บทที่ 1437 กุมสถานการณ์
หลังจากเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง จ้าวเฟิงติดตามพวกเทพโบราณหวาไฉ่ไปถึงจุดศูนย์กลางของนรกเพลิงโลกันตร์
หมอกควันพิษเพลิงของที่นี่ เกรงว่ากระทั่งเทพโบราณขั้นเก้าก็ยังยากจะต้านทาน
ก่อนนี้ยามพวกเทพโบราณหวาไฉ่จะออกมาด้านนอก พวกเขาจะใช้ค่ายกลป้องกันจากแผ่นค่ายกลเผ่าความลับสวรรค์ แต่คราวนี้พวกเขามีจ้าวเฟิงอยู่ด้วย จึงไม่จำเป็นต้องใช้ค่ายกลใดๆ
วู้ม วู้ม!
หลังจากเชื่อมกับอาณาจักรเทพของเผ่าเทพยักษ์ได้แล้ว ระลอกมิติก็กระเพื่อม เกาะกลุ่มเป็นอุโมงค์สีเหลืองเข้มขึ้นที่เบื้องหน้าของทุกคน
พรึ่บ พรึ่บ~
ภายในอาณาจักรเทพ มีผู้แข็งแกร่งนับไม่ถ้วนบินออกมา รวมไปถึงซินอู๋เหินและยอดผู้อาวุโสด้วย
นอกจากนี้ยังมีครึ่งก้าวสู่จอมเทพที่มีพลังฝึกตนในขั้นเก้าสุดยอดซึ่งจ้าวเฟิงไม่เคยพบคนหนึ่ง
“ดูแล้วเผ่าเทพยักษ์ก้าวหน้าขึ้นไม่น้อยเลย หากรอไปอีกพันปี น่าจะรับมือกับตำหนักวิญญาณบรรพกาลแบบซึ่งหน้าได้แล้ว!”
จ้าวเฟิงวิเคราะห์
แต่ทว่า การมาถึงของตนจำเป็นต้องทำให้คนทั้งเผ่าเทพยักษ์ตื่นตัวกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
“จ้าวเฟิง เจ้ามาแล้ว!” ซินอู๋เหินเข้ามาต้อนรับเป็นคนแรก
ถึงแม้จ้าวเฟิงจะมาที่นี่เพียงคนเดียว แต่เดิมเขาก็คิดเอาไว้ว่าเผ่าพันธุ์วิญญาณจะไม่ส่งคนมา จ้าวเฟิงก็อาจจะมาไม่ได้
ตอนนี้จ้าวเฟิงมาช่วยเหลือเขา ซินอู๋เหินย่อมต้องดีใจอย่างยิ่ง
ยามที่เขารู้สึกได้ถึงพลังฝึกตนของจ้าวเฟิง สีหน้าเขาตกตะลึง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นปีติยินดี
ในความทรงจำของเขา จ้าวเฟิงเป็นบุคคลที่สามารถต่อสู้กับคนในระดับสูงกว่าเสมอ ตอนนี้จ้าวเฟิงเป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพ แสดงว่าอันที่จริงแล้วพลังของเขาน่าจะพอๆ กับจอมเทพทั่วไปแล้ว
สำหรับเผ่าเทพยักษ์ในตอนนี้ คนที่มีกำลังรบเทียบเท่าได้กับจอมเทพนั้นสำคัญอย่างมาก
“เขาคือกำลังเสริมของท่านอู๋เหินหรือ?”
“ทำไมถึงมีแค่คนเดียวเท่านั้น?” แต่คนระดับสูงคนอื่นๆ ที่นั่นไม่คิดเช่นนั้น
พวกเขาส่วนมากเพิ่งเข้ามาในตำหนักเทพยักษ์ทีหลัง ไม่รู้จักจ้าวเฟิงมากนัก และยิ่งไม่ล่วงรู้ถึงศึกที่เผ่าพันธุ์วิญญาณเพิ่งผ่านพ้นมา อีกทั้งก่อนนี้ พวกเขาฝากความหวังอันยิ่งใหญ่เอาไว้กับ ‘กำลังเสริม’ ของซินอู๋เหิน
ตอนนี้มีคนมาเพียงแค่คนเดียวเ ย่อมสร้างแรงกระทบกระเทือนต่อพวกเขาอยู่แล้ว
“ท่านอู๋เหิน กำลังเสริมของท่านมีมาเพียงแค่คนเดียว ต่อให้พวกเราอยู่เฝ้าที่นี่ ก็ไม่มีโอกาสชนะแม้แต่น้อย”
ชายวัยกลางคนร่างกำยำที่มีหัวเป็นวัวปรายตามองจ้าวเฟิง ก่อนจะส่ายศีรษะพลางถอนใจ
“ที่เทพโบราณจวี้หมัว (มารยักษ์) พูดก็ถูก พวกเราไม่มีความหวังมากนัก!”
ใบหน้าคนที่เพิ่งเข้าร่วมตำหนักเทพยักษ์ทีหลังฉายแววสิ้นหวัง
“เพื่อนของข้าคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างที่ทุกคนเห็น หากเขายินดีช่วยพวกเรา บทบาทของเขาต้องไม่น้อยกว่ากำลังเสริมคนทั้งกลุ่มแน่นอน!”
ร่างซินอู๋เหินเหยียดตรง ท่าทางนิ่งสงบแฝงความมั่นใจ
เขารู้ดีว่าจ้าวเฟิงยังมีร่างแยกที่แข็งแกร่งอีก และมีผู้แข็งแกร่งอย่างเผ่าพันธุ์มังกรล้างโลกา ยิ่งไปกว่านั้น ร่างแยกของจ้าวเฟิงก็โดดเด่นยิ่งนัก
“หืม?”
ดวงตาเทพโบราณจวี้หมัวฉายแววประหลาดพาดผ่านขณะจ้องจ้าวเฟิง
เมื่อสังเกตดูอย่างละเอียด เขาก็รู้สึกว่าคนที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาไม่ธรรมดา แต่อย่างไรเสียก็เป็นแค่คนคนหนึ่งเท่านั้น
ที่นี่เป็นสงครามของขั้วอำนาจสองแห่ง นอกเสียจากว่าเป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอด มิฉะนั้นคนเพียงคนเดียวก็ไม่อาจส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อสถานการณ์ทั้งหมดได้
“เผ่าเทพยักษ์ในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างหนึ่ง ไม่สู้ให้สหายของท่านอู๋เหินแสดงฝีมือให้พวกเราได้ยลสักหน่อย!”
อีกฟาก ผู้อาวุโสหน้าเหลี่ยมเอ่ยขึ้นในทันทีด้วยใบหน้ารอคอย
“จ้าวเฟิง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ซินอู๋เหินจนปัญญาเล็กน้อย
จ้าวเฟิงเพิ่งมาถึง ผู้นำระดับสูงบางส่วนของตำหนักเทพยักษ์ก็บีบบังคับให้เขาเข้าร่วมรบ ซึ่งดูไม่ดีเท่าไหร่นัก แต่ขั้วอำนาจที่ผู้นำระดับสูงพวกนี้อยู่ ก็เสี่ยงอันตรายร้ายแรงเพื่อช่วยเหลือเผ่าเทพยักษ์เช่นกัน
หากยามนี้ทุกคนคิดว่าต้องมีจุดจบด้วยความตายแน่ เป็นไปได้มากว่าขั้วอำนาจที่เพิ่งมาเข้าร่วมทีหลังจะกล้ำกลืนฝืนทน และยอมจำนนต่อตำหนักวิญญาณบรรพกาล
พวกเขาสนใจแต่ตัวเองและความเป็นตายของขั้วอำนาจ ถึงได้สนใจจ้าวเฟิง
“ไม่มีปัญหา เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น!”
สีหน้าจ้าวเฟิงเรียบนิ่ง ก่อนจะตอบตกลง
หลังจากผ่านศึกระหว่างสองเผ่า ในความคิดของจ้าวเฟิง การรบก็เป็นโอกาสอันดีในการกวาดเอาทรัพยากร
“ได้ เช่นนั้นต้องฝากท่านแล้ว!” หลายคนที่มีเทพโบราณจวี้หมัวเป็นผู้นำหัวเราะอย่างอดไม่ได้
เผชิญหน้ากับการรบที่โหดร้ายนองเลือด จ้าวเฟิงกลับพูดเหมือนเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ในความคิดของพวกเขา จ้าวเฟิงต้องเป็นทายาทของผู้อาวุโสเผ่าพันธุ์วิญญาณ ถูกเลี้ยงดูอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ทำตัวสูงส่งเป็นนิสัย มีเรื่องใดก็ผู้อาวุโสออกหน้าแก้ปัญหาให้ ถึงได้พูดจาโอหังขนาดนี้
“ตอนนี้สมาชิกบางส่วนของตำหนักวิญญาณบรรพกาลกำลังมุ่งหน้าเข้ามายังนรกเพลิงโลกันตร์ เรื่องที่จะเจอที่ซ่อนตัวของตำหนักเทพยักษ์ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือนำคนของตำหนักเทพยักษ์ให้ดักซุ่มและขัดขวางพวกตำหนักวิญญาณบรรพกาลในนรกเพลิงโลกันตร์!”
เทพโบราณจวี้หมัวชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและมอบหมายภารกิจให้กับจ้าวเฟิง
“เข้าใจแล้ว!” จ้าวเฟิงผงกศีรษะ
อันที่จริง ตอนที่เขามาที่นี่ก็ใช้ดวงตาเทพเจ้าสำรวจ จึงพอจะเดาออกว่ากลยุทธ์ที่เผ่าเทพยักษ์ใช้อยู่ตอนนี้ก็คือเฝ้าระวังอยู่ที่อาณาจักรเทพ และใช้ข้อได้เปรียบจากสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมารับมือกับตำหนักวิญญาณบรรพกาล หากทำเช่นนี้ นอกจากจะสามารถตัดทอนกำลังของตำหนักวิญญาณบรรพกาล ยังซื้อเวลาให้กับตำหนักเทพยักษ์ได้ด้วย
แล้วเมื่ออีกฝ่ายอ่อนแอลง ตนเองได้เวลาเตรียมตัวเพิ่มขึ้น ไม่แน่สุดท้ายตำหนักเทพยักษ์อาจรับมือกับตำหนักวิญญาณบรรพกาลได้
“นี่คือป้ายส่งข่าวพิเศษของเผ่าเปลวทอง เมื่อดำดิ่งความคิดลงไป เจ้าจะรับรู้ได้ถึงคนตำหนักเทพยักษ์ที่ครอบครองป้ายนี้ในพื้นที่ใกล้ๆ และส่งข่าวบอกพวกเขาได้!”
ยอดผู้อาวุโสหยิบเอาป้ายโบราณสีเหลืองเข้มแผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นก็เสริมอีกว่า “ถ้าหากฝ่ายตรงข้ามมีจอมเทพปรากฏกายขึ้น จงรีบแจ้งข้าในทันที!”
“สหายจ้าว ต้องลำบากเจ้าแล้ว แต่ด้วยพลังดวงตาของเจ้า น่าจะไม่ยากมากนัก!”
ซินอู๋เหินตบบ่าจ้าวเฟิง ความเข้าใจที่เขามีต่อดวงตาเทพเจ้าย่อมมากกว่าทุกคนในตำหนักเทพยักษ์
หลังจากรับภารกิจมาแล้ว จ้าวเฟิงจึงออกจากอาณาจักรเทพ
“ฮ่าๆ จะไปยากอะไรเล่า?” จ้าวเฟิงหัวเราะน้อยๆ
ไม่ต้องใช้ป้ายส่งข่าว เขาก็มองเห็นสถานการณ์ทั้งหมดในระยะไกล
สิ่งที่ปรากฏในครรลองสายตา มีเทพโบราณขั้นเจ็ดไปจนถึงขั้นเก้า ขั้นเก้าสุดยอดที่มีจำนวนไม่มากนัก และครึ่งก้าวสู่จอมเทพเพียงแค่สามคน
“แค่เรื่องเล็กเรื่องน้อย ยกให้พวกเจ้าจัดการเองแล้วกัน!”
จ้าวเฟิงไม่สนใจใดๆ เรียกจ้าวคง จ้าวหวัง และจ้าววั่นออกมา!
ระดับพลังฝึกตนของจ้าวคงและจ้าววั่นใกล้ถึงเทพโบราณขั้นเก้าสุดยอด ส่วนจ้าววั่นเป็นเทพโบราณขั้นเก้า
ในตอนนี้ ให้พวกเขาสามคนจัดการก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งจ้าวเฟิงยังใช้ครรลองสายตากับร่างแยกได้ สามารถใช้ร่างแยกสามร่างเพิ่มระดับการสั่งการและขอบเขตการควบคุม
“ตอนนี้ข้าเป็นผู้นำสูงสุดของพวกเจ้า สถานะของสามคนนี้เทียบเท่ากับข้า จงฟังคำสั่งทั้งหมดของพวกเขา!”
จ้าวเฟิงแจงสถานการณ์ทั้งหมดของตนและแผนการที่วางไว้แก่สมาชิกทั้งหมดในนรกเพลิงโลกันตร์ โดยใช้ป้ายส่งข่าวพิเศษ
ในมุมหนึ่ง สตรีเผ่าเผ่าเทพยักษ์และอีกสองคนเก็บซ่อนกลิ่นอาย และพรางตัวอยู่ในละแวกนี้ ทั้งสามได้รับข่าวสารในเวลาเดียวกัน
“คนผู้นี้เป็นใครกัน ทำไมข้าไม่เคยเห็นมาก่อน?”
ผู้นำในหมู่คนทั้งสามเผยสีหน้าสงสัย
“จ้าวเฟิง!”
สตรีเรือนร่างสมบูรณ์เอ่ยเสียงต่ำ
นางก็คือเทพโบราณหนิงเยวี่ยซึ่งไปตามหาจ้าวเฟิงที่ยอดเขามารทมิฬกับเทพโบราณพั่วเยวี่ยในตอนนั้น
“จ้าวเฟิงคือใคร?”
ผู้นำกลุ่มคนนั้นเพิ่งเข้าร่วมตำหนักเทพยักษ์มาได้ไม่นานนัก ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน
“เขาคือสหายของท่านอู๋เหิน ดูแล้วเห็นทีท่านอู๋เหินคงจะขอให้เขามาช่วยกระมัง!” เทพโบราณหนิงเยวี่ยอธิบาย
ในตอนนี้เอง เสียงที่ไม่คุ้นหูก็ลอยมา “เจอคนของตำหนักเทพยักษ์แล้ว รีบจับพวกมันเร็ว!”
“ลงมือได้!” ผู้นำของตำหนักเทพยักษ์ตะโกนทันที
ตอนกำลังพูดคุยกันอยู่ กลายเป็นว่าพวกเขาโดนศัตรูสังเกตเจอก่อน
โครม เปรี้ยง! คนทั้งสองฝ่ายพุ่งปะทะกันอย่างรุนแรง
แต่ช่วยไม่ได้ ฝั่งตำหนักวิญญาณบรรพกาลมีกันสี่คน ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยคุ้นเคยกับที่นี่ แต่กำลังรบก็ยังคงอยู่เหนือพวกตำหนักเทพยักษ์ทั้งสาม
ในตอนนี้เอง กลิ่นอายมรณะเบาบางประชิดเข้ามา
“แย่ล่ะ เป็นคนของตำหนักวิญญาณบรรพกาลหรือ?”
ใบหน้าผู้นำกลุ่มย่อยเปลี่ยนสีทันที
“ไม่ใช่ เป็นหนึ่งในสามคนที่จ้าวเฟิงเพิ่งพูดเมื่อครู่!”
เมื่อเทพโบราณหนิงเยวี่ยมองเห็นใบหน้าผู้มาเยือนอย่างชัดเจน ก็มีท่าทางยินดี
วู้ม! กลิ่นอายมรณะที่หนาวเหน็บพวยพุ่งออกจากดวงตาของจ้าวหวัง เพียงพริบตาเดียวก็ปลดปล่อยหอกมรณะจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา!
การเข้าร่วมสู้ของจ้าวหวังทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทันที เสวียนอ้าวมรณะกลุ่มนั้นทำเอาฝ่ายตรงข้ามอกสั่นขวัญแขวน
ในที่สุด สองคนจากตำหนักวิญญาณบรรพกาลก็ตายไป ส่วนอีกสองคนบาดเจ็บสาหัสหนีไปได้
“เปลี่ยนสถานที่ซ่อนตัว!”
หลังจากจ้าวหวังถ่ายทอดคำสั่ง จึงนำพวกเทพโบราณหนิงเยวี่ยหนีออกไปจากที่นี่
ในนรกเพลิงโลกันตร์ สมาชิกจากขั้วอำนาจทั้งสองต่อสู้กันเรื่อยๆ เพียงแค่เข้าใกล้อาณาจักรเทพ ก็จะอยู่ในสายตาดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิง
ทันทีที่สถานการณ์ไม่สู้ดี เขาให้จ้าวคง จ้าววั่น หรือไม่ก็จ้าวหวังไปช่วยพวกเขาได้ในเวลาอันสั้น
พวกเขาสามคนครอบครองอาวุธเทพระดับสุดยอด ขอแค่ไม่เจอครึ่งก้าวสู่จอมเทพ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การต่อสู้ได้ ถึงแม้จะไว้ชีวิตคนพวกนั้น
ในตอนนี้ การค้นหาของตำหนักวิญญาณบรรพกาลถูกขัดขวางอย่างหนัก หนำซ้ำยังล้มตายกันมากมาย
“ยกให้พวกเจ้าจัดการแล้วกัน!” จ้าวเฟิงยกภารกิจนี้ให้ร่างแยกทั้งสาม
ส่วนตัวเขาเองก็หาที่เหมาะสม ก่อนจะเข้าไปในชุดคลุมมิติแล้วเริ่มปิดด่านฝึกตน
ฟิ้ว! ในมือจ้าวเฟิงปรากฏก้อนหยกสีเทาเข้มขนาดเท่าฝ่ามือก้อนหนึ่ง ริ้วลายด้านบนประหนึ่งขนนก เปล่งแสงสว่างอ่อนๆ
นี่ก็คือ ‘ศิลาวิญญาณฟ้า’ ที่เขาประมูลได้จากลานแลกเปลี่ยนซื้อขายอาณาจักรเทพ เป็นหินเทพที่สามารถชะล้างวิญญาณ เพิ่มพลังวิญญาณ และเพิ่มการเปลี่ยนแปลงของวิญญาณได้
สำหรับเทพโบราณขั้นเก้าหรือไม่ก็ขั้นแปด ศิลาวิญญาณฟ้าจะส่งผลต่อวิญญาณมากที่สุด หรือกระทั่งช่วยเพิ่มพลังขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
ส่วนพลังวิญญาณของครึ่งก้าวสู่จอมเทพ ถึงแม้จะไม่สามารถยกระดับได้ทันที แต่ก็ส่งผลช่วยอย่างมาก
เดิมทีพลังวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งและบริสุทธิ์เหนือกว่าครึ่งก้าวสู่จอมเทพทั่วไป ใช้หินเทพในคราวนี้ เขามีความหวังค่อนข้างมากที่พลังวิญญาณจะทะลวงขั้นจอมเทพ
พอถึงเวลานั้น วิชาดวงตาวิญญาณของจ้าวเฟิงจะทำร้ายจอมเทพขั้นที่หนึ่งได้อย่างแสนสาหัส
วู้ม วู้ม!
เมื่อนึกถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงจึงโคจรพลังวิญญาณ ดูดซึมแก่นพลังในศิลาวิญญาณฟ้านอกจากศิลาวิญญาณฟ้า จ้าวเฟิงยังประมูล ‘โสมปราณเทพ’ มาได้สามต้น
เขาเก็บไว้ให้ตนเองหนึ่งต้น และยกต้นที่สองให้จ้าวหยูเฟย ส่วนต้นที่สามยกให้กับผู้อาวุโสกิเลนเพลิงโลหิต
ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสกิเลนเพลิงโลหิตบรรลุเสวียนอ้าวธาตุไฟขั้นเก้าได้อย่างราบรื่นด้วยผลจากทรัพยากรล้ำค่ายากในอาณาจักรเทพเผ่าแสง และขึ้นเป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพได้สำเร็จ
และโสมปราณเทพต้นนี้สามารถเพิ่มสัดส่วนในการทะลวงขั้นจอมเทพได้ถึงสองส่วน ผู้อาวุโสกิเลนเพลิงโลหิตจะทะลวงเป็นจอมเทพได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับโชควาสนาจากมันแล้ว
ในขณะที่ดูดซึมพลังในศิลาวิญญาณฟ้า ก็หล่อหลอมพลังวิญญาณไปในเวลาเดียวกัน
จ้าวเฟิงใช้ร่างแยกสามร่างหรือป้ายส่งข่าวรับรู้สถานการณ์ภายนอกได้ตลอดเวลา
ถึงแม้จะไม่มีการควบคุมของเขา ถึงสถานการณ์ในตอนนี้จะไม่ได้ดีเยี่ยมอย่างในตอนแรก แต่ก็นับได้ว่าได้เปรียบอย่างมาก
สถานการณ์ในนรกเพลิงโลกันตร์จะถูกแจ้งไปที่อาณาจักรเทพในทุกช่วงเวลาหนึ่ง
“เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร?” เทพโบราณจวี้หมัวสีหน้าอึ้งไป
ถึงจ้าวเฟิงจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ก็ไม่น่าจะทำได้โดดเด่นขนาดนี้
ในช่วงหลายวันมานี้ ตำหนักวิญญาณบรรพกาลเสียหายอย่างมหาศาล ต่อให้มีกำลังเสริมมาช่วย ก็ยังคงไปไม่ถึงศูนย์กลางของนรกเพลิงโลกันตร์