บทที่ 1454 กฎเกณฑ์มิติ
“ตอนนี้เราเปิดสุสานราชวงศ์ได้หรือไม่?” จ้าวเฟิงเอ่ยถามทันที
“สหายจ้าวอยากเข้าไปทำอะไรที่สุสานราชวงศ์? อีกอย่าง แค่ขั้นเซียนสุสานราชวงศ์ก็ต่อต้านมากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงพลังของสหายจ้าวที่อยู่ในระดับสูงขนาดนี้เลย!”
จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ถามสิ่งที่ตนสงสัย
“เทพแท้จริงหลิงหมัวหนีออกมาจากสุสานราชวงศ์!” จ้าวเฟิงบอกไปตามตรง
เขาอยากเข้าไปในสุสานราชวงศ์ก็เพื่อไปดูว่ายังมีภยันอันตรายแบบนี้ซุกซ่อนอยู่อีกหรือไม่ หลังไปจากดินแดนทวีปคราวนี้แล้ว จ้าวเฟิงก็ไม่รู้ว่าตนจะได้กลับมาอีกครั้งเมื่อไหร่ บางทีอาจไม่มีคราวหน้าก็เป็นได้
เขาจึงหวังแค่ว่าบ้านเกิดของตนจะสงบสุข
“อะไรนะ?” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์หน้าเปลี่ยนสีทันที
เขาไม่รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย
“เจ้าเปิดสุสานราชวงศ์ ส่วนข้าจะลองเข้าไปก่อน หากว่าล้มเหลวก็ช่างเถอะ!”
จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยไป
มิติของสุสานราชวงศ์ไม่สมบูรณ์นัก เปราะบางกว่าปกติ หากผู้แข็งแกร่งบุกเข้าไปภายใน ย่อมกระตุ้นให้มิติเกิดความเสียหาย หนำซ้ำตนเองอาจถูกมิติฉีกทึ้งเป็นชิ้นๆแต่จ้าวเฟิงอยากจะลองดูสักครั้ง
“ได้!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ตอบตกลง จากนั้นเขาจึงติดตามจ้าวเฟิงเข้าไปในเขตต้องห้ามของตำหนักราชัน
พรึ่บ พรึ่บ! ประกายแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งออกจากใจกลางแผ่นหิน ระลอกมิติที่ทรงพลังกระจายตัวออกมา ตรงกลางของแสงสีเงินค่อยๆ เกาะกลุ่มรวมตัวกันเป็นม่านแสงที่บิดเบี้ยวไปมา
“สหายจ้าว ระวัง!” จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ร้องเตือน
ถึงจ้าวเฟิงจะแกร่งมากเท่าไหร่ แต่หากทู่ซี้บุกเข้าไปจะโดนมิติสะท้อนกลับ เกรงว่าคงไม่มีทางรอดชีวิต แต่สิ่งที่จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ก็คือ ต่อให้มิติแตกร้าวก็ทำอะไรจ้าวเฟิงไม่ได้
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ก่อนจะเข้าไปใกล้อุโมงค์ส่งข้าม
เขาไม่ได้กังวลเรื่องการต่อต้านของมิติ แต่กังวลว่าจะทำลายสุสานราชวงศ์โดยไม่ตั้งใจเสียมากกว่า
‘บางทีพลังของเนตรเทพเจ้าอาจช่วยให้ข้าเข้าไปในนั้นอย่างปลอดภัยได้!’
จ้าวเฟิงพึมพำในใจ
เขาสามารถใช้พลังเนตรเทพเจ้าได้ในดินแดนทวีป โดยไม่ส่งผลกระทบต่อมิติของที่นี่เช่นนั้นพลังของเนตรเทพเจ้าก็น่าจะใช้ในสุสานราชวงศ์ได้
วิ้ง! ภายในมิติเนตรเทพเจ้า ลูกทรงกลมสีเงินมายาปลดปล่อยพลังดั้งเดิมจำนวนมากออกมา รอบตัวจ้าวเฟิงถูกปกคลุมด้วยหมอกแสงมายาอันเบาบางทีละน้อย ทั้งตำหนักถูกหมอกแสงมายาส่องสะท้อนจนสว่างเรืองรอง จากนั้น จ้าวเฟิงจึงค่อยๆ ก้าวเข้าไปใกล้อุโมงค์มิติแห่งนี้
พรึ่บ! จ้าวเฟิงเข้าไปภายในแล้วหายวับไป
“เข้าไปแล้วจริงๆ ด้วย แถมยังไม่มีอะไรผิดปกติ!” สีหน้าจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ตื่นตะลึงเล็กน้อย
พรึ่บ! จ้าวเฟิงปรากฏกายขึ้นในป่าไม้โบราณ
การกดข่มจากกลิ่นอายบรรพกาลที่เบาบางรอบบริเวณ ไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อจ้าวเฟิง แต่กลับทำให้เขารู้สึกสนิทสนมชิดเชื้อมากกว่า
เมื่อกวาดประสาทสัมผัสเทพไป จ้าวเฟิงเข้าใจสถานการณ์ของทั้งสุสานราชวงศ์พอประมาณแล้ว นอกเหนือจากเทพแท้จริงหลิงหมัวที่หนีออกจากหุบเขาวายุทมิฬ จ้าวเฟิงยังเจออันตรายที่แฝงตัวอยู่อีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงกำจัดอันตรายนั้นเสีย
เมื่อจัดการทุกสิ่งแล้ว จ้าวเฟิงก็เดินทอดน่องอยู่ในสุสานราชวงศ์
ตอนนั้นเขาเคยช่วยองค์ชายเก้าทำศึกกับองค์ชายคนอื่นๆที่นี่ และก็สังหารจักรพรรดิแห่งความตายที่นี่อีกครั้ง ก่อนชิงเอาดวงตามรณะมาได้ ที่นี่มีการนองเลือด แต่ก็มีโอกาสอยู่มากเช่นกัน
“ไม่สู้ข้าทิ้งมรดกเอาไว้ที่นี่ด้วย!” จ้าวเฟิงนึกสนุกขึ้นมา
ภายในสุสานราชวงศ์มีมรดกน้อยใหญ่มากมายนับไม่ถ้วน จ้าวเฟิงสร้างมรดกไว้แห่งหนึ่ง ระดับขั้นสูงกว่ามรดกทั้งหมดที่นี่ ทว่าหากคิดจะครอบครองก็ยากลำบากเอาการแต่จ้าวเฟิงพบว่าตัวเขาเองไม่มีทรัพยกรฝึกตนในระดับต่ำเลยแม้แต่น้อย สุดท้ายเขาจึงทิ้งเคล็ดวิชาของขั้นเซียนไปจนถึงขั้นเทพแท้จริง รวมทั้งพลังดั้งเดิมบรรพกาลที่ลึกล้ำกลุ่มหนึ่งเอาไว้
“ไปเดินดูเมืองความลับสวรรค์!”
จ้าวเฟิงมาที่เมืองความลับสวรรค์ตรงใจกลางของสุสานราชวงศ์ เมื่อเดินเล่นรอบๆ เมืองแล้ว จ้าวเฟิงก็จากไปอย่างรวดเร็ว
“คิดไว้ไม่ผิด เมืองความลับสวรรค์ระดับต่ำแห่งนี้ไม่มีของที่ข้าต้องการเลย!”
จ้าวเฟิงคาดเดาเอาไว้นานแล้ว
ระดับขั้นของเขาในตอนนี้ไปถึงครึ่งก้าวสู่จอมเทพ ลองคิดดู เมืองเผ่าความลับสวรรค์ในมิติระดับต่ำเช่นนี้ จะมีของที่ครึ่งก้าวสู่จอมเทพต้องการได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่นตำหนักหมื่นโลหิต ถึงจะสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งและปลูกถ่ายสายเลือดบรรพกาลได้ แต่ระดับของสายเลือดพวกนี้ก็ต่ำมาก สูงสุดเป็นแค่สายเลือดของขั้นเทพแท้จริงเท่านั้น
สายเลือดไม่เพียงมีการจัดลำดับ แต่ยังมีระดับขั้นด้วยเช่นกัน อย่างเช่นในตอนนั้นที่จ้าวเฟิงอยู่ในอุทยานครึ่งเซียน ได้รับเลือดหยดหนึ่งของคุนอวิ๋นก็เป็นของล้ำค่าอย่างยิ่งแล้ว เพราะระดับของเลือดหยดนั้นสูงถึงขั้นครึ่งเทพ แต่พลังฝึกตนของเขาในตอนนั้นต่ำกว่า แต่หากหลอมรวมเลือดขั้นเทพแท้จริงเข้ากายเทพของจ้าวเฟิงผู้เป็นครึ่งก้าวสู่จอมเทพ เกรงว่าคงจะถูกเลือดของจ้าวเฟิงกลืนกิน ต่อให้หลอมเข้าด้วยกันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร
“เนตรเทพเจ้าตื่นขึ้น สิ่งนี้คือสายเลือดที่แข็งแกร่งที่สุดของข้า!”
จ้าวเฟิงระบายยิ้มน้อยๆ
ในดินแดนเทพรกร้าง แปดเนตรเทพเจ้าเทียบเท่าได้กับสายเลือดในตำนานสิบลำดับแรกของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ ส่วนจ้าวเฟิงคาดไว้ว่า ผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกันที่มีสายเลือดบรรพกาลสิบลำดับแรกล้วนไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของตน!
หลังจากเดินเล่นไปรอบหนึ่ง จ้าวเฟิงก็เดินทางออกจากสุสานราชวงศ์ กลับไปที่ตำหนักราชัน
“ถึงแม้ว่ารากฐานของตำหนักราชันมั่นคง แต่ก็ไม่มียอดฝีมือคอยดูแล!”
จ้าวเฟิงเข้าใจในสถานการณ์ของตำหนักราชันดี หากไม่ใช่เพราะก่อนเขาจะจากตำหนักราชันไปได้ผูกมิตรกับขั้วอำนาจในราชวงศ์ต้าเฉียนไว้มาก
เกรงว่าหลังจากที่คุนอวิ๋นและหนานกงเซิ่งไปจากตำหนักราชัน คงถูกศัตรูคู่แค้นทำลายราบเป็นหน้ากลองไปแล้ว
“ไม่มีครึ่งเทพ ข้าก็จะสร้างครึ่งเทพขึ้นเอง!” จ้าวเฟิงแผ่ประสาทสัมผัสเทพปกคลุมตำหนักราชัน
เมื่อสัมผัสอย่างละเอียด เขาก็พบผู้ฝึกตนที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยมจำนวนหนึ่ง
“หากพวกเจ้ายอมสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อตำหนักราชัน ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้เป็น ‘ครึ่งเทพ’!” เสียงของจ้าวเฟิงดังขึ้นในหัวคนเหล่านี้
“ผู้อาวุโสสูงสุด!” คนที่ได้ยินทั้งหวาดกลัวทั้งตื่นเต้น
เมื่อเผชิญกับเงื่อนไขที่จ้าวเฟิงหยิบยื่นให้ ไม่มีใครปฏิเสธได้ลง
สุดท้ายแล้ว สมาชิกทั้งแปดคนก็มายังที่พักของจ้าวเฟิง ในแปดคนนี้มีเซียนสี่คน ขอบเขตปราณเทวะอีกสี่คน
แผนของจ้าวเฟิงในตอนนี้คือพยายามเอาเซียนทั้งสี่คนมาเพราะบ่มเป็นครึ่งเทพ
ส่วนขอบเขตปราณเทวะก็กระตุ้นเล็กน้อย ในภายหน้าจะมีศักยภาพสูงมากพอขึ้นเป็นครึ่งเทพได้
นอกจากนั้น จ้าวเฟิงยังเรียกเซียนราตรีทมิฬมาด้วย เซียนราตรีทมิฬกลายเป็นราชาเซียนแล้ว ศักยภาพก็ไม่เลวเลยทีเดียว
ถึงแม้จะสร้างครึ่งเทพขึ้นมา แต่จ้าวเฟิงก็ไม่ได้รีบร้อนจนอาจส่งผลเสียในอนาคตเขาให้คนพวกนี้เข้าไปในมิติของชุดคลุม
ตอนนี้ ความเร็วของเวลาในชุดคลุมมิติคือหนึ่งต่อร้อย นั่นพูดได้ว่าหนึ่งร้อยวันด้านใน โลกภายนอกเพิ่งจะผ่านไปแค่หนึ่งวันเท่านั้น
ในขณะที่สร้างจอมเทพขึ้นมา ตัวจ้าวเฟิงเองก็กำลังปิดด่านฝึกตน
“เสวียนอ้าวมิติขั้นที่เก้า ขั้นต่อไปคือกฎเกณฑ์มิติ!” จ้าวเฟิงรู้แจ้งในใจ
ทันทีที่บรรลุกฎเกณฑ์ นั่นแปลว่าลองทะลวงขั้นจอมเทพได้แล้ว แต่กฎเกณฑ์ไม่ได้ศึกษาสำเร็จได้ง่ายๆ
เขาปิดด่านฝึกตนเป็นเวลาสามสิบปีในชุดคลุมมิติ แต่เสวียนอ้าวมิติก็ยังมีพัฒนาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
กลายเป็นว่า ‘แผนสร้างครึ่งเทพ’ สำเร็จมากกว่าครึ่งแล้ว
หลายวันต่อมา จ้าวเฟิงออกจากตำหนักราชัน เดินทางต่อไปในดินแดนทวีปในตอนที่อารมณ์ดี เขาจะหาสถานที่บางแห่งเพื่อปิดด่านฝึกตน ระหว่างเดินทางรอนแรมในดินแดนทวีป จ้าวเฟิงยังไปตามหาคนคุ้นเคยในอดีต อย่างเช่นราชันเหมันต์จันทราจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัด
ในช่วงที่รับมือกับจักรพรรดิแห่งความตาย ราชันเหมันต์จันทราและผู้แข็งแกร่งจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์โจรสลัดต่างเสี่ยงอันตรายเข้าช่วยเหลือ
เมื่อพูดคุยกันเล็กน้อยรวมทั้งมอบของขวัญให้อีกฝ่ายแล้ว จ้าวเฟิงจึงค่อยบอกลาราชันเหมันต์จันทราและออกเดินทางต่อ
ระหว่างนั้น จ้าวเฟิงไปที่บ้านเกิดของ ‘จ้าวเฟิง’ ในตอนนั้น แล้วจึงไปที่ตระกูลตวนมู่ เขาอยู่เป็นเพื่อนตวนมู่ชิงช่วงหนึ่ง และมักจะพูดถึงจ้าวหยูเฟยที่ดินแดนเทพรกร้างบ่อยๆ
ต่อมาจ้าวเฟิงก็เดินทางไปที่ตระกูลเถี่ย ตระกูลจี ตระกูลหยู วังหลวง วังลอยฟ้า และหอกระบี่ฟ้าเป็นต้น
การเดินทางเช่นนี้เป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง ส่งผลช่วยขัดเกลาและยกระดับจิตใจ ครั้นจ้าวเฟิงกลับมาที่ตำหนักราชัน เขาพบว่าในแต่ละด้านของตนเองยังสามารถพัฒนาไปได้อีก
เขาปิดด่านฝึกตนอยู่ในตำหนักราชันอยู่ตลอด ช่วยสร้าง ‘ครึ่งเทพ’ ไปพลาง ฝึกตนไปพลาง
ตอนนี้จ้าวเฟิงกำลังฝึกฝนเนตรเทพมายาเป็นหลัก รองลงมาก็เป็นเสวียนอ้าวหลากหลายประเภท
ครั้งนี้ ขณะที่ฝึกฝนเสวียนอ้าวอยู่นั้นเอง จ้าวเฟิงพบว่าเสวียนอ้าวมิติของตนเหมือนกำลังจะพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ดังนั้นเขาจึงตั้งอกตั้งใจศึกษา
เวลาสิบปีในชุดคลุมมิติก็ผ่านไปในพริบตา
วู้ม วู้ม! มิติรอบตัวจ้าวเฟิงบิดเบี้ยววุ่นวาย ประหนึ่งจะแตกสลายได้ทุกเมื่อทันใดนั้น สภาพแวดล้อมในมิติก็บิดเบี้ยวและแตกกระจายไป
มังกรทมิฬล้างโลกาที่เห็นภาพนี้ก็รีบพาคนอื่นๆ ในชุดคลุมมิติย้ายเข้าไปมิติดั้งเดิมของตน
พรึ่บ ฟู่ ฟู่! ระลอกมิติที่บิดเบี้ยวชั้นหนึ่งกวาดผ่านร่างของมังกรทมิฬล้างโลกาไปเกล็ดบนกายมังกรทมิฬล้างโลกาสลายหายไปในฉับพลัน
“นายท่าน ท่านศึกษากฎเกณฑ์ที่นี่ อันตรายเกินไปแล้ว!” มังกรทมิฬล้างโลกามีสีหน้าวิตกกังวล
ฟู่ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ! ทันใดนั้นเอง มิติที่บิดเบี้ยวรอบตัวจ้าวเฟิงปรากฏรอยปริร้าวเส้นหนึ่ง ลมพายุต้องห้ามพัดออกมาจากด้านใน ทั้งชุดคลุมมิติสั่นสะเทือน
รอยแตกร้าวของมิติค่อยๆ ขยายออก ทุกที่ที่ผ่านไป ทุกอย่างจะแตกกระจาย
ในเวลาเดียวกัน รอยร้าวของมิติเหล่านี้ก็กำลังแผ่ขยายไปหาจ้าวเฟิง
“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ชุดคลุมมิติก็อาจจะถูกทำลายได้ และนายท่านเองก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย!” มังกรทมิฬล้างโลการ้อนรนและกังวลมากกว่าเดิม
ตอนนี้รอยร้าวมิติที่ประหนึ่งใยแมงมุมยังคืบคลานเข้าไปหาจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงลืมตาขึ้นทันใด พลังมิติที่ไร้รูปร่างสาดซัดออกจากร่างเขา จากนั้นยื่นฝ่ามือออกมา
วู้ม ฟู่ ฟู่! พลังมิติที่บิดเบี้ยวรอบๆ ค่อยๆ เกาะกลุ่มรวมตัวกันบนฝ่ามือจ้าวเฟิง
ชั่วขณะนั้น จ้าวเฟิงกำเอาพลังที่ทำลายล้างมิติกลุ่มหนึ่งไว้
“นายท่าน ท่านทำสำเร็จแล้ว?” มังกรทมิฬล้างโลกาตื่นตะลึงยิ่งนัก
มีเพียงบรรลุกฎเกณฑ์มิติเท่านั้น ถึงจะสามารถควบคุมพลังมิติได้ดั่งใจเช่นนี้
“ถูกต้อง!” มุมปากจ้าวเฟิงยกยิ้มน้อยๆ
พลังที่เขาควบคุมไว้ในฝ่ามือตอนนี้เกิดขึ้นจากกฎเกณฑ์มิติ
พลังที่ฉีกทึ้งมิติกลุ่มนี้ เกรงว่าจะสามารถฉีกทึ้งกายเทพของครึ่งก้าวสู่จอมเทพทั่วไปได้โดยตรง
ขวับ! เมื่อจ้าวเฟิงโบกมือ พลังมิติกลุ่มนี้ก็สลายไปช้าๆ พร้อมกันนั้น มิติในชุดคลุมก็ถูกพลังมิติที่ทรงพลังพวกนั้นแทรกซึมผ่าน ไม่นานเท่าไหร่นัก มิติที่เดิมทีเสียหายก็เสถียรขึ้นมา
“หลังจากบรรลุกฎเกณฑ์มิติขั้นแรก จะสามารถทะลวงขั้นจอมเทพได้ตลอดเวลา!”
ถึงจะบอกเช่นนี้ แต่โอกาสทำสำเร็จยากจะคาดเดา อีกอย่างเขาก็ไม่อาจทะลวงขั้นจอมเทพที่ดินแดนทวีป ต่อให้อยู่ในชุดคลุมมิติก็ไร้ประโยชน์ ทั้งดินแดนทวีปจะถูกจ้าวเฟิงทำลายย่อยยับ
ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงบรรลุกฎเกณฑ์มิติ รอกลับไปที่ดินแดนเทพรกร้างเมื่อใดค่อยทะลวงขั้นจอมเทพ!