บทที่ 1468 มหาสมุทรเพลิงสวรรค์
ในตอนที่เขากระตุ้นเนตรเทพมายาผสานเข้าไปในฟ้าดินของห้วงฝันบรรพกาล เขารู้สึกว่าระหว่างห้วงฝันบรรพกาลและเนตรเทพมายามีความสัมพันธ์กันบางอย่าง
ตอนนี้ ขอบเขตห้วงฝันบรรพกาลที่เขาควบคุมอยู่ไม่ได้ขยายเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าเท่านั้น กระทั่งที่ที่ไกลยิ่งกว่าเขาก็สามารถรับรู้ได้ เพียงแต่พลังการควบคุมไม่แข็งแกร่งนัก
“หากจะเปลี่ยนห้วงฝันบรรพกาล เริ่มจากเนตรเทพเจ้าน่าจะง่ายกว่าหน่อย!”จ้าวเฟิงใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ตัดสินใจได้
ฟุ่บ! เขาลุกขึ้น บินไปยังห้วงฝันบรรพกาลให้ลึกขึ้นทันที
จนเมื่อถึงกลางทาง หลังจากที่ได้เจอเผ่าพันธุ์บรรพกาลที่แข็งแกร่งขั้นจอมเทพไม่น้อย จ้าวเฟิงจึงค่อยชะลอความเร็วลง
ในตอนที่เขาผ่านหุบเขาหนาวเหน็บแห่งหนึ่ง อุณหภูมิในหุบเขาลดลงอย่างรวดเร็ว
“มนุษย์ กล้ารุกล้ำอาณาเขตของข้างั้นรึ!”
เสียงเย็นยะเยือกลอยมาจากหมอกเย็นเยียบขมุกขมัว ไอเย็นเยือกกลุ่มนั้นล่วงล้ำเข้ามาในวิญญาณของจ้าวเฟิง
วู้ม แซ่ด แซ่ด! ลวดลายอัสนีปะทุขึ้นในกายวิญญาณของจ้าวเฟิงในชั่วพริบตา พลังหนาวเหน็บถูกกระเทือนจนแหลกละเอียดทันที
วูบ! ในตอนนี้เอง เงาวิญญาณสีขาวเทาปรากฏขึ้นเบื้องหน้าจ้าวเฟิง
“เผ่าเจตภูตเหมันต์ อันดับที่สี่สิบสี่ของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ!”
จ้าวเฟิงจำเผ่าพันธุ์บรรพกาลเบื้องหน้าได้ในแวบแรก
เผ่าเจตภูตเหมันต์คล้ายกับเผ่าวิญญาณบรรพกาล เป็นเผ่าพันธุ์ด้านวิญญาณเช่นกัน ในกายวิญญาณของเผ่าพันธุ์นี้แฝงไว้ด้วยพลังเหมันต์ มีพร้อมทั้งโจมตีและป้องกัน
เผ่าเจตภูตเหมันต์เบื้องหน้าตนนี้คือจอมเทพขั้นหนึ่ง การโจมตีศาสตร์วิญญาณกระทั่งสามารถคุกคามจอมเทพขั้นหนึ่งสุดยอดได้
“ไสหัวไป!” พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงพวยพุ่งขึ้นฟ้า ผสานไปในห้วงฝันบรรพกาล
เสี้ยวขณะนี้ จ้าวเฟิงควบคุมฟ้าดินเอาไว้
ภายใต้พลังฟ้าดิน พลังของจ้าวเฟิงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ส่วนผู้แข็งแกร่งเผ่าเจตภูตเหมันต์ถูกกดข่มอย่างมาก
ครืน! พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งกลุ่มนั้นพวยพุ่งออกมา ผู้แข็งแกร่งเผ่าเจตภูตเหมันต์ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปนอกหุบเขาแห่งนี้
“อยู่สร้างใจกลางของอาณาจักรเทพที่นี่แล้วกัน!”
หลังจากตัดสินใจเช่นนี้ เจตจำนงดวงตาในกายของเขากระจายออกไป หลอมเข้ากับพลังวิญญาณ แล้วก่อเป็นเนตรสวรรค์ขึ้นข้างหนึ่ง
วู้ม วู้ม~ จ้าวเฟิงขับเคลื่อนพลังเทพในแท่นเทวะ ผสานพลังวิญญาณแทรกซึมเข้าไปในมิติรอบด้าน
“ง่ายดายนัก!” สีหน้าของจ้าวเฟิงฉายแววประหลาดใจ
เวลาที่หลอมสร้างอาณาจักรเทพค่อนข้างสั้น ทว่านั่นก็เท่ากับการสร้างเค้าอาณาจักรเทพขึ้นเท่านั้น
แต่เมื่อครู่ จ้าวเฟิงกลับพบว่าพลังเทพและพลังวิญญาณของเขาแทรกซึมเข้าไปในมิตินี้ได้ง่ายดาย อีกทั้งยังผสานรวมกันอีกด้วย
“ต่อไป!” จ้าวเฟิงดีใจเป็นอย่างมาก จัดการหลอมสร้างต่อไป
ถึงแม้ขั้นตอนจะค่อนข้างสบาย แต่พื้นที่ของห้วงฝันบรรพกาลกว้างใหญ่กว่าอาณาจักรเทพทั่วไปมาก
วันเวลาต่อมา จ้าวเฟิงก็ยังดำเนินการยึดครองห้วงฝันบรรพกาลอยู่ที่นี่
ขั้นตอนการยึดครองมีเงื่อนไขด้านการควบคุมพลังวิญญาณค่อนข้างสูง โดยพื้นฐานมันก็คือการขัดเกลาพลังวิญญาณนั่นเอง
เวลาครึ่งปี พลังวิญญาณของจ้าวเฟิงก็ถึงจอมเทพขั้นหนึ่งสุดยอดได้อย่างราบรื่น
และพื้นที่ที่เขายึดครองได้ก็แทบจะกินพื้นที่หนึ่งในสิบของทั่วทั้งห้วงฝันบรรพกาลแล้ว
พื้นที่หนึ่งในสิบนี้ล้วนอยู่ในการควบคุมของจ้าวเฟิง
ส่วนจ้าววั่นนำกองทัพในห้วงฝันบรรพกาลมาถึงยังที่นี่ จากนั้นตั้งถิ่นฐานขึ้นใหม่
พื้นที่ที่จ้าวเฟิงยึดครองได้ โดยสรุปแล้วก็นับว่าเป็นใจกลางของห้วงฝันบรรพกาลเช่นกัน ด้านไอสวรรค์และทรัพยากรล้วนดีกว่าที่ก่อนหน้านี้ อีกทั้งจ้าวเฟิงยังวางแผนจะสร้างศูนย์กลางของอาณาจักรเทพที่นี่
หลังจากนั้นสองปี โดยพื้นฐานแล้วห้วงฝันบรรพกาลถูกยึดครองไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ในวันนี้จ้าวเฟิงหยุดการหลอมสร้าง แล้วพักผ่อนชั่วครู่
การใช้พลังวิญญาณยึดครองห้วงฝันบรรพกาลติดต่อกันไม่หยุด ส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก
ในตอนที่หยุดชั่วคราว จ้าวเฟิงก็ไปสำรวจหาของล้ำค่าในเขตพื้นที่ที่เขายึดครองได้สำเร็จ
เขาครอบครองมรดกน้อยใหญ่ทั้งหลายเป็นของตนเองทั้งหมด
มรดกพวกนี้แทบจะไม่มีของที่จ้าวเฟิงต้องการ แต่สามารถมอบให้กองทัพห้วงฝันบรรพกาลของเขาใช้ฝึกฝนและเพิ่มพลังของพวกเขา
สำหรับของล้ำค่าบางชนิด จ้าวเฟิงเริ่มแบ่งพื้นที่ทำการเพาะปลูกพวกมัน
ผ่านไปอีกหลายวัน จ้าวเฟิงก็ออกจากห้วงฝันบรรพกาล กลับมายังเผ่าพันธุ์วิญญาณ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” จากการกวาดประสาทสัมผัสเทพ จ้าวเฟิงพบว่าลูกศิษย์คนสำคัญเผ่าพันธุ์วิญญาณน้อยลงกว่าที่ผ่านมามาก
บรรยากาศของทั่วทั้งเผ่าค่อนข้างแปลกประหลาด
จ้าวเฟิงมาหาผู้อาวุโสสองยังพื้นที่ต้องห้าม
“ข่าวที่เจ้ากลับมายังเผ่าพันธุ์วิญญาณน่าจะแพร่งพรายออกไปแล้ว…”
ผู้อาวุโสสองทอดถอนใจ
ที่แท้ข่าวที่จ้าวเฟิงกลับมายังเผ่าพันธุ์วิญญาณ ไม่รู้ว่าถูกหน่วยข่าวกรองบางแห่งสืบพบได้อย่างไร
เขตเทพสวรรค์รวมถึงเขตใหญ่รอบๆ ขั้วอำนาจมากมายให้ความสนใจทั้งต่อหน้าและลับหลัง
พวกเขาไม่มีทางโจมตีเผ่าพันธุ์วิญญาณอย่างโจ่งแจ้ง แต่จะแอบเล่นเล่ห์กลบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นสังหารลูกศิษย์เผ่าพันธุ์วิญญาณที่ออกไปข้างนอก เพื่อให้ได้ข่าวเกี่ยวกับจ้าวเฟิง
กระทั่งในช่วงระยะนี้ มีผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยพยายามจะแทรกซึมเข้ามาในเผ่าพันธุ์วิญญาณ
เผ่าพันธุ์วิญญาณสืบเจอคนประเภทนี้ได้ไม่น้อย แต่ก็อาจจะมีบางส่วนที่สืบไม่เจอ
จ้าวเฟิงไม่ได้พูดอะไร สีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เผ่าพันธุ์วิญญาณจะถูกลดทอนกำลัง ใช้พลังไปทีละนิดๆ กระทั่งจนอ่อนแอในระดับหนึ่งก็อาจจะเกิดเหตุการณ์ครั้งใหญ่ได้
เผ่าพันธุ์วิญญาณเพิ่งผ่านสงครามใหญ่มา ไม่ง่ายเลยกว่าจะฟื้นฟูและพัฒนาต่อไปได้
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้ขั้วอำนาจอื่นไม่ลงมือ สุดท้ายเผ่าเปลวทองก็จะลงมืออยู่ดี
“ผู้อาวุโสสอง ช่วงนี้ข้าจะออกเดินทางฝึกฝน” จ้าวเฟิงพูดอย่างแน่วแน่
“จ้าวเฟิง ไม่ได้เด็ดขาด หากเจ้าไปจากเผ่าพันธุ์วิญญาณมันอันตรายเกินไป!”ผู้อาวุโสที่สองเปลี่ยนสีหน้าไป
จ้าวเฟิงเป็นคนของเผ่าพันธุ์วิญญาณ อีกทั้งเขายังครอบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า หากพัฒนาได้อย่างราบรื่น ในภายภาคหน้าก็จะกลายเป็นจอมเทพผู้ปกครอง ต่อให้เผ่าพันธุ์วิญญาณไม่อาจกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยเหตุนี้ แต่ก็ยังได้ผลประโยชน์มหาศาลจากความสัมพันธ์ของจ้าวหยูเฟยและจ้าวเฟิง
ดังนั้นท่าทีของเผ่าพันธุ์วิญญาณจึงเป็นการปกป้องจ้าวเฟิง แต่เผ่านี้ก็ปกป้องจ้าวเฟิงไม่ได้
ผู้อาวุโสสองมองออก จ้าวเฟิงไม่อยากทำให้ทางเผ่าเดือดร้อนไปด้วย จึงตัดสินใจทำเช่นนี้
“ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดก็ต้องเดินผ่านทางที่เต็มไปด้วยขวากหนาม อาบไปด้วยเลือดทั้งนั้น!” จ้าวเฟิงพูดอย่างสงบ
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะอยู่ที่เผ่าพันธุ์วิญญาณโดยตลอด อีกทั้งผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงไม่ได้มาจากการปิดด่านฝึกตน แต่มาจากการสังหาร!
ภายนอกมีคนไม่รู้เท่าไหร่อยากจะชิงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าของเขา
เช่นนั้นจ้าวเฟิงก็จะไม่เกรงใจแล้ว พวกที่คิดชิงเนตรเทพเจ้าของเขาต้องกลายเป็นหินปูทางให้เขาเหยียบผ่าน ช่วยให้เขาพัฒนาและแข็งแกร่งไปอย่างรวดเร็ว
“อีกทั้งข้าจะต้องไปตามหาแมวขโมยน้อยด้วย!”
จ้าวเฟิงค่อนข้างจนปัญญาอยู่บ้าง
ในตอนนั้นที่เนตรเทพเจ้าของเขาตื่นขึ้นแล้วดำดิ่งสู่ห้วงนิทรา ตนใช้พลัง ‘ส่งวิญญาณ’ กลับไปยังดินแดนทวีป แต่กลับลืมแมวขโมยน้อยเอาไว้
แมวขโมยน้อยเป็นแมวความลับสวรรค์ หากคนที่รู้ความลับเรื่องแมวความลับสวรรค์ล่วงรู้เข้า จะต้องเผชิญกับอันตรายแน่
แน่นอน จ้าวเฟิงรู้สึกว่าเจ้าแมวขโมยจะต้องอยู่ดีเป็นสุขกว่าเขาแน่นอน
“เช่นนั้นก็ได้ เจ้าระวังตัวด้วย!”
ผู้อาวุโสที่สองไม่อาจโต้เถียงคำพูดของจ้าวเฟิงได้ กระทั่งค่อนข้างนับถือจิตใจของจ้าวเฟิงด้วยซ้ำ
ครั้นกลับมายังที่อาศัย เก็บของเตรียมตัว เขาก็แอบออกไปจากเผ่าพันธุ์วิญญาณ
ด้วยระดับขั้นของจ้าวเฟิง นอกเสียจากจะเป็นจอมเทพขั้นสองที่เชี่ยวชาญศาสตร์วิญญาณหรือมิติ มิฉะนั้นแล้วก็ยากจะพบร่องรอยของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางมีจอมเทพขั้นสองมาคอยเฝ้าดูหรืออำพรางกายอยู่บริเวณเผ่าพันธุ์วิญญาณด้วยตนเอง
จ้าวเฟิงจึงไปจากเผ่าพันธุ์วิญญาณอย่างราบรื่นโดยไม่มีใครพบ
หลังจากที่เขาไปได้ครึ่งเดือน ผู้อาวุโสที่สองถึงได้เผยข่าวที่จ้าวเฟิงจากไปแล้วออกไป
แน่นอนว่านี่คือคำพูดที่จ้าวเฟิงสั่งเอาไว้
เมื่อปล่อยข่าวออกไป การพุ่งเป้าเล่นงานต่างๆ ที่เผ่าพันธุ์วิญญาณได้รับก็ลดน้อยลง
หลังจากนั้นสามเดือน จ้าวหยูเฟยออกจากการปิดด่าน เมื่อได้รู้ว่าจ้าวเฟิงไปจากเผ่าพันธุ์วิญญาณ นางก็ตัดสินใจออกเดินทางฝึกฝนเช่นกัน ถึงแม้ผู้อาวุโสสองจะทัดทานสุดกำลังก็ไม่สำเร็จ
เพราะจ้าวหยูเฟยรับปากไว้ นางไม่ได้ไปหาจ้าวเฟิง แต่ออกไปฝึกฝนหาประสบการณ์
เวลาที่จ้าวเฟิงออกไปจากเผ่าพันธุ์วิญญาณผ่านไปสามปีแล้ว
ข่าวการปรากฏตัวของจ้าวเฟิงมีให้ได้ยินโดยตลอด แต่เป็นเรื่องจริงหรือข่าวลวงก็ไม่อาจรู้ได้
เขตลำนำดารา ณ ‘มหาสมุทรเพลิงสวรรค์’ พื้นที่ต้องห้ามที่อันตรายอย่างยิ่ง
ทุกที่ที่อยู่ในครรลองสายตา บนพื้นฟ้าพื้นปฐพีล้วนเป็นไฟสีแดงทอง ราวกับจะเผาไหม้ไปทั่วทั้งผืนดิน สิ่งใดที่เข้าไปในนั้นล้วนถูกเปลวไฟมหาศาลกลืนกิน
ว่ากันว่า ในตอนนั้นมีจอมเทพขั้นสองคนหนึ่ง หลังจากที่เข้าไปใน ‘มหาสมุทรเพลิงสวรรค์’ ก็เจอกับเทพมารขั้นจอมเทพโจมตี ถึงแม้สุดท้ายจะสังหารเทพมารได้ แต่ตนเองกลับถูกเปลวไฟกัดกินจนสิ้น ถูกเผาไปทั่วทั้งร่าง ไม่อาจดับเปลวไฟได้ สุดท้ายก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรเพลิงสวรรค์ไป
วันนั้น ชายหนุ่มผมเงินเดินเข้ามาในมหาสมุทรเพลิงสวรรค์ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
คนคนนี้ก็คือจ้าวเฟิง
หลังออกมาจากเผ่าพันธุ์วิญญาณ จ้าวเฟิงก็มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามอันตรายของจอมเทพในเขตต่างๆ
เขตพื้นที่อันตรายประเภทนี้มีผู้คนเบาบาง คนที่อาจจะพบร่องรอยของเขาก็น้อย และจ้าวเฟิงสามารถยกระดับพลังของตนในพื้นที่ต้องห้ามเช่นนี้
สามปีที่ผ่านมา พื้นที่ต้องห้ามอันตรายสำหรับจอมเทพที่เขาไปมามีทั้งหมดห้าที่
มีพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘นรกวิญญาณเลือด’ ระดับความอันตรายสูงนัก จ้าวเฟิงรุกล้ำเข้าไปโดยไม่รู้รายละเอียด และเจอกับการโจมตีอย่างบ้าระห่ำจากเทพโลหิตมากมาย ในนั้นมีกระทั่งเทพโลหิตขั้นสามปรากฏตัวขึ้น ทำให้เขาต้องสำแดงวิชาที่แข็งแกร่งล่าถอยออกมา
หลังจากผ่านประสบการณ์ครั้งนี้ จ้าวเฟิงก็เก็บความประมาทในใจลงไป
ทั่วทั้งเขตเทพสวรรค์กว้างใหญ่เป็นอย่างยิ่ง ในนั้นมีพื้นที่อันตรายที่แม้แต่จอมเทพก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามรุกล้ำเข้าไปไม่น้อย
ครืน ฟู่!
ในมหาสมุทรเพลิงสวรรค์ จ้าวเฟิงมุ่งไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ตอนนี้เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับการฝึกกาย มหาสมุทรเพลิงสวรรค์จึงส่งผลกระทบต่อเขามากยิ่งนัก
“เปลวไฟนี้ค่อนข้างพิเศษทีเดียว!”
จ้าวเฟิงรู้สึกได้ถึงไฟสีแดงทองของมหาสมุทรเพลิงสวรรค์ อดครุ่นคิดขึ้นไม่ได้ ไฟนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก กระทั่งทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคย
ครืน! จู่ๆ ปลายฟ้าไกลก็แผ่ระลอกคลื่นร้อนแรงและแข็งแกร่งมา ท่ามกลางคลื่นเปลวเพลิงที่พวยพุ่ง วิหคเพลิงสีทองตัวหนึ่งโจมตีมาทันใด
ที่มหาสมุทรเพลิงสวรรค์ สรรพชีวิตที่อาศัยอยู่ในนี้สามารถสำแดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมาได้อย่างไม่ต้องสงสัย เสี้ยวขณะนี้ เปลวไฟรอบด้านราวกับเพิ่มขึ้นอย่างดุดัน สร้างความกดดันให้จ้าวเฟิงสูงมาก
“กระบี่เทพรวมศูนย์!” จ้าวเฟิงหลอมกระบี่ยาวสีเงินเล่มโตออกไปปะทะกับมัน
เป้าหมายของจ้าวเฟิงคือฝึกฝนตน ดังนั้นบางครั้งเขาจะเพิ่มข้อจำกัดให้ตัวเองเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการฝึกฝนที่ดีที่สุด
ครืน บึ้ม! พลังกระบี่เทพรวมศูนย์ที่แข็งแกร่งของจ้าวเฟิงวาดฟันไปเหนือวิหคเพลิงทอง
วิหคเพลิงตัวนั้นเป็นจอมเทพขั้นหนึ่ง เมื่ออยู่ในมหาสมุทรเพลิงสวรรค์ พลังที่สำแดงออกมาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่จ้าวเฟิงอาศัยเพียงแค่กระบี่เทพรวมศูนย์ก็เป็นฝ่ายได้เปรียบได้ นี่ก็คือผลลัพธ์ของการฝึกฝนในหลายปีที่ผ่านมานี้ของเขา
“เอ๋?” ในตอนนี้ จ้าวเฟิงพลันสัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติ
กระแสพลังรวมศูนย์ที่ผสมปนเปโอบล้อมร่างเขาทันที ปกปิดรูปลักษณ์ของเขาเอาไว้ข้างใน
ทันใดนั้น เงาแสงสีแดงปรากฏขึ้นกลางทะเลเพลิงเยื้องไปทางขวา
“ตายซะ!” เงาแสงสีแดงมาถึงเบื้องหน้าของจ้าวเฟิง ซัดฝ่ามือเพลิงขนาดมหึมาออกมา
แม้กระทั่งวิหคเพลิงที่ประจันหน้ากับจ้าวเฟิงยังตกใจจนจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
‘หรือจะมีคนเจอร่องรอยของข้าแล้ว?’ แววตาของจ้าวเฟิงเคร่งเครียด
ตามหลักแล้วเป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้ที่เขาเข้ามาในมหาสมุทรเพลิงสวรรค์ก็ไม่พบอะไร แต่กลับมาเจอการโจมตีสังหารของจอมเทพที่ใจกลางมหาสมุทรเพลิงสวรรค์เสียได้