Skip to content

King of Gods 1479

King Of Gods

บทที่ 1479 คำสัญญาของเจ้าสวรรค์

หลิ่วฉินซินได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์จากปราชญ์ทั้งหลาย แววตาก็ฉายแววกังวลสงสัย

ในตอนนี้เอง

วู้ม~ ในมิติชั้นที่สี่สิบเก้าพลันมีระลอกคลื่นลายดวงดาวลึกลับแผ่มา คลื่นที่ไร้รูปและไร้ทรงพุ่งเฉียดไปในท้องฟ้า

เสี้ยวขณะต่อมา เงาคนร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ใจกลางของชั้นนี้

เขาเป็นผู้อาวุโสที่ผมและหนวดเคราขาวยาวถึงพื้น ร่างของเขาสูงใหญ่ ข้างหลังมีเกราะสีเทาที่หนักและโบราณอยู่หนึ่งอัน ด้านบนมีลวดลายกับสัญลักษณ์รางเลือนที่พิเศษเฉพาะ ดุจแฝงสัจธรรมอันลึกล้ำของโลกนี้ไว้

เขายืนอยู่ที่เดิมก็ทำให้รู้สึกเก่าแก่โบราณ ราวกับอยู่มาตั้งแต่ฟ้าดินแรกเริ่มถือกำเนิดจนถึงตอนนี้

“คารวะท่านจอมเวท!” ปราชญ์ที่แข็งแกร่งทั้งหลายในชั้นสี่สิบเก้าต่างค้อมตัวทำความเคารพ

“ท่านอาจารย์!” หลิ่วฉินซินก็ลุกขึ้นเช่นกัน

“ท่านจอมเวท เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า…” ผู้อาวุโสหน้าเหี่ยวเงยหน้าพูด

“ข้ารู้แล้ว!” อวี่เทียนอูเอ่ยปากเรียบนิ่ง เสียงแก่ชราราวกับดังมาจากมิติไกลโพ้นอย่างไรอย่างนั้น

ปราชญ์ที่เหลือไม่พูดอะไรมากอีก ทั้งหมดมองไปยังอวี่เทียนอู

ในเมื่อท่านจอมเวทรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เช่นนั้นต่อไปควรจะทำเช่นไร?

“ฉินซิน เจ้าเห็นอะไร?” สายตาลึกล้ำปราดเปรื่องของอวี่เทียนอูมองหลิ่วฉินซินแล้วถามขึ้น

ผู้อาวุโสที่เหลือมองไปยังหลิ่วฉินซินทันที

ไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งสิ้น หลิ่วฉินซินก็รู้เรื่องเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าเช่นกัน แต่อารมณ์เหมือนจะมั่นคงกว่าเยอะ

“ท่านอาจารย์ ข้ามองเห็นภาพและเบาะแสขาดเป็นช่วงๆ มากมาย…”

ดวงตาของหลิ่วฉินซินพลันหมุนวน ลายระลอกคลื่นเลือนรางที่แปลกประหลาดกระจายออกมา ก่อนทะลักเข้าไปในหัวของอวี่เทียนอู

อาจารย์ของหลิ่วฉินซินก็คือปราชญ์ลิ่วอูแห่งดินแดนทวีป

และปราชญ์ลิ่วอูแท้ที่จริงแล้วคือร่างแยกของอวี่เทียนอู

ปราชญ์ลิ่วอูคือจิตของอวี่เทียนอู ดังนั้นหลิ่วฉินซินจึงยังคงเรียกเขาว่าอาจารย์

ดวงตาของอวี่เทียนอูปิดลง กลิ่นอายราวหายไปทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น ทั่วทั้งหอคอยที่มืดทะมึนเงียบสงัด

ปราชญ์ทั้งหมดต่างรู้กัน ท่านจอมเวทเริ่มทำนายแล้ว

เนิ่นนานหลังจากนั้น อวี่เทียนอูก็ลืมตาขึ้น “เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามีดวงชะตาที่ยากจะคาดเดา ต่อให้เป็นชะตาที่ถึงฆาต ก็เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี…”

เมื่อได้ยินคำของอาจารย์ปู่ คิ้วที่ขมวดของหลิ่วฉินอินก็คลายออก

ปราชญ์ที่เหลือที่นั่นย่อมเข้าใจความหมายของท่านจอมเวท เพียงแต่เรื่องนี้สำคัญยิ่งนัก พวกเขายังคงไม่วางใจอยู่ดี

“แต่ว่าพวกเราก็ต้องทำอะไรบ้างถึงจะถูก!”

สายตาของอวี่เทียนอูมองไปยังที่ไกลโพ้น ดวงตาทั้งสองราวกับมองเห็นเรื่องราวที่คนธรรมดายากจะได้เห็น

……

อีกด้านหนึ่ง จ้าวเฟิงที่ถูกขังพลันสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในโถงใหญ่

“ท่าทางพวกเขาจะประชุมกันเสร็จแล้ว!” จ้าวเฟิงจ้องไปยังสมาชิกในโถงใหญ่

ถึงแม้จะไม่เคยไปแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่จ้าวเฟิงเดาว่าต่อให้เป็นกำลังรบระดับสูงของแดนศักดิ์สิทธิ์ก็อาจจะสู้ขั้วอำนาจลึกลับนี้ไม่ได้

“พาตัวเขาไป!” ผู้คุมกฎพูดขึ้น

จากนั้น เป่ยหมิงฮุยก็พาจ้าวเฟิงเตรียมไปจากตำหนักแห่งนี้

แต่ในตอนนี้เอง

ผู้คุมกฎก็ลุกยืนขึ้นทันควัน ดวงตาทั้งสองส่องประกายวาววับ “ท่านเจ้าสวรรค์มา!”

“เจ้าสวรรค์?” จ้าวเฟิงได้ยินคำเรียกนี้ ในใจสั่นสะท้านขึ้นอย่างประหลาด

ลางสังหรณ์บอกเขาว่าเจ้าสวรรค์ที่ว่านี้อาจเป็นผู้กุมอำนาจของขั้วอำนาจแห่งนี้แต่ทว่าตอนนี้เป่ยหมิงฮุยพาจ้าวเฟิงจากไปแล้ว

หลังจากเลี้ยวลดคดเคี้ยวไปมา เป่ยหมิงฮุยก็มาถึงพื้นที่ปิดผนึกกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง เมื่อทิ้งจ้าวเฟิงไว้ที่นี่แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้าสวรรค์จะเป็นคนเช่นไร?” ใจของจ้าวเฟิงอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้เขาเตรียมสำแดงส่งวิญญาณจากไป แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจจะอยู่ที่นี่ต่อไปอีกสักหน่อย ต่อมาจ้าวเฟิงก็สังเกตสรรพสิ่งรอบกายอย่างละเอียด ไม่ปล่อยผ่านไปแม้แต่นิดเดียว

ในโถงตำหนักมืดมิด ผู้อาวุโสชุดขาวร่างสูงใหญ่เหยียดตรงค่อยๆ ก้าวเข้ามาสายตาของทุกคนในโถงใหญ่จับจ้องไปยังร่างของคนคนนี้

กลิ่นอายของผู้อาวุโสชุดขาวสงบนิ่ง ใบหน้าทรงอำนาจแฝงไว้ด้วยความอบอุ่น มีมาดที่บรรยายออกมาไม่ถูก

“นี่ก็คือท่านเจ้าสวรรค์งั้นรึ?” ถึงแม้ผู้อาวุโสเบื้องหน้าคนนี้จะราบเรียบไม่สะดุดตา กระทั่งค่อนข้างธรรมดาด้วยซ้ำ แต่ทั่วทั้งร่างของจอมเทพเทียนจี้ก็ยังคงแข็งทื่อ ไม่กล้าหายใจดัง

“ท่านเจ้าสวรรค์ เชิญ!” ผู้คุมกฎถอยออกมาจากตำแหน่งของตัวเองแล้วไปยืนอยู่ข้างหนึ่ง

ได้ยินผู้คุมกฎเอ่ยปาก เจ้าตำหนักทั้งหลายที่นั่นถึงค่อยมั่นใจว่าคนเบื้องหน้าคือเจ้าสวรรค์ในตำนานจริงๆ!

ทว่าในแววตาของทูตสวรรค์ทั้งหลายล้วนฉายแววเคารพและบูชาโดยตลอด

“สามารถจับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าได้สำเร็จ คุณูปการของทุกท่านไม่อาจลืมเลือน!”เสียงอบอุ่นมีเมตตาของเจ้าสวรรค์ดังมา

เป่ยหมิงฮุยเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย รู้สึกภูมิใจ

ส่วนจอมเทพป้าหลงและจอมเทพเทียนจี้ใบหน้ายิ่งเปล่งประกาย ท่าทางลิงโลดเป็นอย่างยิ่ง ต่อจากนั้นผู้คุมกฎก็รายงานเรื่องที่สำคัญบางอย่างก่อนหน้านี้กับเจ้าสวรรค์

เมื่อการประชุมจบลง เจ้าสวรรค์ก็ยืนขึ้น

“จับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าได้ เป้าหมายของพวกเราอยู่ไม่ไกลแล้ว…”

ดวงตาของท่านเจ้าสวรรค์มองไปยังท้องฟ้าไกลไร้ขอบเขต ประหนึ่งมองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น

หลังจากเจ้าตำหนักทั้งหมดจากไป ผู้คุมกฎจึงค่อยเอ่ยปากขึ้น “จากการวิเคราะห์ของพวกเรา หากรีบร้อนชิงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามา อัตราความสำเร็จจะไม่ถึงหนึ่งส่วน!”

“หากเตรียมพิธีช่วงชิงไว้ให้ดีเล่า?” สีหน้าของเจ้าสวรรค์ไม่มีคลื่นอารมณ์เท่าใดนัก เขาถามขึ้นทันที

“ไม่ถึงสามส่วนขอรับ!” ผู้คุมกฎนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนจะพูดตอบ

อัตราความสำเร็จสามส่วนก็ยังคงต่ำเกินไป

ในเมื่อเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามีเพียงหนึ่งเดียว หากล้มเหลวก็จะไม่มีโอกาสครั้งต่อไปอีก

“หากเขาให้ความร่วมมือเอง อัตราความสำเร็จจะเป็นเช่นไร?” สีหน้าของเจ้าสวรรค์เรียบนิ่ง ราวกับว่าทุกสิ่งอยู่ในการคาดการณ์ของเขา

“หากเขายอมให้ความร่วมมือ อัตราความสำเร็จจะมากกว่าหกส่วนขึ้นไป!”

เพียงพูดออกไปเช่นนั้น สายตาของเจ้าสวรรค์ก็ฉายประกาย

“ข้าจะไปคุยกับเขาดู!” พูดจบ ร่างของเจ้าสวรรค์ก็หายไปจากที่นั่นทันใด

ในห้องลับโลหะอันกว้างขวาง จ้าวเฟิงกำลังสำรวจโครงสร้างของทุกสิ่งรอบกายทันใดนั้นเส้นทางเบื้องหน้าก็มีเงาคนปรากฏขึ้น

“นั่นใคร?” สายตาของจ้าวเฟิงตื่นตระหนกเล็กน้อย จ้องเพ่งไปยังผู้อาวุโสชุดขาวคนนั้น

เขาจำได้ว่าในโถงใหญ่มืดสลัวเมื่อครู่ไม่มีคนคนนี้อยู่ อีกทั้งจ้าวเฟิงยังมองคนเบื้องหน้านี้ได้ไม่ทะลุปรุโปร่งด้วย อีกฝ่ายไม่มีจิตคิดร้ายแม้แต่น้อย ใบหน้าอมยิ้ม รอยยิ้มที่แปลกประหลาดนี้ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกเป็นมิตรด้วยอย่างประหลาด

“เจ้ายินดีให้ความร่วมมือ มอบเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามาหรือไม่?”

ผู้อาวุโสชุดขาวพูดเข้าประเด็น

“ไม่มีทาง!” จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง แต่กลับตอบอย่างรวดเร็วและหนักแน่น

“ข้าแนะนำว่าเจ้าคิดให้ละเอียดสักหน่อยเถอะ ถึงแม้เจ้าจะครบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า แต่ก็ยังพัฒนาได้ไม่สมบูรณ์ เนตรเทพเจ้าก็ยังไม่ถึงขั้นร่างสมบูรณ์ ด้วยพลังฝึกตนของเจ้า ไม่อาจสำแดงพลังที่แท้จริงของเนตรเทพเจ้าได้!”

ผู้อาวุโสเข้ามาใกล้ช้าๆ ดวงตาจ้องไปยังตาซ้ายของจ้าวเฟิงพลางยิ้มพูดขึ้น

“เช่นนั้นแล้วอย่างไร?” จ้าวเฟิงตกใจเล็กน้อย ขั้วอำนาจลึกลับที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ไยจึงส่งชายชราคนหนึ่งมาเกลี้ยกล่อมเขา นอกจากนั้น ความเร็วในการพัฒนาของเขาที่ครอบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าก็น่าตกใจมากแล้ว หากให้เวลาเขาอีกสักหน่อย จ้าวเฟิงเชื่อว่าถึงตอนนั้นคนที่หมายปองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าก็มีไม่กี่คนแล้ว

“เจ้าก็เห็นแล้วว่าขั้วอำนาจที่ข้าควบคุมเทียบเท่ากับแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าในตอนนี้ก็เหมือนลูกไก่ในกำมือ!”

ผู้อาวุโสชุดขาวพูดต่อไป

สีหน้าจ้าวเฟิงตะลึง

คนเบื้องหน้าคนนี้ หรือจะเป็นเจ้าสวรรค์ที่ผู้คุมกฎพูดถึงเมื่อครู่?

ไม่เช่นนั้นเขาจะพูดว่าขั้วอำนาจที่เขาควบคุมได้อย่างไร?

จ้าวเฟิงคิดไม่ถึงว่าชายชราธรรมดาที่มาหาตนในตอนนี้จะเป็นถึงผู้กุมอำนาจของขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่จนน่าตกใจ อีกทั้งอีกฝ่ายยังมาเจรจากับตนอย่างสันติก่อนด้วย

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังจะมาพูดกับข้าให้มากความอยู่อีกทำไม?”

จ้าวเฟิงถามทันใด

พลังของเขาในตอนนี้ไม่อาจต่อกรกับขั้วอำนาจลึกลับนี้ได้จริงๆ ดูแล้วเหมือนจะมีทางเลือกอยู่แค่สองทาง ศิโรราบหรือไม่ก็ตาย แต่หากเป็นเช่นนั้นจริง อีกฝ่ายก็คงไม่มาเจรจากับเขาแล้ว

“ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมร่วมมือ มอบเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าให้กับข้า!” เจ้าสวรรค์พูดอย่างไม่ลังเล ด้วยสถานการณ์ที่จ้าวเฟิงอยู่ เขาไม่มีทางเลือกอื่นเลย  แต่ก็กลัวว่าจ้าวเฟิงจะทำลายทุกอย่างเสียให้พินาศไปพร้อมกัน

“ไม่ ข้าไม่มีทางมอบเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าให้เจ้าเด็ดขาด!” จ้าวเฟิงปฏิเสธทันทีด้วยท่าทีแข็งกร้าว

แววตาของเขาเหมือนกับจะบอกเจ้าสวรรค์ว่า หากให้ชิงเนตรเทพเจ้าไปแล้วละก็ เขายอมทำลายเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าเสียยังดีกว่า

นี่คือแต้มต่อของจ้าวเฟิง อีกฝ่ายต้องการเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ยามนี้จึงยังอยู่ในการควบคุมของเขา หากจ้าวเฟิงแสดงท่าทีเช่นนี้ออกไป อีกฝ่ายก็จะไม่ลงมือกับเขาง่ายๆ

“การชิงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าจะไม่สร้างอันตรายต่อชีวิตของเจ้า นอกจากนั้นตัวข้าเองก็ชมชอบฝีมือเจ้านัก หลังจากที่มอบเนตรเทพดวงที่เก้ามาแล้ว เจ้าจะเป็นสมาชิกคนสำคัญระดับทูตสวรรค์ทันที!”

เจ้าสวรรค์พูดต่อไปอย่างไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้ เจ้าสวรรค์พูดถึงวัตถุประสงค์ที่มาและสำแดงพลังข่ม ตอนนี้ก็เริ่มใช้ผลประโยชน์ยั่วยวน

สีหน้าจ้าวเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ตำแหน่งทูตสวรรค์ในขั้วอำนาจนี้ ไม่ต้องพูดก็รู้กัน อีกทั้งพลังของขั้วอำนาจลึกลับนี้เทียบเท่ากับแดนศักดิ์สิทธิ์ สามารถเป็นผู้นำระดับสูงของขั้วอำนาจแข็งแกร่งเช่นนี้ได้ นับเป็นโอกาสทองที่หาไม่ได้ง่ายๆ

แต่ว่าแต้มต่อของจ้าวเฟิงคือเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ผลประโยชน์ที่เจ้าสวรรค์เสนอมายังไม่นับว่ามากมาย

“แน่นอน ข้ารับประกันว่าพลังของเจ้าสามารถึงไปขั้นทูตสวรรค์นี้ได้อย่างรวดเร็วแน่นอน กระทั่งอาจกลายเป็นราชาเทพได้ ในเมื่อเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของเจ้าเพียงเล็กน้อย ต่อให้สูญเสียมันไป เจ้าก็ยังสามารถเป็นราชาเทพได้!”

เจ้าสวรรค์พูดต่อไปอย่างเรียบนิ่ง ราวกับว่าเรื่องพวกนี้ง่ายมากยิ่งนักสำหรับเขา

“ราชาเทพ?” แววตาของจ้าวเฟิงตะลึงไป

ค่าตอบเทพที่เจ้าสวรรค์เสนอมาช่างน่าตกใจจริงๆ

ยินยอมร่วมมือแต่โดยดี หลังจากที่มอบเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าให้ไปยังสามารถกลายเป็นผู้นำระดับสูงของขั้วอำนาจนี้ และยิ่งเป็นราชาเทพผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในเขตดินแดนเทพรกร้างได้อีกด้วย!

หากจ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับทางตันจริงๆ ไม่มีทางให้ถอยอีก เช่นนั้นมอบเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าออกไปก็เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดจริงๆ

“เพื่อเป็นการชดเชยให้สายเลือดเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า เจ้ายังเลือกสายเลือดสิบอันดับแรกของหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณได้ตามใจชอบ!”

จิตใจของจ้าวเฟิงยังไม่ทันสงบ เจ้าสวรรค์ก็เสนอผลประโยชน์ที่น่าตกใจออกมาอีก

ชนิดใดก็ได้ในสิบอันดับแรกของหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ!

ต้องรู้ก่อนว่าในสายตาของผู้คนทั่วไป สายเลือดสิบอันดับแรกของหมื่นผ่าพันธุ์โบราณล้วนเป็นสายเลือดที่แข็งแกร่งมากในตำนาน หายากเป็นที่สุด แต่ตอนนี้อีกฝ่ายยังรับปากจ้าวเฟิงด้วยสายเลือดระดับนี้

หากให้จ้าวเฟิงเลือกแล้วละก็ แน่นอนว่าเป็นอันดับหนึ่งของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่หากผสานสายเลือดภายหลัง ระดับการหลอมรวมจะต่ำยิ่งนัก

จ้าวเฟิงจำอวี่เหิงในตอนนั้นได้ เขาก็เพิ่งจะหลอมรวมสายเลือดหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณได้แค่สองสามส่วนเท่านั้น

ครั้นพูดทั้งหมดจบ เจ้าสวรรค์ก็มองจ้าวเฟิงอย่างสงบ

เขาเชื่อว่าไม่มีใครจะปฏิเสธผลประโยชน์เช่นนี้ ตำแหน่งทูตสวรรค์ พลังฝึกตนจอมเทพขั้นสามหรืออาจถึงราชาเทพ ทั้งยังเลือกสิบอันดับแรกของหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณได้ตามต้องการ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version