บทที่ 1471 ร่วมมือกันโจมตี
“เศษเสี้ยวนรกเพลิง!” จ้าวเฟิงตกตะลึง อดคิดถึงของล้ำค่ารองอันดับสุดท้ายก่อนปิดการประมูลในอาณาจักรเทพก่อนหน้านี้ไม่ได้ หรือก็คือเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนนรกเพลิงนั่นเอง
ตอนนั้นเศษเสี้ยวอาวุธนรกเพลิงประมูลออกไปด้วยราคาสูงลิ่วถึงหนึ่งร้อยสิบล้านคิดไม่ถึงว่ามหาสมุทรเพลิงสวรรค์แห่งนี้จะซ่อนเศษเสี้ยวนรกเพลิงไว้ชิ้นหนึ่งด้วย
ถึงแม้จ้าวเฟิงจะมีเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนชิ้นหนึ่งแล้ว แต่ของล้ำค่าประเภทนี้ ใครจะรังเกียจว่ามีเยอะกันเล่า
หากพูดถึงการโจมตี เศษเสี้ยวนรกเพลิงมีพลังล้ำหน้ากว่าเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนประเภทเวลาในมือจ้าวเฟิงนัก
“ตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร?” จ้าวเฟิงเริ่มสนใจเรื่องนี้ ถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น
“คนที่พบเห็นเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนก่อนคือหอหงส์เพลิง ข้างในมีสายของสำนักวายุลมกรดที่เป็นขั้วอำนาจปฏิปักษ์อยู่ ดังนั้นสำนักวายุลมกรดก็เลยรู้เรื่องนี้เช่นกัน ตอนนี้สองขั้วอำนาจที่ช่วงชิงเศษเสี้ยวนรกเพลิงดุเดือดที่สุดก็คือหอหงส์เพลิงและสำนักวายุลมกรด” ถังไป๋ยิ้มพูดขึ้น
เนื่องจากพบเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนคือเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ รวมกับที่รายงานข่าวค่อนข้างจะเป็นความลับ แดนศักดิ์สิทธิ์ของเขตลำนำดาราจึงยังไม่รู้เรื่อง ต่อให้รู้ก็ไม่มีทางไล่ตามมาได้เร็วเช่นนี้
ภายในหนึ่งเดือนมานี้ หอหงส์เพลิงและสำนักวายุลมกรดพยายามผูกสัมพันธ์กับผู้แข็งแกร่งทั้งหลาย ทั้งยังกระตือรือร้นติดต่อจอมเทพที่เร้นกายไม่สนใจเรื่องทางโลกบางคน โดยใช้ค่าตอบแทนมหาศาลเชิญให้พวกเขาออกหน้าช่วยเหลือ
ยกตัวอย่างเช่นจอมเทพจวี้หลิง เขาก็ไม่ใช่คนของหอหงส์เพลิงเช่นกัน แต่เป็นกัลยาณมิตรคนหนึ่งของหอหงส์เพลิงในกาลก่อน
“แต่เดิมมีแค่สองขั้วอำนาจนี้ที่แย่งชิงเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน แต่เพราะพวกเขาแข็งกร้าวเกินไป ท่าทีที่มีต่อผู้แข็งแกร่งจากข้างนอกคือหากไม่ยอมศิโรราบก็สังหาร ดังนั้นข้าจึงดึงสมาชิกพวกนี้มาเป็นพวก สร้างเป็นขั้วอำนาจที่สาม!”
ถังไป๋เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ค่อนข้างภูมิใจในตัวเอง
หอหงส์เพลิงและสำนักวายุลมกรดมีท่าทีแข็งกร้าว ข้อผูกมัดมากมาย ต่อให้ได้เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนมา คนที่ถูกบังคับให้เข้าร่วมก็ยากจะได้ประโยชน์อะไร
แต่กลุ่มที่ถังไป๋รวมขึ้นในตอนนี้ค่อนข้างมีอิสระ ไม่มีข้อบังคับ มีเพียงเงื่อนไขเดียวคือเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูให้ร่วมแรงร่วมใจกันก็พอ นอกจากนั้น หากกลุ่มของถังไป๋ได้เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนไป เศษเสี้ยวชิ้นนี้จะตกเป็นของใครก็ดูที่ความสามารถ
กฎที่ตั้งขึ้นโดยเข้ากับความต้องการของมนุษย์เช่นนี้ ทำให้ถังไป๋ดึงคนจำนวนไม่น้อยเข้าเป็นพวกได้ง่ายยิ่งนัก
แน่นอน ยังมีสาเหตุที่ขาดไปไม่ได้อีกสาเหตุหนึ่ง นั่นก็คือฐานะของถังไป๋
“เจ้าคือเผ่าผนึกเทพกระมัง?” จ้าวเฟิงมองไปยังถังไป๋ พูดโพล่งออกมา
หากเป็นคนไร้ชื่อเสียงจะมีจอมเทพคนอื่นติดตามได้อย่างไร อีกทั้งจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้ถังไป๋จะไม่ได้ทำเต็มที่ เพียงแค่ลงมือไปตามอารมณ์เท่านั้น แต่จ้าวเฟิงก็มองออกว่าพลังของเขาไม่ธรรมดาเลย
“ใช่แล้ว ข้าเป็นคนของเผ่าผนึกเทพที่ออกเดินทางฝึกตน แล้วบังเอิญมาถึงที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะเจอกับเรื่องดีๆ เช่นนี้!”
พัดจีบในมือถังไป๋กางออกพัดเบาๆ
เผ่าผนึกเทพคืออันดับที่สิบสี่ของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ วิชาผนึกของพวกเขา ต่อให้เป็นเผ่าพันธุ์ที่อยู่อันดับต้นๆ ก็ยังต้องปวดหัว
อีกทั้งจ้าวเฟิงเข้าร่วมกลุ่มของถังไป๋ชั่วคราวยังได้เคล็ดวิชาลับเผ่าผนึกเทพอันลึกล้ำอีกด้วย คิดอย่างไรก็ได้กำไร
“ทุกท่าน ข้าว่าอีกไม่นานเท่าไหร่เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนก็จะปรากฏขึ้น ต่อให้ไม่ออกมา หอหงส์เพลิงและสำนักวายุลมกรดก็จะบีบให้มันออกมา เพราะฉะนั้นจงเตรียมตัวให้พร้อมทุกเมื่อเถิด!”
ถังไป๋มองไปยังทุกคน สีหน้าจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
ทุกคนรู้เรื่องของเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนมาหนึ่งเดือนแล้ว
ต่อให้เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนไม่ปรากฏขึ้น อีกสองขั้วอำนาจก็จะเข้าไปหาเอง เพื่อไม่ให้เวลายืดนานเกินไปจนมีผู้แข็งแกร่งตามมามากยิ่งขึ้น ถึงตอนนั้น เกรงว่าสำนักวายุลมกรดและหอหงส์เพลิงก็ยากจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
จากนั้นจ้าวเฟิงพูดคุยกับจอมเทพอีกสองคน สร้างความคุ้นเคยกันสักหน่อย
ชายตัวโตเกราะดำเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาจากนอกเขตลำนำดารา เขาเป็นจอมเทพขั้นหนึ่ง มีนิสัยไม่ยึดติดกับเรื่องเล็กน้อย ส่วนหญิงชราชุดม่วงอีกคนหนึ่งเป็นจอมเทพขั้นหนึ่งสุดยอด ท่าทีที่มีต่อจ้าวเฟิงค่อนข้างเย็นชา
“จ้าวหวาง นี่ของของเจ้า!” ถังไป๋หยิบมุกผลึกเม็ดหนึ่งส่งให้จ้าวเฟิง
ภายในมุกผลึกประทับตราเคล็ดวิชาลับผนึกของเผ่าผนึกเทพเอาไว้
“ขอบคุณมาก!” จ้าวเฟิงยิ้มบางๆ
ลำพังแค่วิชาผนึกอย่างเดียว เกรงว่าเผ่าแม่มดโบราณที่อยู่ในอันดับสองของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์ก็ยังไม่อาจสู้เผ่าผนึกเทพ
จ้าวเฟิงหาที่หนึ่งเอาตามสะดวกในอาณาจักรเทพ แล้วเข้าไปในชุดคลุมมิติ
วู้ม! ความคิดกลุ่มหนึ่งทะลักเข้าไปในมุกผลึก ข้อมูลมากมายมหาศาลไหลบ่าเข้ามาในหัวของจ้าวเฟิง
ใช้เวลาถึงสิบวันเต็มๆ จ้าวเฟิงถึงจะจำข้อมูลเหล่านี้ได้หมด
เคล็ดวิชานี้ชื่อว่า ‘วิชาผนึกฟ้าดินประสาน’ เป็นวิชาระดับเทพ หลังจากสำแดงวิชาแล้วสามารถอำพรางกายเทพและกลิ่นอายวิญญาณได้ทั้งหมด ผนึกกระทั่งของล้ำค่าบางอย่างที่คลื่นพลังแข็งแกร่งเป็นพิเศษได้
“สมกับที่เป็นเผ่าผนึกเทพ วิชาผนึกล้ำลึกจริงๆ!” จ้าวเฟิงตื่นเต้นยินดี
‘วิชาผนึกฟ้าดินประสาน’ ไม่เพียงแต่สามารถอำพรางกลิ่นอายของเขาเท่านั้น แต่ยังนำมาผนึกเนตรเทพมายาได้อีกด้วย
ต่อมา จ้าวเฟิงหยุดยึดครองห้วงฝันบรรพกาล หันมาตั้งใจฝึกฝน ‘วิชาผนึกฟ้าดินประสาน’
เวลาหนึ่งปีในชุดคลุมมิติผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่โลกภายนอกเพิ่งจะผ่านไปประมาณสามวันเท่านั้น
“ผนึกฟ้าดินประสาน!” มือทั้งสองของจ้าวเฟิงประสานกระตุ้นเคล็ดวิชา วงแสงสีขาววิบวับลอยออกมาเป็นชั้นๆ โอบล้อมทั่วร่างของเขาไว้ วงแสงสีขาวพวกนี้ค่อยๆ ย่อส่วนลง แล้วซึมเข้าไปในกายเทพและวิญญาณของจ้าวเฟิง
มังกรทมิฬล้างโลกาที่อยู่ข้างๆ จ้องจ้าวเฟิงเขม็ง
เขาพบว่ากลิ่นอายของจ้าวเฟิงอ่อนจางลงไปเรื่อยๆ กระทั่งว่าหากเขาไม่จ้องจ้าวเฟิงเอาไว้ก็ยากจะรู้ว่าตรงนี้ยังมีคนอยู่อีกคนหนึ่ง
“ดีมาก สามารถใช้ในเบื้องต้นได้แล้ว!”
ตอนนี้จ้าวเฟิงสามารถผนึกกลิ่นอายของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ
หลักๆ แล้วจะใช้ในยามปกติเพื่อให้คนสังเกตเขาไม่ได้ เพราะหากลงมือย่อมอำพรางกลิ่นอายไว้ไม่อยู่ ต่อมาจ้าวเฟิงก็เริ่มฝึกฝนต่อ สำแดงเคล็ดวิชาผนึกที่ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ในวันหนึ่ง จ้าวเฟิงสำแดงวิชาผนึกฟ้าดินประสานกับตาซ้ายของตัวเอง
วู้ม วู้ม! ในมิติดวงตาซ้าย วงแสงสีขาวระยับชั้นหนึ่งโอบล้อมไปทั่วลูกทรงกลมสีเงินมายาแล้วค่อยๆ ย่อส่วนลง
พลังดั้งเดิมที่ลูกสีเงินมายาแผ่กระจายออกมา จะถูกวงแสงสีขาวชั้นหนึ่งสกัดกั้นเอาไว้ข้างใน เสี้ยวขณะนี้ จ้าวเฟิงรู้สึกว่าพลังดวงตาซ้ายของตนลดลงเล็กน้อย
แต่เขากลับดีใจมาก หลังจากที่เนตรเทพเจ้าตื่นขึ้น ความยากในการสะกดก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แต่วิชาลับของเผ่าผนึกเทพได้ผล เช่นนั้นแล้ว ความเป็นไปได้ที่คนอื่นจะตรวจพบเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าของเขาก็จะลดลงไปเยอะ
ในวันนี้ สายสืบคนหนึ่งกลับมายังอาณาจักรเทพ
“แย่แล้วท่านถังไป๋ ผู้แข็งแกร่งหอหงส์เพลิงกำลังไล่สังหารจอมเทพขวงเจี้ยน (กระบี่คลั่ง)!”
ครึ่งก้าวสู่จอมเทพคนหนึ่งมาถึงยังที่พักของถังไป๋ ก่อนจะรายงานข่าวออกไป
“ลงมือ!” ถังไป๋กระโจนออกไปทันที คำรามเสียงดังก้องไปทั่วทั้งอาณาจักรเทพ
จอมเทพขวงเจี้ยนเป็นจอมเทพขั้นหนึ่งสุดยอด ยอดฝีมือศาสตร์กระบี่ และเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับสองที่เป็นรองเพียงเขาเท่านั้น ต่อให้เป็นจวี้หลิงที่เป็นจอมเทพขั้นสองก็ไม่สามารถทำให้จอมเทพขวงเจี้ยนตกอยู่ในอันตรายได้ แต่ตอนนี้จอมเทพขวงเจี้ยนกลับส่งคำขอความช่วยเหลือมา
ถังไป๋จึงเรียกรวมสมาชิกทั้งหมดโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“เป็นไปได้ว่าอาจเกี่ยวกับเรื่องที่พวกเราช่วงชิงเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน หากพวกเจ้าไม่ยินดีลงมือ ข้าก็ไม่ฝืนใจ!”
ถังไป๋มองไปยังกลุ่มของจ้าวเฟิง พูดอย่างใจเย็นยิ่ง
ในตอนที่เขาดึงให้จ้าวเฟิงเข้าเป็นพวก ก็เคยพูดไว้ว่าต้องการให้จ้าวเฟิงสู้ในศึกใหญ่กับเขาเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเขาดึงคนอื่นมาเป็นพวกก็พูดแบบนี้เช่นเดียวกัน
แต่ศึกใหญ่ที่ถังไป๋พูดหมายถึงการช่วงชิงเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน ไม่ใช่ตอนนี้
“จอมเทพขวงเจี้ยนคือจอมเทพที่แข็งแกร่งในกลุ่มของพวกเรา จะขาดไปไม่ได้!”
ชายตัวโตเกราะดำมีจิตกระหายต่อสู้เปี่ยมล้น
“หอหงส์เพลิงคิดว่าพวกเรารังแกได้ง่ายๆ อย่างนั้นรึ ครั้งนี้จะต้องให้พวกมันได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้!”
หญิงชราชุดม่วงสีหน้าคร่ำเคร่ง แผ่กระจายกลิ่นอายวิญญาณที่อันตรายออกมา
จ้าวเฟิงก็ตกลงเช่นกัน สำหรับการต่อสู้ที่ไม่อันตรายมาก เขาไม่เคยปฏิเสธ
ฟุ่บ ฟุ่บ~ จากนั้น ถังไป๋นำทุกคนออกไปจากอาณาจักรเทพ มุ่งหน้าไปช่วยจอมเทพขวงเจี้ยน
ส่วนสมาชิกที่ขั้นต่ำกว่าจอมเทพลงมาล้วนอยู่ในเรือรบขนาดกลางลำหนึ่ง
เรือรบพิเศษลำนี้ทนไฟเป็นอย่างยิ่ง ข้างในยังมีค่ายกลมากมาย ครึ่งก้าวสู่จอมเทพร่วมกันกระตุ้นจะสามารถสำแดงพลังขั้นจอมเทพออกมาได้
ครืน ตูม บึ้ม! เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นพร้อมกับคลื่นไฟลูกใหญ่ตรงมายังทุกคนจากที่ไกลๆ
ตาซ้ายของจ้าวเฟิงมองทะลุคลื่นไฟหลายชั้น มองเห็นชายทรงอำนาจที่ถือกระบี่สีทองคนหนึ่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ คนคนนี้ก็คือจอมเทพขวงเจี้ยนนั่นเอง
ฟิ้ว! รอบกายของจอมเทพขวงเจี้ยนโอบล้อมไปด้วยปราณกระบี่สีทองเหี้ยมโหด แปลงเป็นลำแสงกระบี่ไวว่องทะลุผ่านไปในท้องฟ้า ข้างหลังเขามีคนทั้งหมดสี่คน ทั้งหมดล้วนเป็นจอมเทพของหอหงส์เพลิง
นอกจากจอมเทพจวี้หลิง จอมเทพขั้นสองยังมีผู้อาวุโสชุดคลุมไฟ อีกสองคนที่เหลือเป็นจอมเทพขั้นหนึ่ง หากไม่ใช่ว่าจอมเทพขวงเจี้ยนรวดเร็วมาก เชี่ยวชาญด้านการหลบหนี เกรงว่าคงตายในเงื้อมมือของศัตรูไปแล้ว
“จอมเทพขวงเจี้ยน!” ถังไป๋คำรามลั่น เข้าไปใกล้จอมเทพขวงเจี้ยนอย่างรวดเร็วจากนั้น พวกจ้าวเฟิงก็เร่งรุดตามมาถึง
ตอนนี้จอมเทพขวงเจี้ยนถึงได้หยุดลง จอมเทพหอหงส์เพลิงด้านหลังก็ลดความเร็วลงเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น หอหงส์เพลิงส่งกำลังคนมามากถึงเพียงนี้เพื่อจัดการจอมเทพขวงเจี้ยนงั้นรึ!” ถังไป๋ค่อนข้างตกใจ
ผู้อาวุโสชุดคลุมไฟไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือจ้าวหอหงส์เพลิงนั่นเอง!
“หึ ถังไป๋ พาคนของเจ้าออกไปจากที่นี่เสีย มิฉะนั้นวันนี้ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว!”
ผู้อาวุโสชุดคลุมไฟมองต่ำลงมายังทุกคน พร้อมแผ่กระจายพลังร้อนระอุ
“พวกเราต้องกลัวเจ้าอย่างนั้นรึ?” สีหน้าของถังไป๋จริงจังขึ้นมา
ถึงแม้ฝั่งพวกเขาจะไม่มีจอมเทพขั้นสอง แต่ถังไป๋ จอมเทพขวงเจี้ยน และสตรีชราชุดม่วงคนนั้นล้วนเป็นจอมเทพขั้นหนึ่งสุดยอด มีพลังแข็งแกร่ง
ในกลุ่มนั้น พลังของถังไป๋ล้ำลึกเกินหยั่ง จอมเทพขวงเจี้ยนก็แข็งแกร่งไร้เทียมทานรวมกับว่าจอมเทพฝั่งของถังไป๋มากกว่าหอหงส์เพลิงหนึ่งคน
ในยามนี้เอง กลุ่มครึ่งก้าวสู่จอมเทพของถังไป๋ก็ตามมาถึง
“ลงมือ!” ผู้อาวุโสชุดคลุมไฟคำรามลั่นด้วยสีหน้าเย็นชา
สีหน้าของสมาชิกกลุ่มถังไป๋ต่างอึ้งตะลึง พลังของสองฝั่งเห็นได้ชัดว่าต่างกันไม่มาก กระทั่งว่าฝั่งของถังไป๋ยังแกร่งกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ แต่คนของหอหงส์เพลิงยังคงประกาศลงมืออย่างไม่ลังเล
หอหงส์เพลิงไม่กลัวว่าพวกเขาจะสู้กับกลุ่มถังไป๋จนตายกันไปข้างหนึ่ง แล้วทำให้สำนักวายุลมกรดเป็นฝ่ายได้เปรียบรึ?
เสี้ยวขณะต่อมา จ้าวเฟิง ถังไป๋ และสตรีชุดม่วงคนนั้นเปลี่ยนสีหน้าไปทันที
ครืน ตูม ตูม! คลื่นเปลวไฟโหมซัดมาจากไกลๆ กลิ่นอายพลังเทพที่แข็งแกร่งกดดันมา
เพียงชั่วพริบตา เงาคนห้าคนก็มาปรากฏตัวอยู่กลางฟ้าดิน
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีฟ้าที่เป็นผู้นำอยู่ท่ามกลางสายลมสีขาว กลิ่นอายชวนให้คนหวาดกลัว
“สำนักวายุลมกรด!”
ถังไป๋ร้องอย่างตกใจ
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว ที่แท้หอหงส์เพลิงร่วมมือกับสำนักวายุลมกรดชั่วคราว เพื่อวางแผนจัดการภัยคุกคามนี้ก่อน
“สหายจ้าว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังไม่ตาย แถมยังเข้าร่วมกับกลุ่มของถังไป๋ แต่นี่เป็นทางเลือกที่ผิด!”
ชายวัยกลางคนชุดครามฝั่งสำนักวายุลมกรดหัวเราะชั่วร้าย
คนคนนี้ก็คือจอมเทพที่แกล้งทำเป็นช่วยจ้าวเฟิง แต่เป้าหมายที่แท้จริงคืออยากให้จ้าวเฟิงเข้าร่วมสำนักวายุลมกรด
แต่ภายหลังเผชิญหน้ากับจอมเทพจวี้หลิงและผู้เฒ่าสีชาด ชายวัยกลางคนชุดครามก็ทิ้งจ้าวเฟิง หนีไปเพียงลำพังอย่างไม่ลังเล