Skip to content

King of Gods 1478

King Of Gods

บทที่ 1478 ขั้วอำนาจลึกลับ

“ใช่!” ทูตสวรรค์ส่งเสียงต่ำ

วู้ม! ทันใดนั้น เบื้องหน้าก็มีระลอกคลื่นสีขาวเลือนรางปรากฏขึ้น แล้วค่อยๆ ก่อร่างเป็นทางเข้าทรงกลม

จากนั้นทูตสวรรค์ก็พาจ้าวเฟิงอีกทั้งจอมเทพป้าหลงและจอมเทพเทียนจี้เข้าไปข้างในตำหนัก

ภายในตำหนักมืดสลัวมีเพียงผู้อาวุโสชุดดำคนเดียวเท่านั้น มองไปแล้วค่อนข้างธรรมดา

“ท่านทูตสวรรค์!” จอมเทพป้าหลงและจอมเทพเทียนจี้เอ่ยอย่างเคารพนบนอบ

ที่แท้ผู้อาวุโสชุดดำคนนี้ก็เป็นทูตสวรรค์เช่นกัน แต่ผู้อาวุโสชุดดำไม่แม้แต่จะมองคนทั้งสอง ราวกับว่าเมินเฉยไปเลย

“ท่าทางสหายเป่ยหมิงจะจับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามาได้สำเร็จ!”

ผู้อาวุโสชุดดำยิ้มพูดขึ้น

คนที่จับจ้าวเฟิงมาชื่อว่าเป่ยหมิงฮุย ทูตสวรรค์เป็นเพียงแค่สมญานามเท่านั้น

“ก็แค่จอมเทพขั้นหนึ่ง ข้าลงมือเองแน่นอนว่าต้องจับได้อยู่แล้ว!”

สีหน้าของเป่ยหมิงราบเรียบ แต่ที่จริงแล้วในใจของเขาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก ในระหว่างการจับจ้าวเฟิง บริวารที่แข็งแกร่งของเขาตายไปคนหนึ่ง

“ให้ข้าได้เห็นเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าสักหน่อยเถอะ!”

สายตาของผู้อาวุโสชุดดำเพ่งไปยังลูกทรงกลมมืดหม่นที่อยู่ข้างๆ เป่ยหมิงฮุย

วู้ม! ความคิดของเป่ยหมิงฮุยขยับเล็กน้อย พลังที่กักขังจ้าวเฟิงอยู่ก็ค่อยๆ คลายไป

จ้าวเฟิงจึงปรากฏตัวขึ้นในวังสลัวรางแห่งนี้

ถึงแม้ตอนนี้เป่ยหมิงฮุยจะถอนการคุมขังกลับไปอย่างง่ายดายเช่นนี้แล้ว แต่จ้าวเฟิงก็ไม่มีความคิดที่จะหนี ตอนนี้เขาเข้ามาในฐานที่มั่นของฝ่ายตรงข้าม ลำพังแค่กลิ่นอายของจอมเทพตามรายทางเขาก็สำรวจเจอได้ไม่ถึงสิบส่วน

นอกจากนั้น ผู้อาวุโสชุดดำเบื้องหน้ายิ่งทำให้จ้าวเฟิงมองไม่ออกกว่าเป่ยหมิงฮุยเสียอีก

ต่อหน้า ‘ทูตสวรรค์’ ทั้งสอง เขาไม่ได้ดิ้นรนหรือขัดขืน ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย จดจำรายละเอียดทุกอย่างที่เห็นเอาไว้

ในเมื่อเข้ามาเหยียบถิ่นเสือแล้ว แน่นอนว่าต้องสำรวจให้รู้แน่ชัดถึงโฉมหน้าที่แท้จริงของขั้วอำนาจลึกลับนี้

“ฮ่าๆ ไม่ต้องกลัวไป ตอนนี้เจ้ายังปลอดภัยอยู่!”

ผู้อาวุโสชุดดำยิ้มพูดอย่างเป็นมิตร

จ้าวเฟิงตะลึงไปทันที นี่เป็นท่าทีที่ปฏิบัติต่อเชลยเสียที่ไหนกัน เขากระทั่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายทำกับตนราวเป็นคนคุ้นเคยที่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน หากไม่รู้ว่าเป้าหมายของฝ่ายตรงข้ามคือเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ตอนนี้เขาคงถึงขั้นรู้สึกว่าไม่มีอันตรายอะไรทั้งนั้น

หลังจากพูดจบ ดวงตาลุ่มลึกของผู้อาวุโสชุดดำก็จ้องไปยังตาซ้ายของจ้าวเฟิง ประหนึ่งคิดจะสืบอะไรออกมา

ในขณะเดียวกัน จ้าวเฟิงก็สำรวจอีกฝ่ายด้วย

จากพลังมองทะลุผ่านของเนตรเทพมายา เขาพบว่าในกายของผู้อาวุโสชุดดำซ่อนพลังยิ่งใหญ่ที่น่ากลัวยิ่งไว้ อีกทั้งพลังกลุ่มนั้นยังซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง อาศัยแค่การมองทะลุผ่าน เขายากที่จะมองเงื่อนงำอะไรออก

แต่ว่าผู้อาวุโสชุดดำเหมือนจะสัมผัสได้ว่าตนถูกจ้าวเฟิงสำรวจพบอะไร

“สมกับที่เป็นเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า!” ผู้อาวุโสชุดดำหัวเราะอย่างมีความหมายลึกซึ้ง แล้วหมุนตัวจากไป

วู้ม! เป่ยฮุยหมิงปลดปล่อยพลังสลัวรางที่ปั่นป่วนวุ่นวายและแข็งแกร่งออกมา ขังจ้าวเฟิงไว้อีกครั้งทันที

“รอก่อนก็แล้วกัน เจ้าตำหนัก ทูตสวรรค์ รวมถึงท่านผู้คุมกฎคนอื่นๆ จะตามมา!”

ผู้อาวุโสชุดดำมองไปยังเป่ยหมิงฮุยและพวกจอมเทพป้าหลง

‘ทูตสวรรค์คนอื่น?’ จ้าวเฟิงตื่นตะลึง

ความหมายที่ผู้อาวุโสชุดดำพูด นอกจากเขาและเป่ยหมิงฮุยแล้วยังมีทูตสวรรค์คนอื่นอีก

ต้องรู้ก่อนว่าพลังของทูตสวรรค์พวกนี้เป็นขั้นสุดยอดของบรรดาจอมเทพขั้นสามแล้ว และบุคคลเช่นนี้กลับยังมีอีกหลายคน!

ไม่ถึงครึ่งวันก็มีคนผู้หนึ่งที่อยู่ในประกายแสงสีแดงเป็นชั้นๆ มาถึงยังนอกตำหนัก

เวลาต่อมาก็มีสมาชิกมากขึ้นเรื่อยๆ มาถึงยังที่นี่

“มีผู้แข็งแกร่งมากมายถึงเพียงนี้เชียว!” จ้าวเฟิงใจสั่นสะท้าน

จนถึงตอนนี้ ผู้แข็งแกร่งขั้นจอมเทพที่มาถึงที่นี่ก็มีมากถึงสิบห้าคน!

ในนั้น ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ระดับขั้นเดียวกับเป่ยหมิงฮุย นอกจากผู้อาวุโสชุดดำแล้วยังมีอีกสี่คนด้วยกัน!

ในหมู่คนพวกนี้แทบจะบอกกับเป่ยหมิงฮุยทุกคนว่าอยากเจอเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าสักครั้ง แต่ถูกปฏิเสธทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสชุดดำก่อนหน้านี้มีฐานะไม่ธรรมดา

ช่วงระหว่างนี้ จ้าวเฟิงได้ยินการสนทนาของผู้แข็งแกร่งทั้งหลายในตำหนัก

เขาพบว่าคนระดับเช่นจอมเทพป้าหลงและจอมเทพเทียนจี้ก็คือ ‘เจ้าตำหนัก’ ที่ผู้อาวุโสชุดดำพูดถึง

อีกทั้งขั้วอำนาจที่เจ้าตำหนักพวกนี้อยู่ล้วนเรียกรวมกันว่าตำหนัก ‘ฝืนลิขิต’ มีทั้งหมดเก้าตำหนัก ‘ตำหนักมารฝืนลิขิต’ ที่จอมเทพป้าหลงอยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ระดับที่ต่ำลงมายังมีหอ ‘สวรรค์’ รวมทั้งหมดสิบแปดหอ ‘หอมารสวรรค์’ ที่จ้าวเฟิงเคยไปในตอนนั้นอยู่ในระดับขั้นนี้

ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเท่าไหร่ ใจของจ้าวเฟิงก็ยิ่งสั่นสะท้าน “ขั้วอำนาจนี้ใหญ่ถึงเพียงใดกัน?”

หากเขาทายไม่ผิดแล้วละก็ หอ ‘สวรรค์’ ทั้งสิบแปดน่าจะกระจายตัวอยู่ทั่วทั้งสิบแปดเขตของดินแดนเทพรกร้าง!

เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีขั้วอำนาจหนึ่งกระจายไปทั่วดินแดนเทพรกร้างได้ นี่มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก!

หอ ‘สวรรค์’ ทั้งสิบแปดเทียบเท่ากับขั้วอำนาจสี่ดาวครึ่ง ส่วนตำหนัก ‘ฝืนลิขิต’ ทั้งเก้าเทียบเท่ากับขั้วอำนาจห้าดาว!

ทันใดนั้น สีหน้าของสมาชิกทั้งหมดในตำหนักเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาลุกขึ้นมองไปยังด้านนอก

ฟุ่บ! ผู้อาวุโสรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในตำหนัก

เขามีหลังค่อมตัวงอ ผิวแห้งเหี่ยวราวกับต้นไม้โบราณพันปี บนนั้นยังมีลวดลายโบราณแปลกประหลาดนับไม่ถ้วน ถึงแม้จะมองไม่ชัด แต่มองไปแล้วดุจได้เห็นเรื่องราวน่าอัศจรรย์มากมาย ยากจะถอนสายตาไปไหน

ผู้อาวุโสมีดวงตาล้ำลึกไม่สิ้นสุด หนวดขาวยาวลากพื้น

“ขอต้อนรับท่านผู้คุมกฎ!” จอมเทพทั้งหมดในโถงตำหนักใหญ่ต่างเผยสีหน้าเคารพนอบน้อม

จ้าวเฟิงมองออก คนพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเคารพผู้คุมกฎคนนี้มาจากใจจริง

“ผู้คุมกฎ!” จ้าวเฟิงใจสั่น

ท่าทางตำแหน่งของผู้คุมกฎคนนี้จะสูงยิ่งกว่าทูตสวรรค์

ทูตสวรรค์ต่างเป็นผู้แข็งแกร่งในบรรดาจอมเทพขั้นสาม เช่นนั้นแล้วผู้คุมกฎจะมีพลังเพียงใด?

สายตาของผู้คุมกฎคนนี้หยุดลงที่ลูกทรงกลมมืดหม่นที่จ้าวเฟิงอยู่เป็นอันดับแรก

ยามที่มองไปยังดวงตาของอีกฝ่าย ใจของจ้าวเฟิงก็เกิดความพะวงขึ้น ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกเหมือนความลับจำนวนไม่น้อยในตัวถูกอีกฝ่ายสำรวจเจอ

“เป็นไปได้อย่างไร?” จ้าวเฟิงตื่นตะลึงในใจ น้อยครั้งนักที่เขาจะมีความรู้สึกเช่นนี้ต้องรู้ไว้ว่าเนตรทำนายระดับขั้นเดียวกันยังไม่อาจสำรวจเขาได้แม้แต่น้อย

“สมาชิกมากันพอสมควรแล้ว เจ้าตำหนัก ‘ฝืนชะตา’ ทั้งสิบแปด ในเหล่าทูตสวรรค์มีบางคนที่มาไม่ได้!”

ร่างของผู้คุมกฎเพียงกะพริบไหววูบก็มาถึงเหนือโถงใหญ่

เขางอนิ้วชี้ออกไป อักษรเผ่าความลับสวรรค์แปลกประหลาดกลุ่มหนึ่งแผ่ไปยังลูกทรงกลมที่จ้าวเฟิงอยู่

เสี้ยวขณะนั้น จ้าวเฟิงพบว่าตนเองไม่ได้ยินและไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแล้ว

“จับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามาได้ เป้าหมายของเราก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว” สีหน้าของผู้คุมกฎค่อนข้างตื่นเต้น ขณะนี้สมาชิกทั้งหมดในโถงตำหนักต่างฉายแวววาดหวัง

“แต่เพื่อหารายงานข่าวของเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ความเคลื่อนไหวของเราในช่วงนี้จึงถี่มาก แดนศักดิ์สิทธิ์และขั้วอำนาจลับจำนวนไม่น้อยจับสังเกตได้แล้ว…”

ผู้อาวุโสชุดดำเริ่มรายงานข่าวที่เกี่ยวข้อง

ขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้คิดเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้

แต่ว่าจ้าวเฟิงก็ยังตกใจเป็นอย่างมาก ขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่กลับสามารถอำพรางตนเอาไว้ได้เช่นนี้ ช่างสุดยอดจริงๆ!

“สำหรับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ท่าน ‘เจ้าสวรรค์’ จะมาด้วยตัวเอง ตอนนี้พวกเราจัดการเรื่องอื่นๆ ไปก่อน…” ท่านผู้คุมกฎพูดอมยิ้ม

“ท่านเจ้าสวรรค์?” แววตาของทุกคนที่นั่นอึ้งตะลึง สีหน้าจริงจังขึ้นมา

“คิดไม่ถึงว่าชั่วชีวิตนี้ของข้าจะได้พบกับท่านเจ้าสวรรค์!”

ใจของจอมเทพเทียนจี้ตื่นเต้นมากนัก นับจากที่เขาอยู่ในขั้วอำนาจนี้ ก็ได้ยินเรื่องราวของ ‘เจ้าสวรรค์’ มาโดยตลอด แต่ไม่เคยได้พบหน้า

แต่ตอนนี้ เขาจะได้พบกับ ‘เจ้าสวรรค์’ เพราะเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าแล้ว

……

สำหรับข่าวที่เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าโดนจับไป น่าจะมีน้อยคนที่รู้เรื่อง ต่อให้เป็นถังไป๋ที่หนีพ้นเคราะห์มาได้ในวันนั้น ก็ยังไม่ได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป

เพราะเขาเชื่อว่าตัวเองถูกขั้วอำนาจเบื้องหลังจอมเทพป้าหลงจับจ้องอยู่ ดังนั้นจึงไม่เปิดเผยตัวตนออกไปโดยง่าย อย่างน้อยก็ต้องรอให้กลับไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์ก่อนค่อยพูดเรื่องนี้ออกไป

แต่ในดินแดนลึกลับทางฝั่งตะวันตกของดินแดนเทพรกร้างกลับมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้เรื่องนี้ ทั้งยังแตกตื่นกัน

ดินแดนที่ซ่อนเร้นแห่งนี้มีทัศนียภาพงดงาม เมฆหมอกรายล้อม หุบเขาลึกที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสลัวรางแห่งนี้มีหอคอยหกเหลี่ยมมากมาย

หากจ้าวเฟิงและเจ้าหยูเฟยอยู่ที่นี่ จะต้องรู้สึกว่าหอคอยหกเหลี่ยมนี่คล้ายกับหอคอยลิ่วอูในทวีปบุปผาครามเป็นแน่ ทว่าหอคอยเบื้องหน้า ลำพังแค่ขนาดก็ใหญ่กว่าหอคอยลิ่วอูร้อยเท่า อีกทั้งบนหอคอยหกเหลี่ยมดำมืดยังสลักอักษรเผ่าความลับสวรรค์และรูปภาพที่แฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์ลึกลับ เต็มไปด้วยสำนึกรู้แปลกประหลาด

ในหอคอยหกเหลี่ยมมากมายเหล่านี้ มีหลังหนึ่งที่ใหญ่โตโอ่อ่า ดุจหอคอยแห่งความมืดมิดที่เป็นศูนย์กลางของฟ้าดิน

ฟุ่บ ฟุ่บ~ หอคอยหกเหลี่ยมที่อยู่บริเวณรอบๆ มีชายกลางคนไม่ก็ผู้อาวุโสชุดดำมากมายบินออกมา

พวกเขารีบบินไปยังหอคอยมืดทะมึนที่อยู่ใจกลางด้วยสีหน้าร้อนรน

“จะทำอย่างไรดี พวกมันจับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าไปได้แล้ว!”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

……

“ท่าน ‘จอมเวท’ ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญจะรายงาน! ” ผู้อาวุโสที่กลิ่นอายแข็งแกร่งล้ำลึกที่สุดยืนอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอคอย

ฟู่! แสงสีขาวเงินชั้นหนึ่งสาดส่องมาจากใจกลาง

ร่างสีขาวเลือนรางปรากฏขึ้นจากข้างในนั้น เป็นสตรีมีรูปโฉมเลิศล้ำจนปักษีตกนภา ใบหน้างามเรียบนิ่ง ดวงตาสีขาวลุ่มล้ำนิ่งสงบ ราวกับสามารถมองเห็นซึ่งสรรพสิ่งในโลกหล้า สตรีนางนั้นยืนอย่างสงบอยู่ที่เดิม ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าลึกลับเกินหยั่ง ดูเหนือจริงอย่างประหลาด

สีหน้าของปราชญ์ทั้งหลายที่นั่นตะลึง เหม่อลอยเพราะรูปโฉมของนาง ที่ไหล่ของสตรีนางนี้มีแมวขี้เกียจตัวใหญ่สีดำเงินเกาะอยู่

เมี้ยว~ ตาของแมวขี้เกียจตัวนั้นพลันลืมขึ้น มันหาวอย่างอดไม่ได้ บิดขี้เกียจก่อนจะส่งเสียงร้องประหลาดลากยาว

“ฉินซิน ท่าน ‘จอมเวท’ เล่า?” ผู้อาวุโสใบหน้าเหี่ยวแห้งเดินมา ถามนางอย่างเนิบช้า

“ท่านอาจารย์ปู่จะมาเดี๋ยวนี้แล้ว!” สตรีชุดขาวเอ่ยเรียบๆ จากนั้นก็เดินมายังอีกด้านหนึ่งแล้วนั่งลงอย่างสงบ

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก สมาชิกทั้งหลายที่นี่ไม่อาจสงบใจลงได้

“เฮ้อ ครั้งนี้พลาดเสียแล้ว พวกเขาจับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าไปแล้ว!”

“พวกเราจะต้องทำอะไรสักอย่าง…” สีหน้าของคนจำนวนไม่น้อยกระวนกระวาย หารือกันไม่หยุด

“หากให้ ‘อวี่เทียนซู’ ผสานเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ผลลัพธ์จะเลวร้ายจนไม่กล้าคาดคิด!”

เมื่อพูดถึง ‘อวี่เทียนซู’ สามคำนี้ คนอื่นที่เหลือที่นั่นต่างชะงักไป สีหน้าแตกต่างกัน บ้างชิงชัง บ้างนับถือ บ้างหวาดกลัว…

“ทั้งหมดนี้รอให้ท่านจอมเวทออกมาค่อยตัดสินใจกัน!” ผู้อาวุโสหน้าเหี่ยวคนนั้นพูดเสียงต่ำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version