Skip to content

King of Gods 1467

King Of Gods

บทที่ 1467 อาณาจักรเทพของจ้าวเฟิง

ประมือกับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าครั้งแรก จอมเทพป้าหลงพ่ายแพ้ไป

“ไม่…ข้าจะแพ้ได้อย่างไร!” สีหน้าจอมเทพป้าหลงสับสนลนลาน ราวกับว่าคิดถึงเรื่องอะไรที่น่ากลัวได้

วู้ม วู้ม! ระลอกคลื่นมิติเป็นชั้นๆ หมุนวนโดยมีจอมเทพป้าหลงเป็นศูนย์กลาง คลื่นน้ำวนมิติหดเล็กลงเรื่อยๆ แต่คลื่นมิติกลับยิ่งกระเพื่อมรุนแรงขึ้น

ขวับ! เสี้ยวขณะต่อมา ร่างของจอมเทพป้าหลงหายไปพร้อมกับคลื่นวนมิตินั้น

หลังสำแดงเคลื่อนย้ายมิติ จอมเทพป้าหลงกลับมายัง ‘ตำหนักมารฝืนลิขิต’ ซึ่งเป็นขั้วอำนาจเขตผาเก่าที่แอบซ่อนอยู่ใน ‘หุบเขาวิญญาณอ้างว้าง’ อย่างรวดเร็ว

ในโถงลับบรรยากาศอึมครึม

สมาชิกทั้งหมดรู้แล้วว่าจอมเทพป้าหลงพ่ายแพ้

แน่นอนว่าแม้กระทั่งพวกเขาก็รู้สึกแปลกใจ ด้วยพลังของจอมเทพป้าหลง ไยจึงแพ้พ่ายได้?

“ขยายเครือข่ายข่าวกรอง มีข้อมูลใดเกี่ยวกับจ้าวเฟิง ให้รายงานข้าทันที!”

จอมเทพป้าหลงพูดขณะกัดฟันกรอด

“ขอรับ!” ในโถงใหญ่ สมาชิกที่รับผิดชอบรายงานข่าวทั้งหลายรับคำทันที

ในตอนนี้เอง มิติเก็บของของจอมเทพป้าหลงแผ่ระลอกคลื่นแปลกประหลาดออกมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันใด หยิบเอาป้ายตราโบราณทรงแปดเหลี่ยมขึ้นมา

เสี้ยวขณะที่ป้ายตราชิ้นนี้ปรากฏขึ้น สมาชิกที่เหลือรอบด้านมีสีหน้าตื่นตะลึง คุกเข่าลงที่พื้นแสดงความเคารพ

วู้ม วู้ม! ในแผ่นป้ายมีลำแสงหลากสีที่ผสมปนเปกันลอยขึ้น ก่อนก่อเป็นหมอกแสงขมุกขมัว ในหมอกแสงมีร่างเงาสูงใหญ่ราวกับเงามืดร่างหนึ่ง

“นายท่านผู้คุมกฎ!” จอมเทพป้าหลงเผยสีหน้าเคารพนบนอบ แต่ในใจหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าล้มเหลว?” เสียงเย็นชาดังมาจากในนั้น

กล่าวจบ ไม่เพียงแต่จอมเทพป้าหลง ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในโถงใหญ่ต่างเงียบนิ่งราวจักจั่นยามเหมันต์ เสมือนสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของความตาย

“ได้โปรดให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าจะต้องจับจ้าวเฟิงให้ได้เร็วที่สุด!”

จอมเทพป้าหลงตื่นกลัว รีบพูดขึ้นทันใด

“ได้ ข้าให้โอกาสเจ้าสร้างคุณงามความดีชดเชยความผิด!” เสียงรางเลือนพูดอย่างราบเรียบไร้ซึ่งอารมณ์

จอมเทพป้าหลงและผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในตำหนักมารฝืนลิขิตถอนหายใจโล่งอก

“ ‘ทูตสวรรค์’ เคลื่อนไหวแล้ว เจ้าคอยช่วยสนับสนุนอย่างเต็มกำลัง!”

เสียงจากหมอกแสงขมุกขมัวดังมาเช่นนี้แล้วก็เงียบหายไป

“ทูตสวรรค์!” ม่านตาของสมาชิกในโถงใหญ่หดเล็กลง ราวกับนึกถึงเรื่องที่น่าหวาดกลัวขึ้นมาได้

“คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่ ‘ทูตสวรรค์’ ก็ออกโรงแล้ว!” จอมเทพป้าหลงสูดลมหายใจเข้าลึก

‘ทูตสวรรค์’ คือผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่แห่งนั้น โดยปกติแล้วจะไม่ปรากฏตัวขึ้นถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอะไรในยุทธภพ

แต่ครั้งนี้ ทูตสวรรค์กลับเคลื่อนไหว!

“จ้าวเฟิง ข้าจะดูซิว่าเจ้าจะหนีไปไหน?” นัยน์ตาของจอมเทพป้าหลงฉายแววเหี้ยมเกรียม ร่างหายไปในเพลิงมังกรสีแดงเข้ม

……

อีกด้านหนึ่ง จ้าวเฟิงที่หนีไปได้อย่างปลอดภัย หลังจากที่บินมาได้ระยะหนึ่งก็หาเซี่ยโหวอู่และหานหนิงเอ๋อร์ไม่พบ ด้วยเหตุนี้เขาจึงตัดสินใจใช้ ‘ส่งวิญญาณ’ กลับไปยังเผ่าพันธุ์วิญญาณ

เขานั่งขัดสมาธิในท้องฟ้า จากนั้นเข้าสู่ห้วงนิทรา

ครั้งนี้ สถานที่ที่จ้าวเฟิงคิดไว้ในใจคือที่พักอาศัยของเขาในเผ่าพันธุ์วิญญาณ

การใช้ส่งวิญญาณ หากทิวทัศน์ของสถานที่ที่คิดไว้เปลี่ยนไปก็จะล้มเหลว เขาเชื่อว่าที่อาศัยของตัวเองไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอะไร

ณ เผ่าพันธุ์วิญญาณ

วู้ม! ตำหนักแห่งหนึ่งในพื้นที่ของศิษย์คนสำคัญ จู่ๆ พลันมีประกายแสงมายาที่บิดเบี้ยวกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นเงาร่างหนึ่งก็ปรากฏอยู่ข้างใน

“กลับมาแล้ว!” จ้าวเฟิงลืมตาทั้งสองข้าง สีหน้าท่าทางค่อนข้างยินดี

เขาออกไปจากที่พัก มุ่งไปยังพื้นที่ต้องห้ามของเผ่าพันธุ์วิญญาณเพื่อรายงานผู้อาวุโสที่สองก่อน ถึงอย่างไรตนก็ไปจากเผ่าพันธุ์วิญญาณนานช่วงหนึ่งแล้ว

“จ้าวเฟิง เจ้ากลับมาแล้ว!”

ผู้อาวุโสที่สองตกใจเป็นอย่างยิ่ง

ในยามที่เขาได้รู้ข่าวลือเกี่ยวกับจ้าวเฟิงและเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ก็เป็นกังวลมาโดยตลอด

แปดเนตรเทพเจ้าในโลกนี้ ในสายตาของผู้คนล้วนเป็นสัญลักษณ์ของราชาเทพผู้ปกครอง เป็นผู้แข็งแกร่งสูงสุดแห่งดินแดนเทพรกร้าง แต่เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าที่ปรากฏขึ้นใหม่ยังพัฒนาได้ไม่ถึงขั้นนั้น

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลายขั้วอำนาจเลือกดึงจ้าวเฟิงไปเป็นพวกหรือผูกมิตรไว้แต่ขั้วอำนาจส่วนมาก บางทีอาจเลือกที่จะแย่งชิงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าไป!

ได้ครอบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า เทียบเท่ากับการมีโอกาสเป็นจอมเทพในระดับหนึ่ง นี่เป็นความเย้ายวนใจอย่างที่สุดสำหรับทุกคน โดยเฉพาะจอมเทพขั้นสองและขั้นสาม

ในตอนนั้น หลังจากที่จ้าวเฟิงหายตัวไป ผู้อาวุโสที่สองเคยเข้าใจว่าจ้าวเฟิงตายไปแล้วจากการลอบทำร้ายของคนอื่น แต่ดีที่จ้าวเฟิงกลับมาอย่างปลอดภัย

“หยูเฟยเป็นเช่นไรบ้าง?” จ้าวเฟิงถามอย่างเป็นกังวล

“หลังจากนางรู้เรื่องนี้ก็ขยันฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตาย พูดว่าจะปกป้องเจ้าอะไรนี่ล่ะ!” ผู้อาวุโสที่สองหัวเราะพลางส่ายหน้า

จิตใจของจ้าวเฟิงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น เขายิ้มบางๆ ขึ้น

ข่าวของเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าเล็ดลอดออกไป นับเป็นเรื่องยุ่งยากจริงๆ

ยกตัวอย่างเช่นจอมเทพป้าหลงก่อนหน้านี้ ก็แอบหมายตาเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า จึงลงมือกับจ้าวเฟิง เรื่องเช่นนี้ ในภายภาคหน้าต้องมีไม่น้อยแน่นอน

จ้าวเฟิงในตอนนี้พูดได้ว่าคือตัวปัญหา เป็นเคราะห์ร้าย ถ้าผู้คนไม่หวาดผวาก็คิดช่วงชิง แต่จ้าวหยูเฟยกลับกังวลในสิ่งที่จ้าวเฟิงกังวล คิดพยายามที่จะแข็งแกร่งขึ้น แล้วเผชิญหน้าไปด้วยกันกับเขา

“เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ใครก็อย่าฝันว่าจะช่วงชิงไปได้!”

แววตาของจ้าวเฟิงมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

การได้เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามาเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขาจริงๆ แต่เขาก็ต้องแบกรับกับความเสี่ยงนี้เช่นกัน

“ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น จนถึงขั้นที่ทุกคนไม่กล้าคิดลงมือกับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า!”

จิตกระหายต่อสู้ในใจของจ้าวเฟิงลุกโชน เขาจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วเพื่อความอยู่รอดของตนเอง

ผู้อาวุโสที่สองพูดได้ถูกต้อง คนที่ปรารถนาในเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าไม่ใช่เพียงแค่จอมเทพขั้นสองเท่านั้น ยังมีขั้นสามอีกด้วย!

“ผู้อาวุโสมีเคล็ดวิชาฝึกฝนสำหรับจอมเทพขั้นหนึ่งขึ้นไปหรือไม่?”

จ้าวเฟิงถามขึ้น

‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ฝึกได้ถึงแค่ขั้นหนึ่งสุดยอดเท่านั้น ถึงแม้จะไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาก็สามารถก้าวหน้าไปได้อย่างช้าๆ หรือค่อยๆ คิดค้นขึ้นเองก็ได้

แต่ทำเช่นนี้สิ้นเปลืองเวลามากไป เป็นอุปสรรคร้ายแรงต่อเป้าหมายที่จ้าวเฟิงอยากจะพัฒนาขึ้นโดยเร็ว

“ในเผ่ามีเคล็ดวิชาที่สามารถฝึกฝนถึงขั้นสองขั้นสามอยู่ชุดหนึ่ง แต่ก็เหมาะสมกับสายเลือดเผ่าพันธุ์วิญญาณเท่านั้น!”

ผู้อาวุโสที่สองส่ายหน้า

จ้าวเฟิงไม่แปลกใจกับข้อจำกัดนี้ เหตุที่จอมเทพมีน้อยเช่นนี้ เพราะในระดับหนึ่งเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาด้วย เคล็ดวิชาที่เหมาะกับตนหายากมาก ส่วนเคล็ดวิชาที่ไม่เหมาะสมก็จะส่งผลกระทบต่อศักยภาพในอนาคต

หลังจากสนทนากันครู่หนึ่ง จ้าวเฟิงก็กลับไปยังที่พักของตน

‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ ในตอนนี้ยังพอประคับประคองให้เขาฝึกฝนต่อไปได้

ภายในชุดคลุมมิติ จ้าวเฟิงเข้าสู่สภาวะปิดด่าน เขาเพิ่งทะลวงขั้นจอมเทพ ถึงแม้รากฐานพลังจะมั่นคง แต่ก็ยังค่อนข้างฉุกละหุกอยู่

ข้างในชุดคลุมมิติ เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในช่วงระยะนี้จ้าวเฟิงล้วนแต่ทำระดับพลังฝึกตนให้มั่นคง ในกายของเขา บนแท่นเทวะที่มืดหม่นเต็มไปด้วยลวดลายแปลกประหลาด ทั้งยังส่องประกายวูบวาบเป็นครั้งคราว

ตอนนี้แท่นเทวะของจ้าวเฟิงมั่งคงกว่าในตอนแรกที่ทะลวงขั้นมาก

ในตอนนี้เอง จ้าวหยูเฟยก็มาหาเขา

“พี่เฟิง ดีจริงๆ ที่ท่านไม่เป็นอะไร!”

จ้าวหยูเฟยโถมตัวเข้ามาหา ใบหน้างามแนบชิดไปกับอกของจ้าวเฟิง

ที่ดินแดนทวีป นางก็สงสัยตัวตนเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าของจ้าวเฟิงอยู่ แต่หลังจากมาถึงดินแดนเทพรกร้างแล้วรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของเนตรเทพเจ้าแล้ว นางก็ล้มเลิกความคิดนี้ไป

แต่คิดไม่ถึงจ้าวเฟิงจะครอบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าจริงๆ

“อีกไม่นานเท่าไหร่ข้าก็จะถึงขั้นครึ่งก้าวสู่จอมเทพ ยิ่งเมื่อมี ‘โสมปราณเทพ’ ก็สามารถทะลวงขั้นจอมเทพได้แล้ว!” จ้าวหยูเฟยพูดอย่างจริงจัง

ตอนนี้นางเป็นขั้นเก้าสุดยอดแล้ว แต่แค่นี้ยังไม่พอ นางรีบร้อนอยากยกระดับขอบเขตพลัง จะได้ช่วยเหลือจ้าวเฟิงได้

“เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ข้าปกป้องตัวเองได้!”

จ้าวเฟิงกอดสาวงามในอ้อมแขนไว้แน่น จิตกระหายต่อสู้ในใจยิ่งแรงกล้า

ข่าวที่เขากลับมาถูกเก็บเป็นความลับไว้อย่างเข้มงวด ไม่ได้แพร่งพรายออกไปดังนั้นจ้าวเฟิงจึงออกไปข้างนอกน้อยมากเช่นกัน ส่วนจ้าวหยูเฟยพักอยู่ที่นี่ช่วงระยะหนึ่งก็กลับไป

“ต่อไปก็สามารถสร้างอาณาจักรเทพได้แล้ว!”

จ้าวเฟิงปิดด่านฝึกตนต่อ

อาณาจักรเทพ มีเพียงจอมเทพที่มีกฎเกณฑ์เท่านั้นจึงจะสร้างได้

มิติอาณาจักรเทพผสานกับดินแดนเทพรกร้างได้กลมกลืนเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งยิ่งพิเศษเฉพาะกว่า สามารถเพาะปลูกของล้ำค่าชนิดต่างๆ และเลี้ยงสัตว์วิเศษได้

มิติอาณาจักรเทพแข็งแรงทนทานเกินจะเปรียบ ผู้แข็งแกร่งขั้นจอมเทพระดับเดียวกันบุกฝ่าเข้ามาได้ยาก

หากพูดว่าแท่นเทวะคือต้นกำเนิดพลังของจอมเทพ

เช่นนั้นอาณาจักรเทพก็คือต้นกำเนิดพลังแห่งที่สอง ในอาณาจักรเทพสามารถกักเก็บพลังให้ผู้ครอบครองเรียกใช้ได้

เช่นเดียวกัน อาณาจักรเทพที่แข็งแกร่งเช่นนี้ก็สามารถใช้เป็นกลอุบายต่อสู้ได้ด้วย เพียงแต่จอมเทพทั่วไป หากไม่เจอวิกฤตอันตรายถึงชีวิต ล้วนไม่มีทางเอาอาณาจักรเทพออกมา

การสร้างอาณาจักรเทพยากเย็นยิ่งนัก จอมเทพต่างใช้เวลาและสิ่งแลกเปลี่ยนมหาศาลเพื่อสร้างขึ้น

“ทรัพยากรในมือของข้าสามารถสร้างอาณาจักรเทพได้แห่งหนึ่ง แต่ด้านเวลา…”

จ้าวเฟิงใคร่ครวญ

ตามที่เขารู้มา จอมเทพทั่วไปสร้างอาณาจักรเทพต้องใช้เวลาหลายพันหรือกระทั่งหลายหมื่นปี ช่วงระยะเวลานี้ สำหรับจอมเทพทั่วไปนั้นไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับจ้าวเฟิงกลับยาวนานนัก

ทันใดนั้น จ้าวเฟิงก็นึกถึงงานประมูลของอาณาจักรเทพก่อนหน้านี้

ในตอนนั้นมีอาณาจักรเทพแห่งหนึ่งถูกประมูลไปด้วยราคาสูงหลายร้อยล้าน นั่นก็เพราะอาณาจักรเทพแห่งนั้นสามารถหล่อหลอมให้เป็นอาณาจักรเทพของตนเองได้ ถึงแม้ความสอดคล้องจะไม่สูงมาก แต่ก็ประหยัดเวลาและทรัพยากรไปได้มหาศาล

“หล่อหลอมอาณาจักรเทพง่ายกว่าสร้างอาณาจักรเทพมากนัก!”

จ้าวเฟิงอดคิดขึ้นมาไม่ได้

ผลึกเทพระดับสูงของเขาก็มีไม่น้อย บางทีอาจจะพิจารณาซื้ออาณาจักรเทพมาสักแห่ง แต่ว่าคิดอยากจะหาอาณาจักรเทพที่เหมาะสมกับตนนั้นก็ยากยิ่งนัก

“หืม? ห้วงฝันบรรพกาลนับเป็นอาณาจักรเทพหรือไม่?”

จู่ๆ จ้าวเฟิงก็นึกขึ้นได้ว่าในดวงตาเทพเจ้าของเขามีมิติพิเศษอยู่แห่งหนึ่ง

ห้วงฝันบรรพกาลเชื่อมกับเนตรเทพมายา เหมาะกับเนตรเทพเจ้าประเภทนี้อย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งโครงสร้างของห้วงฝันบรรพกาลก็ไม่ใช่มิติทั่วไป โครงสร้างของมันไม่ต่างอะไรกับดินแดนเทพรกร้างนัก แต่ทว่า อาณาจักรเทพของเผ่าแสงที่จ้าวเฟิงเคยเข้าไปในตอนนั้น เหมือนว่าห้วงฝันบรรพกาลจะใหญ่กว่ามาก

“ลองดูก็แล้วกัน!” คิดถึงตรงจุดนี้ จ้าวเฟิงค่อนข้างตื่นเต้น และตัดสินใจลองดูก่อน

หากสามารถเปลี่ยนห้วงฝันบรรพกาลให้เป็นอาณาจักรเทพของตนได้ เช่นนั้นอาณาจักรเทพแห่งนี้จะเหมาะกับตัวเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องศักยภาพในอนาคต และยังสามารถประหยัดเวลาได้อีกด้วย

ขวับ! ร่างของจ้าวเฟิงหายวับเข้าไปในห้วงฝันบรรพกาล

พื้นที่ของเผ่าพันธุ์กิเลนเพลิงโลหิต จ้าวเฟิงเข้าสู่การปิดด่าน

วู้ม! พลังวิญญาณของเขาออกจากร่าง ก่อนผสานไปในฟ้าดิน

เสี้ยวขณะนี้ จ้าวเฟิงรู้สึกว่าทุกอย่างทั่วบริเวณหลายแสนลี้อยู่ในการควบคุมของตนเอง ในขอบเขตนี้ เขาคิดอยากสังหารใครก็เป็นเรื่องชั่วความคิดเดียวเท่านั้น

วู้ม! เจตจำนงดวงตาของเขาพวยพุ่งออกไป ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับพลังวิญญาณ กลายเป็นเนตรสวรรค์ใหญ่มหึมาดวงหนึ่ง

ในตอนนี้ ความรู้สึกที่ควบคุมทุกอย่างได้ยิ่งรุนแรงขึ้น ขอบเขตของมันก็เพิ่มอีกหลายสิบเท่า

“น่าจะทำได้!” จ้าวเฟิงมีความรู้สึกแรงกล้าเช่นนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version