“ขอบพระคุณท่านมาก!” ซินอู๋เหินเอ่ยพลางหัวเราะ

สิ่งของบนชั้นวางเก่าแก่ล้ำค่า ส่วนมากแล้วเป็นอาวุธเทพหรืออุปกรณ์ ค่ายกลแข็งแกร่งอย่างมาก เขาจึงไม่ได้ลงมือที่นี่เป็นลำดับแรก

แต่รอให้เขาเก็บสิ่งของทั้งหมดที่เหลือไปแล้ว ค่ายกลทั้งหมดบนชั้นวางเก่าแก่นั่นก็จะถูกจ้าวเฟิงทำลายไปแล้ว นี่เป็นการประหยัดเวลาของซินอู๋เหินครึ่งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

หลังจากสำรวจรื้อค้นห้องโถงใหญ่แล้ว ทั้งสองคนจึงออกไปจากที่นี่เพื่อไปสำรวจที่อื่นต่อ

“ดัชนีเทพวายุ!”

“เพลิงดวงตาอัสนีเทวะ!”

จ้าวเฟิงและซินอู๋เหินร่วมมือกันสังหารอสูรขั้นแปดไปอีกหนึ่งตน

อย่างไรเสียเผ่าทั้งสองก็สู้รบกันอย่างดุเดือด กำลังรบทรงพลัง พวกเขารบราฆ่าฟันกัน ดังนั้นองครักษ์และผู้ตรวจตราโดยปกติแล้วจะเป็นอสูรขั้นแปดทั่วไป

“ไปดูที่ตำแหน่งใจกลางของคลังสมบัติก่อน!” หลังจากสำรวจค้นห้องลับเสร็จแล้ว ซินอู๋เหินจึงเอ่ยต่อ

ใจกลางคลังสมบัติเป็นสถานที่ทรงคุณค่าที่สุดในคลังสมบัติเผ่าเทพยักษ์

“มีองครักษ์แค่สองคนเท่านั้น!”

จ้าวเฟิงและซินอู๋เหินทำตามวิธีการที่ผ่านๆ มา แยกย้ายเข้าใกล้องครักษ์และโจมตีอย่างรุนแรง

โครม! องครักษ์สองคนตายลงไปทันทีจากการโจมตีที่รุนแรงของซินอู๋เหิน

“เยี่ยม!” ซินอู๋เหินมีสีหน้าปีติยินดีเมื่อโคจรเคล็ดวิชาเพื่อเปิดคลังสมบัติที่ใจกลาง

แต่คลังสมบัติเพิ่งเปิดออก คนทั้งสองกวาดประสาทสัมผัสเทพ แล้วใบหน้าก็ฉายแววยินดี เห็นเพียงส่วนลึกที่สุดของคลังสมบัติมีเสือยักษ์สีขาวสว่างตัวหนึ่งนอนแผ่หราอยู่ ขนาดตัวของมันใหญ่โต พลังฝึกตนแตะขั้นแปดสุดยอด รูปลักษณ์ไม่แตกต่างจากฝูงอสูรฝูงนี้แม้แต่น้อย

“พวกเจ้าก็คือ…เผ่ามนุษย์ คนที่แฝงเข้ามา?”

จู่ๆ เสือเงินก็ลุกยืนขึ้น จ้องทั้งจ้าวเฟิงและซินอู๋เหิน

……

ที่โลกภายนอก สัตว์อสูรสองฝูงสู้กันอย่างมืดฟ้ามัวดิน

“คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะส่งคนแฝงเข้าไปในคลังสมบัติของข้า!”

เสือยักษ์สีเงินหน้าเปลี่ยนสีไปโดยพลัน ดวงตาสองข้างเย็นชาคมปลาบ จ้องไปที่งูยักษ์สีเขียวเงินด้านหน้าเขม็ง

“หึ ข้าไม่ได้ทำเรื่องนี้ ปกติแล้วเจ้ายั่วโทสะอสูรไปจำนวนมาก พวกมันเลยฉวยโอกาสลอบเข้าไปในคลังสมบัติของเจ้า!” งูยักษ์เขียวเงินตัวนั้นหัวเราะร่วน

“ไร้สาระ ข้าไม่เห็นพวกมนุษย์มาหลายล้านปีแล้ว!” เสือยักษ์สีเงินสบถด่าเสียงดัง จากนั้นเสือยักษ์สีเงินจึงเตรียมกลับไปที่คลังสมบัติ

“พวกมนุษย์?” งูยักษ์เขียวเงินชะงักไปเล็กน้อย แต่เมื่อมองเห็นเสือยักษ์สีเงินก็เตรียมจะแยกตัวและพุ่งทะลวงไป

“จะไปไหน!” งูยักษ์เขียวเงินสาดซัดเสวียนอ้าวเวลาที่แกร่งกล้าออกมา พร้อมอ้าปากพ่นควันพิษสีเขียวเข้ม

“ขั้วอำนาจทั้งสองของเจ้าและข้าสงบสุขกันมาหลายปี จำเป็นต้องทำถึงขนาดนี้เลยหรือ?”

เสือยักษ์สีเงินเอ่ยด้วยความกราดเกรี้ยว

“เหอะ เจ้าสังหารฝูงอสูรของข้าก่อน แล้วยังจะมาท้าทายอีกหรือ!”

งูยักษ์เขียวเงินเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“โอหัง เจ้าเป็นฝ่ายสังหารอสูรเผ่าข้าก่อนชัดๆ!”

อสูรขั้นเก้าระดับสุดยอดโต้กลับ

พวกมันก็เริ่มเอาเรื่องเล็กน้อยที่ผ่านมาทั้งหมดมาปะติดปะต่อกัน

“หรือว่าจะเป็นเจ้ามนุษย์พวกนั้น?”

“หึ ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าใครกันที่โอหังขนาดนี้ ถึงขั้นกล้ายุแยงพวกเราสองฝั่ง แถมยังแฝงตัวเข้าไปปล้นในคลังสมบัติ!”

อสูรขั้นเก้าสุดยอดทั้งสองเผ่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และหยุดต่อสู้กันในทันที

……

“รีบดูเร็ว ทุกแห่งในยอดเขาสีดำเป็นสมบัติทุกแห่งหน!” เทพโบราณขั้นแปดสุดยอดคนหนึ่งของตำหนักวิญญาณบรรพกาลตะโกนออกมา

ครึ่งก้าวสู่จอมเทพของเผ่าวิญญาณบรรพกาลที่เป็นผู้นำทัพ มองดูไปแล้วใจเต้นระรัวไม่น้อย แต่ตอนนี้ ในแก้วผลึกในมือเขาก็เปล่งแสงเป็นประกาย

“หืม? มีวี่แววว่าจะอยู่แถวนี้!”

เทพโบราณอวี้ห่ายร้องเสียงหลง

อุปกรณ์แบบนี้เขาได้มาจากอวี่เหิง ขอแค่ตราเทพบรรพกาลปรากฏขึ้นในรัศมีที่กำหนด ด้านบนนั้นจะส่งสัญญาณบอก ในทันใดนั้นเอง กลุ่มสามคนยืนชะงักนิ่ง

“ไม่อย่างนั้นพวกเราไปดูที่เขาสีดำก่อนก็แล้วกัน!”

เทพโบราณขั้นแปดสุดยอดเอ่ยถามเสียงเบา

ถึงจะบอกว่าการตามหาตราเทพบรรพกาลเป็นภารกิจลำดับแรก แต่พฤติกรรมของพวกเขาที่นี่ไม่ได้ถูกควบคุม ตำหนักวิญญาณบรรพกาลและศิษย์จอมเทพซิงเซี่ยงก็ไม่รู้ว่าพวกเขาทำอะไรกันแน่

“ไม่ ไปหาตราเทพบรรพกาลก่อน จอมเทพและจอมเทพซิงเซี่ยงให้ความสำคัญกับตราเทพบรรพกาลมากขนาดนี้ ถ้าหากพวกเราตามเอาตราเทพบรรพกาลกลับมาได้ จะเป็นผู้ลงแรงมากที่สุดในภารกิจครั้งนี้ จนถึงตอนนั้นแล้วเจ้าก็จะได้ความดีความชอบไม่น้อย!”

เทพโบราณอวี้ห่ายครุ่นคิดชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version