บทที่ 1440 เปิดศึกเต็มรูปแบบ
“ทั้งหมดนี้ โชคดีที่มีจ้าวเฟิง!”
เทพโบราณจวี้หมัวหน้าแดงก่ำ มองจ้าวเฟิงด้วยแววตาเชื่อมั่น
หากจ้าวเฟิงไม่เจอฝ่ายตรงข้าม และไม่ถูกฝ่ายนั้นจับได้ จากนั้นติดต่อกับจอมเทพตำหนักเทพยักษ์ พวกเขาก็คงยากจะสังหารจอมเทพของอีกฝ่ายได้
แต่จ้าวเฟิงทำได้อย่างไร ก็ไม่อาจล่วงรู้ได้
“จ้าวเฟิง ขอบใจเจ้ามากที่เดินทางมาช่วยตำหนักเทพยักษ์!”
“เจ้าทำคุณงามความดีใหญ่หลวงอีกแล้ว!”
พวกผู้นำระดับสูงที่ก่อนนี้ไม่ชื่นชอบจ้าวเฟิงมากนัก ต่างเยินยอเขาทั้งสิ้น จากนั้น คนทั้งตำหนักเทพยักษ์ก็ย้อนกลับมาที่อาณาจักรเทพ
ถึงแม้พวกเขาจะสังหารจอมเทพของตำหนักวิญญาณบรรพกาลไปได้คนหนึ่ง แต่พลังโดยรวมทั้งหมดของฝ่ายตรงข้ามก็ยังคงอยู่เหนือตำหนักเทพยักษ์
อีกทั้งหากออกจากนรกเพลิงโลกันตร์ ตำหนักวิญญาณบรรพกาลจะไม่ต้องแบกรับแรงกดดันจากสภาพแวดล้อม สถานการณ์ของตำหนักเทพยักษ์จะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ไล่ตามออกไป หลังจากกลับมาที่อาณาจักรเทพของตำหนักเทพยักษ์ ก็มีข่าวที่ชวนให้ผู้คนฮึกเหิมถูกส่งมา
“จอมเทพจากตำหนักวิญญาณบรรพกาลถูกพวกเราสังหารไป!”
“ดีเหลือเกิน!”
ก่อนที่ขั้วอำนาจทั้งสองจะเริ่มสงครามเต็มที่ ทางฝั่งตำหนักวิญญาณบรรพกาลก็สูญเสียจอมเทพไปแล้วคนหนึ่ง นี่ทำให้คนทั้งหมดของตำหนักเทพยักษ์รู้สึกได้ถึงโอกาสที่จะชนะ
เมื่อกลับมาถึงอาณาจักรเทพของตำหนักเทพยักษ์อีกครั้ง
จ้าวเฟิงก็พบหนานกงเซิ่งและคุนอวิ๋น
เมื่อเปรียบกับที่ผ่านมา พลังในแต่ละด้านของทั้งสองคนเพิ่มขึ้นเยอะมาก
หนานกงเซิ่งขึ้นเป็นเทพโบราณขั้นเก้า คุนอวิ๋นเป็นเทพแท้จริงขั้นห้านอกเหนือจากพลังฝึกตน นิสัยของคนทั้งสองก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากด้วย
ไม่ผิดคาด อันตรายและการรบสามารถพัฒนาศักยภาพของผู้ฝึกตน ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งมากขึ้น
สงครามที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ตำหนักเทพยักษ์มีแนวโน้มว่าจะเกิดเรื่องร้ายมากกว่าดี และต้องสูญเสียมหาศาลแน่
เขาให้ไพ่ตายรักษาชีวิตหลายชิ้นแก่สหายทั้งสองอีกครั้ง หวังว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตรอดต่อไปในศึกใหญ่นี้
……
อีกฟากหนึ่ง หลังจากที่จอมเทพเทียนฮ่าวกลับมาแล้ว ก็รีบนำคนจากตำหนักวิญญาณบรรพกาลหนีออกไปเขตรอบนอกของนรกเพลิงโลกันตร์
“เฮ้อ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นแบบนี้!”
จอมเทพเทียนฮ่าวทอดถอนใจ และนึกตำหนิตนเอง
ถ้าหากพวกเขาขัดขวางจอมเทพเสียหลิงเอาไว้ได้ตั้งแต่แรก เรื่องก็คงจะไม่เป็นเช่นนี้
ห้าวันต่อมา จอมเทพอีกผู้หนึ่งจากตำหนักวิญญาณบรรพกาลก็เดินทางมาถึงที่นี่
“จอมเทพเทียนฮ่าว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
ผู้อาวุโสร่างเตี้ยรู้สึกได้ถึงอะไรที่ไม่ชอบมาพากล
“จอมเทพกุ่ยอู๋ เรื่องเป็นแบบนี้…”
จอมเทพเทียนฮ่าวเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนนี้ออกมา
จอมเทพกุ่ยอู๋ (ตะขาบปีศาจ) เป็นยอดผู้อาวุโสจากตำหนักวิญญาณบรรพกาล ทั้งพลังและฝีมือเป็นชั้นยอดในบรรดาจอมเทพขั้นที่หนึ่ง
“อะไรนะ?” จอมเทพกุ่ยอู๋เปลี่ยนสีหน้าทันที และเกรี้ยวกราดเป็นที่สุด
การประมือระหว่างจอมเทพทั้งสองฝ่ายก่อนหน้านี้ พวกเขาพ่ายแพ้อย่างอเนจอนาถก็ยังพอมีเหตุผล นั่นก็คือตำหนักเทพยักษ์ได้เปรียบด้านลักษณะพื้นที่
แต่จอมเทพเทียนฮ่าวและจอมเทพเสียหลิงลอบเข้าไปในใจกลาง แต่กลับถูกคนตำหนักเทพยักษ์เจอตัวก่อน แถมสุดท้ายยังทำให้จอมเทพเสียหลิงต้องตายลงไป ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ความผิดพลาดนี้ก็เกิดขึ้นเพราะพวกเขาสองคน
นี่ถึงขั้นทำให้ตำหนักวิญญาณบรรพกาลสูญเสียจอมเทพไปคนหนึ่ง!
ในดินแดนเทพรกร้าง จอมเทพก็ถือว่าเป็นกำลังรบชั้นยอดแล้ว ไม่รู้ว่าจอมเทพผู้หนึ่งต้องใช้เวลาและแรงใจมากขนาดไหน ถึงจะฝึกได้สำเร็จ แต่คราวนี้ตำหนักวิญญาณบรรพกาลสูญเสียจอมเทพไปผู้หนึ่ง หนำซ้ำยังถูกสังหารโดยตำหนักเทพยักษ์ จะไม่ให้จอมเทพกุ่ยอู๋โกรธแค้นได้อย่างไร!
แต่ก็ทำได้เพียงเกรี้ยวกราดเท่านั้น เรื่องเกิดขึ้นถึงตอนนี้แล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้อีก
เวลาหนึ่งเดือนผ่านไป
“ทำไมเจ้าตำหนักถึงยังไม่มาอีก?”
จอมเทพเทียนฮ่าวรู้สึกประหลาดใจ
ตามที่เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลบอก เขาน่าจะมาถึงตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้ว
ทันทีที่เอ่ยจบ กลิ่นอายที่กดดันและหนักอึ้งก็ตรงเข้ามา อุณหภูมิของทั้งนรกเพลิงโลกันตร์ลดลงไปไม่น้อย
พรึ่บ! ในอากาศปรากฏหมอกแสงสีดำกลุ่มหนึ่งขึ้น มีเงาร่างสีดำที่เลือนรางอยู่ภายในนั้น
“สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง!”
เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลชำเลืองมองจอมเทพเทียนฮ่าว เสียงเย็นชาดังออกมา
เขามาสายกว่าที่คุยกันไว้ถึงครึ่งเดือน หลักๆ เป็นเพราะเรื่องต่างๆ มากมายระหว่างทางทำให้เสียเวลา
กระทั่งเขายังรู้สึกประหลาดใจ ทำไมถึงมีเหตุไม่คาดฝันต่างๆ เกิดขึ้นมากมายขนาดนี้ ด้วยประสาทสัมผัสของจอมเทพขั้นสองของเขาแล้ว เรื่องพวกนี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่…
“สถานการณ์แย่มากจริงๆ…”
จอมเทพเทียนฮ่าวพูดเสียงต่ำ เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นออกมา
“อะไรนะ จอมเทพเสียหลิงตายไปแล้ว!”
เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลโกรธจนทนไม่ไหว บันดาลโทสะออกมา
ทันใดนั้น ฟ้าดินทั้งหมดอับแสงลงไป สรรพชีวิตในรัศมีหลายหมื่นลี้หมอบคลานกับพื้น ร่างสั่นเทิ้มไม่หยุด
กระทั่งจอมเทพเทียนฮ่าวยังรู้สึกอึดอัดเหลือประมาณเพราะแรงกดดันจากเจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาล
“เจ้าตำหนัก อภัยให้ข้าด้วย!”
จอมเทพเทียนฮ่าวรีบอ้อนวอนทันที
เจ้าตำหนักของพวกเขาโทสะค่อนข้างรุนแรง หากโมโหโกรธาขึ้นมาแล้วลงไม้ลงมือกับเขา เช่นนั้นเขาก็คงแย่แล้ว
“เจ้าตำหนัก ครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของจอมเทพเทียนฮ่าวไปเสียทั้งหมด ข้ารู้สึกได้ว่าตำหนักเทพยักษ์นี้มีบางอย่างประหลาด!”
จอมเทพกุ่ยอู๋รีบก้าวขึ้นมาเอ่ยโน้มน้าว แต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นเรื่องจริง
หากเป็นเวลาปกติแล้ว การปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ ตำหนักวิญญาณบรรพกาลย่อมไม่มีทางพ่ายแพ้อย่างอเนจอนาถ
แต่ความจริงกลับกลายเป็นว่าตำหนักวิญญาณบรรพกาลพ่ายแพ้ราบคาบ
“หึ!” เมื่อรับฟังคำโน้มน้าวจากจอมเทพกุ่ยอู๋ เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลสงบอารมณ์ลงเล็กน้อย หากเปลี่ยนเป็นปกติ เขาต้องลงโทษจอมเทพเทียนฮ่าวอย่างหนักแน่นอน
แต่ตอนนี้กลับทำไม่ได้ ถ้าหากจอมเทพเทียนฮ่าวไม่สามารถเข้าร่วมศึกได้ ต่อไปพวกเขาต้องรับมือกับตำหนักเทพยักษ์ก็ลำบากเอาการ
“เจ้าตำหนัก ถึงแม้ว่าคราวนี้ข้าจะทำผิดครั้งใหญ่ไปจริงๆ แต่พวกเราพอจะคาดเดาตื้นลึกหนาบางของตำหนักเทพยักษ์ได้แล้ว!”
จอมเทพเทียนฮ่าวลอบปาดเหงื่อ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“พูดมา!” เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
เขาเองก็พอเข้าใจตื้นลึกหนาบางของตำหนักเทพยักษ์เช่นกัน ในสายตาเขา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตำหนักเทพยักษ์ก็ไม่มีโอกาสชนะอยู่แล้ว
แต่ครั้งนี้ การประมือในระยะสั้นๆ ของทั้งสองฝั่ง เป็นฝ่ายตำหนักวิญญาณบรรพกาลที่เสียหายหนัก นี่ทำให้เขาสงสัยว่าตำหนักเทพยักษ์ทำได้อย่างไร
“ไม่นานก่อนนี้ ข้าพบว่าแถวตำหนักเทพยักษ์มีพลังจอมเทพถือกำเนิดขึ้นใหม่ แต่ในตอนที่ประมือกัน ฝ่ายตรงข้ามใช้จอมเทพเพียงสองคนเท่านั้น ก็คือยอดผู้อาวุโสตำหนักเทพยักษ์กับซินอู๋เหิน!”
ใบหน้าจอมเทพเทียนฮ่าวเคร่งขรึมจริงจัง “ส่วนคนในระดับกลางและสูงของตำหนักเทพยักษ์ด้อยฝีมือกว่าพวกเรามาก จากการคาดเดาของข้า ครึ่งก้าวสู่จอมเทพของพวกมันน่าจะมีไม่ถึงหกคน!”
“พลังจอมเทพใหม่?”
เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลมีสีหน้าตื่นตะลึง เขาไม่ได้สนใจอย่างอื่นมากนักเพราะจอมเทพผู้หนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การรบทั้งหมด
ถ้าหากประมาทกำลังรบขั้นจอมเทพของอีกฝ่าย อาจทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงตามมาก็เป็นได้
“ถึงตำหนักเทพยักษ์จะมีจอมเทพถือกำเนิดใหม่ แต่ก็คงรับมือกับจอมเทพที่มากฝีมือของเราได้ไม่นานนักหรอก!”
จอมเทพกุ่ยอู๋เอ่ยเนิบนาบ
ถึงแม้จอมเทพเสียหลิงจะตายแล้ว แต่ตำหนักวิญญาณบรรพกาลยังมีจอมเทพอีกสามคน ส่วนตำหนักเทพยักษ์ เดิมทีมีจอมเทพสองคน และมีจอมเทพถือกำเนิดใหม่อีกคนหนึ่ง
ไม่ว่าจะกำลังรบขั้นจอมเทพหรือคนในระดับกลางและสูง ก็ยังด้อยกว่าตำหนักวิญญาณบรรพกาล
“เจ้าตำหนัก พวกเราจะบุกโจมตีเมื่อใด?” จอมเทพเทียนฮ่าวเอ่ยถาม
“รอต่ออีกสักหน่อย รอให้กำลังคนทั้งหมดมารวมตัวกัน ถึงตอนนั้นค่อยทำลายตำหนักเทพยักษ์เสียในทีเดียว!”
แววตาเจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลฉายแววตึงเครียด
เขาลงมือด้วยตนเอง จำเป็นต้องอาศัยความได้เปรียบแล้วเอาชนะอีกฝ่ายให้ราบคาบในคราวเดียว
เวลาผ่านไปอีกครึ่งเดือน เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลที่ปิดด่านฝึกตนอยู่ลืมตาขึ้น หยิบเอาป้ายคำสั่งสื่อสารชิ้นหนึ่งออกมาเพื่อรับข่าว
“ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว!” เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลลุกยืนขึ้น สิ้นสุดการปิดด่านฝึกตน
“บุกเข้าไป ทำลายตำหนักเทพยักษ์!”
เสียงบ้าคลั่งมุทะลุของเจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลดังสะท้อนในอากาศ ทำให้อุณหภูมิในนรกเพลิงโลกันตร์ลดลงหลายส่วน
มีร่างสองร่างปรากฏขึ้นในมุมหนึ่งของนรกเพลิงโลกันตร์
“เจ้าแน่ใจหรือว่าอวี่เหิงตายเพราะตำหนักเทพยักษ์?”
ชายวัยกลางคนผมขาวเอ่ยถาม
ข้างกายเขาเป็นผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่ เนื้อตัวลายพร้อยทั้งร่าง เครายาวลากพื้น ในมือกำไม้เท้าสีเงินอันหนึ่ง ดวงตาเป็นประกายราวดวงดาวที่เปล่งแสง
ผู้อาวุโสคนนี้ก็คือจอมเทพซิงเซี่ยง
“ถึงแม้ว่าผู้อาวุโสไม่อาจสรุปได้ว่าเหิงเอ๋อร์ตายด้วยน้ำมือของใครกันแน่ แต่ผู้อาวุโสพอจะสรุปได้ว่าตอนที่อยู่ในอาณาจักรเทพเผ่าแสง เหิงเอ๋อร์ไม่ได้เผชิญหน้ากับขั้นจอมเทพ!”
แววตาจอมเทพซิงเซี่ยงหนักอึ้งเกินจะเปรียบ การตายของอวี่เหิงทำให้เขาถูกตำหนิไม่น้อย
ในฐานะที่เป็นอาจารย์ของอวี่เหิง และยังเป็นจอมเทพขั้นสอง แต่กลับปล่อยให้อวี่เหิงที่มีสายเลือดเผ่าบรรพกาลตายไป อีกทั้งกระทั่งสาเหตุการตายของอวี่เหิง จอมเทพซิงเซี่ยงยังไม่ล่วงรู้แม้แต่น้อย
ดังนั้นครั้งนี้ เป้าหมายหลักของเขาก็คือค้นหาสาเหตุการตายของอวี่เหิง ส่วนการรบระหว่างตำหนักวิญญาณบรรพกาลและตำหนักเทพยักษ์เป็นเรื่องรองลงไป
อวี่เหิงมีพลังสายเลือดของเผ่าบรรพกาลสองสามส่วน ถึงจะเป็นจอมเทพทั่วไปก็ยังรับมือได้ แต่ในอาณาจักรเทพเผ่าแสง อวี่เหิงไม่เคยเผชิญหน้ากับกำลังรบขั้นจอมเทพ ทว่ากลับตายอย่างอนาถอยู่ในนั้น
ในเมื่อไม่ใช่จอมเทพ เช่นนั้นเป็นใครกันที่มีความสามารถนี้ สังหารอวี่เหิงที่มีสายเลือดบรรพกาลได้?
อีกทั้งในตอนแรก คนที่เข้าไปในอาณาจักรเทพเผ่าแสงมีแค่คนจากตำหนักเทพยักษ์เท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นตำหนักเทพยักษ์จึงมีมากที่สุด
“ข้าต้องค้นหาฆาตกรตัวจริงออกมา ต้องล้างแค้นให้เหิงเอ๋อร์ให้ได้!”
แววตาของจอมเทพซิงเซี่ยงเย็นชา
……
อาณาจักรเทพตำหนักเทพยักษ์
“เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลมาที่นี่แล้ว ขั้วอำนาจในสังกัดเองก็มารวมตัวกันเกือบครบ เกรงว่าไม่นานเท่าไหร่นัก คงจะบุกโจมตีแน่!”
ผู้อาวุโสกังวลใจอย่างยิ่ง
ถึงแม้ก่อนนี้พวกเขาจะสังหารจอมเทพจากตำหนักวิญญาณบรรพกาลไปได้คนหนึ่ง แต่กำลังทั้งหมดก็ยังคงด้อยกว่าอยู่ดี
“พวกเราทุ่มเทแรงกายทั้งหมดปกป้องที่นี่ ยังพอจะมีความหวังอยู่ไม่น้อย!”
เทพโบราณจวี้หมัวพึมพำเสียงต่ำ
เมื่อประมือกันซึ่งหน้า ตำหนักเทพยักษ์จะต้องแพ้ราบคาบแน่นอน แต่ถ้าหากเลือกใช้วิธีป้องกันแทน ก็น่าจะพอมีความหวังบ้าง
ทว่าตอนนี้เอง ตำหนักเทพยักษ์สั่นสะเทือนขึ้นเบาๆ
“ตำหนักวิญญาณบรรพกาลมาแล้ว!” ใบหน้าซินอู๋เหินเปลี่ยนสี ก่อนจะพุ่งทะยานออกไป
เวลานี้เอง สมาชิกทั้งหมดตำหนักเทพยักษ์ต่างกระวีกระวาด เดินทางออกจากอาณาจักรเทพ
เพิ่งหนีออกมา ตำหนักเทพยักษ์ก็มองเห็นสมาชิกของตำหนักวิญญาณบรรพกาลที่กรูกันเข้ามา หากจะนับที่จำนวนคน ตำหนักวิญญาณบรรพกาลเหมือนจะมีน้อยกว่าตำหนักเทพยักษ์
แต่เพราะที่นี่คือใจกลางนรกเพลิงโลกันตร์ ผู้มีพลังฝึกตนต่ำสุดในกองทัพตำหนักวิญญาณบรรพกาลก็ยังเป็นเทพโบราณขั้นที่หก
จำนวนคนน้อย แต่เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นสูงทั้งหมด ทำให้กำลังรบอยู่เหนือคนจากตำหนักเทพยักษ์มาก
“จิ๊ๆ ตำหนักเทพยักษ์มีพัฒนาการที่ดีไม่น้อยเลย!” เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเอ่ยเยาะเย้ย
เมื่อเขามองเห็นกองทัพของตำหนักเทพยักษ์ จึงวางใจลงได้
สมาชิกทั้งหมดฝั่งตำหนักเทพยักษ์มีสีหน้าเคร่งเครียด คนในขั้นเทพโบราณลงไปปลอดภัยจากการคุ้มครองของเทพโบราณขั้นสูง
“ลงมือสังหารได้!” เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลถ่ายทอดคำสั่งลงไป
ทันใดนั้น ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของตำหนักวิญญาณบรรพกาลต่างกรูกันออกมา
“เปิดค่ายกลป้องกันตำหนัก!” ซินอู๋เหินตะโกนเสียงต่ำ
ฟิ้ว! พื้นที่ใต้ดิน ลำแสงสีขาวสุกสกาวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา ก่อขึ้นเป็นค่ายกลที่สลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง
โครม!
ปราการแสงริ้วอักษรชั้นหนึ่งค่อยๆ เกาะกลุ่มกัน แล้วปกคลุมคนตำหนักเทพยักษ์เอาไว้ภายใน หนำซ้ำบริเวณรอบๆ ปราการอักษร ยังมีรูปสลักสีขาวสี่รูป ในมือกำดาบ หอก กระบี่ และกระบอง ทั้งหมดเต็มไปด้วยอักษรลึกลับของเผ่าความลับสวรรค์
สมาชิกที่อยู่ในค่ายกลจจึงไม่ต้องเผชิญกับผลกระทบจากควันเพลิงพิษ
ค่ายกลชุดนี้ ซินอู๋เหินย้ายมาจากอาณาจักรเทพของเผ่าแสง หลังจากปรับปรุงแก้ไขแล้วก็สามารถกระตุ้นค่ายกลได้ตามอำเภอใจ
“เป็นค่ายกลจากเผ่าความลับสวรรค์จริงๆ ด้วย”
เจ้าตำหนักวิญญาณบรรพกาลไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะก่อนนี้จอมเทพซิงเซี่ยงได้บอกเขาแล้วว่า ฝั่งตำหนักเทพยักษ์อาจมีไพ่ตายลักษณะไหนบ้าง