บทที่ 1481 จอมเทพขั้นหนึ่งสุดยอด
ทูตสวรรค์ทั้งสองที่อยู่หลังห้องลับตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง จนถึงวันนี้ พวกเขายังไม่เคยเห็นเจ้าสวรรค์ลงมือเองเลยสักครั้ง ว่ากันว่าเจ้าสวรรค์ถึงขั้นสามบริบูรณ์แล้ว หรือก็คือขั้นราชาเทพนั่นเอง
ยังเคยได้ยินมากระทั่งว่าพลังของเจ้าสวรรค์ล้ำหน้าเกินกว่าราชาเทพทั่วไป กระทั่งว่าเกือบถึงขั้นนายเหนือหัวแล้ว
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ก็แค่เคยได้ยินมาเท่านั้น แต่ตอนนี้ได้เห็นกับตาตัวเอง พวกเขาจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร
วู้ม! ดวงตาของเจ้าสวรรค์กลายเป็นสีดำมืด ราวกับหุบเหวแห่งความตาย มองไปแล้วชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึง สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวที่ไม่สิ้นสุด
“เนตรมรณะ?” จ้าวเฟิงตกใจ
เนตรมรณะที่เจ้าสวรรค์สำแดงออกมาในตอนนี้เป็นเนตรมรณะที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เขาเคยได้พบมา หากไม่รู้ว่าเจ้าสวรรค์เป็นเผ่าความลับสวรรค์ เขาคงกระทั่งนึกว่าอีกฝ่ายคือเนตรเทพมรณะ
แปดเนตรเทพเจ้าที่กำเนิดขึ้นหลังจากยุคบรรพกาลล้วนเป็นระดับนายเหนือหัวผู้ครองเนตรทั้งสิ้น นายเหนือหัวคือสัญลักษณ์ของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรวาล ไม่มีทางถูกผู้อื่นสังหารชิงดวงตาไปได้ แต่ทว่า หากไม่ใช่เนตรเทพเจ้า เช่นนั้นจะต้องเป็นระดับเนตรปฐมเทพแล้วแน่นอน
“สายเลือดดวงตาก็มีธาตุเช่นกัน เนตรเทพมรณะแฝงไว้ด้วยพลังมรณะดั้งเดิม เมื่อเจ้าเข้าใจพลังกลุ่มนี้ เข้าใจแก่นแท้ของมันอย่างแท้จริง ถึงจะสามารถสำแดงพลังมรณะออกมาได้อย่างเต็มที่!”
เจ้าสวรรค์พูดเสียงเรียบนิ่ง แต่เสี้ยวขณะนี้ รัศมีอำนาจและรูปลักษณ์ของเขากลับเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าตกใจ
เขาในตอนนี้มีเส้นผมดำขลับราวกับภูตผีปีศาจที่ร่ายระบำไปในท้องฟ้ามืดมิด
ทั่วทั้งร่างกายเขาไม่มีพลังชีวิตแม้แต่น้อย ทำให้ดูเย็นชาแปลกตายิ่งนัก ราวกับหลอมเป็นร่างเดียวไปกับเนตรมรณะ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความตาย
“ถึงแม้มรณะจะข่มชีวิต แต่จุดจบสุดท้ายของมรณะคือถือกำเนิดใหม่ จุดจบสุดท้ายของชีวิตคือความตาย ระหว่างทั้งสองต่างมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยก!”
เจ้าสวรรค์เอ่ยต่อ ส่วนเนตรมรณะของเขากลับแผ่ระลอกคลื่นรุนแรง
วู้ม วู้ม! พลังกฎเกณฑ์มรณะที่แข็งแกร่งแผ่ออกมาจากดวงตา แต่ถูกเขาควบคุมไว้ทุกด้าน จึงไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
หลังจากที่พลังมรณะในดวงตาของเจ้าสวรรค์เพิ่มจนถึงขีดสูงสุด ดวงตามรณะคู่นั้นก็พลันเกิดประกายดาวสีเขียวอ่อนๆ เพียงชั่วพริบตา ดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีเขียวมรกต
จ้าวเฟิงตะลึงงัน ทั่วร่างเจ้าสวรรค์ที่อยู่เบื้องหน้าเขาเต็มไปด้วยพลังชีวิตที่บริสุทธิ์ เป็นพลังชีวิตที่สิ่งมีชีวิตใดๆ ล้วนเฝ้าปรารถนา
ส่วนทั้งตัวเจ้าสวรรค์ก็เปลี่ยนมาอบอุ่นดูเป็นมิตร ราวกับมาจากธรรมชาติ เหมือนกับต้นไม้โบราณแห่งสรรพชีวิตที่อยู่ในป่าลึก
“เนตรชีวิต!” จ้าวเฟิงตื่นตกใจ
เนตรมรณะเมื่อครู่กลายเป็นเนตรชีวิตชั่วพริบตา อีกทั้งเจ้าสวรรค์ยังเข้าใจในทั้งสองเนตรอย่างถ่องแท้ยิ่ง
“ชะตาจะมาพร้อมกับการกำเนิดชีวิตโดยไร้รูปร่าง!” เจ้าสวรรค์ยิ้มพูดขึ้น
เนตรชีวิตของเขาเปลี่ยนเป็นเนตรทำนายในชั่วพริบตาเดียว
เขาในตอนนี้มองไปแล้วราวกับนักปราชญ์ที่ล่วงรู้ความลับทุกอย่างบนโลกนี้ ดูสัมผัสไม่ได้ ยากจะแตะต้องถึง
“นี่…ทำไมกัน!” หลังจากที่จ้าวเฟิงตื่นตะลึงในใจ สิ่งที่มีมากกว่าคือครุ่นคิดจริงจัง
เขาไม่เคยเห็นคนคนหนึ่งครอบครองสายเลือดดวงตามากมาย ทั้งยังสามารถใช้ได้ตามใจเช่นนี้มาก่อน
โดยปกติแล้ว หากในกายคนคนหนึ่งมีสายเลือดสองชนิด จะเกิดการกลืนหรือผสานกันเอง นอกจากนั้น เจ้าสวรรค์ยังสำแดงสายเลือดเนตรเทพเจ้าออกมาสามชนิดแล้ว
จ้าวเฟิงอดคิดไม่ได้ว่าเขาจะมีสายเลือดของทายาทแปดเนตรเทพเจ้าเลยหรือไม่!
จินตนาการได้ยากว่าหากพลังสายเลือดแปดชนิดที่แข็งแกร่งเช่นนี้มารวมอยู่ที่คนคนเดียว จะมอบพลังที่แข็งแกร่งให้กับเขาได้ถึงเพียงใด
‘เขาหมายปองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าของข้า มีเป้าหมายอะไรกันแน่…’
จ้าวเฟิงพลันนึกอะไรขึ้นได้ ใจสั่นสะท้านขึ้นอีกครั้ง ชั่วขณะนี้ เขากระทั่งนึกถึงตำนานของบรรพบุรุษดวงตา
เล่ากันว่าเมื่อแปดเนตรเทพเจ้ารวมเป็นหนึ่ง จะสามารถเรียก ‘บรรพบุรุษดวงตาสูงสุด’ ออกมาได้
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น ไม่อาจพิสูจน์ความเป็นจริงได้ อีกทั้งเงื่อนไขของเรื่องเล่าคือแปดเนตรเทพเจ้าต้องรวมเป็นหนึ่ง ไม่ใช่สายเลือดรุ่นหลังของเนตรเทพเจ้า แต่ว่าทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าเท่านั้น เรื่องจริงเป็นเช่นไรไม่มีใครรู้
จ้าวเฟิงก็ไม่อาจเดาได้ว่าตกลงแล้วเจ้าสวรรค์คาดหวังอะไรกันแน่
ทูตสวรรค์ทั้งสองที่อยู่หลังเจ้าสวรรค์ก็ตื่นตะลึงเกินบรรยายเช่นกัน
ทูตสวรรค์อีกคนนอกจากเป่ยหมิงฮุยก็มีสายเลือดทายาทเนตรเทพเจ้า แต่ด้านการควบคุมยังเทียบเจ้าสวรรค์ไม่ได้
“ข้ายังมีธุระอีก พวกเจ้าทั้งสองอยู่รอคำตอบจากจ้าวเฟิงที่นี่ต่อไปเถิด!”
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เจ้าสวรรค์ก็ไปจากที่นี่
ณ ฐานลับอีกแห่งหนึ่ง
“ท่านเจ้าสวรรค์ เจ้านั่นยังไม่ยอมให้คำตอบท่านอีกรึ?” ผู้คุมกฎถาม
เวลาผ่านไปอีกปีหนึ่งแล้ว
“เขาไม่ได้คิดจะมอบเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามาหรอก!” เจ้าสวรรค์พูดเรียบๆ
จากท่าทีของจ้าวเฟิงในช่วงนี้ อีกทั้งสีหน้าท่าทางของจ้าวเฟิงเมื่อครู่ เขาก็ได้ข้อสรุปของตัวเองแล้ว
“เช่นนั้นแล้วพวกเรายังจะ…” สีหน้าของผู้คุมกฎคร่ำเคร่งลง
“ไม่ต้องรีบร้อนไป ทรัพยากรพวกนี้สำหรับข้าแล้วไม่เท่าไหร่ คนคนนี้ก็นับว่ามีความสามารถ ข้าไม่ได้อยากฆ่าเขา!” เจ้าสวรรค์ตัดบทผู้คุมกฎ
“ขอรับ!” ผู้คุมกฎจึงไม่พูดอะไรต่อ
ตอนนี้เจ้าสวรรค์มองออกแล้วว่าจ้าวเฟิงไม่ได้มีใจจะยอมศิโรราบให้ แต่เพื่อคนมีความสามารถคนนี้ เจ้าสวรรค์ไม่สนใจความไร้เหตุผลของจ้าวเฟิงในช่วงนี้ ผู้คุมกฎนับถือความใจกว้างของเจ้าสวรรค์จากใจจริง
หลังจากเจ้าสวรรค์จากไป จ้าวเฟิงก็ปิดด่านฝึกตนและศึกษาสายเลือดดวงตาต่อ
จ้าวเฟิงได้รับแรงบันดาลใจและการชี้แนะมากมายจากเจ้าสวรรค์
“เปลี่ยนมายา!” จ้าวเฟิงสำแดงความสามารถจากพลังดั้งเดิมของเนตรเทพมายา
ทันใดนั้น ทุกอย่างเบื้องหน้าของเขาราวกับภาพความฝัน พร่างพรายเป็นอย่างยิ่ง
ทูตสวรรค์ทั้งสองก็สัมผัสได้ถึงพลังนี้เช่นกัน ตอนนี้พวกเขารู้สึกอึดอัดไม่สบายไปทั่วร่าง เกิดความรู้สึกกระวนกระวายอย่างประหลาด
เวลาต่อมา จ้าวเฟิงสำแดงเปลี่ยนมายาอีกหลายครั้ง
ครั้งสุดท้าย ทูตสวรรค์ทั้งสองรู้สึกกระทั่งว่าวิญญาณและสภาพกายเทพของตนอ่อนแรงลงอย่างไร้สาเหตุ
ข้างในชุดคลุมมิติ
“พลังของเปลี่ยนมายาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนแล้ว!”
จ้าวเฟิงลืมตาขึ้น มุมปากแย้มยิ้มบางๆ
แท้ที่จริงแล้วจ้าวเฟิงเพียงแค่เข้าใจการใช้เนตรเทพมายาลึกซึ้งยิ่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงวิชาดวงตามายาอื่นๆ จึงมีอานุภาพเพิ่มขึ้น
ภายในฐานลับ
เจ้าสวรรค์และผู้คุมกฎมองภาพบนม่านแสงสีขาวเบื้องหน้า
“พลังของเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าอย่างนั้นรึ?”
ผู้คุมกฎจับจ้องอย่างจริงจัง
ขณะเดียวกัน ข้างๆ ยังมีกระแสจิตของทูตสวรรค์ทั้งสองส่งเสียงมา พวกเขากำลังบรรยายถึงความรู้สึกแปลกประหลาดต่างๆ
“พลังเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าค่อนข้างซับซ้อน ไม่ค่อยเหมือนกับแปดเนตรเทพเจ้าอื่นๆ!”
แววตาของเจ้าสวรรค์หนักอึ้ง
เขาค้นพบเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เหมือนว่าจะต่างไปจากความคิดของเขา
ในห้องลับ
“ไม่ทราบว่าพวกท่านมีเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนประเภทมิติหรือไม่?”
จ้าวเฟิงมองไปยังทูตสวรรค์ทั้งสองพร้อมส่งยิ้มเจ้าเล่ห์
“เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชน?” เป่ยหมิงฮุยเกือบสบถด่าออกมา
โชคดีที่เขามั่นใจว่าจ้าวเฟิงไม่อาจหนีไปจากที่นี่ได้ เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนที่จะเอาไปก็แค่ ‘หยิบยืม’ เท่านั้น
หลังจากนั้นสามวัน เป่ยหมิงฮุยก็กลับมาที่นี่ แล้วหยิบชิ้นผ้าสีขาวที่ราวกับมีหยกทองไหลเวียนและไร้ซึ่งน้ำหนักใดๆ ออกมา
นี่ก็คือเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนประเภทมิติ
หลังจากได้เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนมิติมาไว้ในมือแล้ว จ้าวเฟิงก็รีบเข้าไปฝึกฝนในชุดคลุมมิติทันที หลักๆ แล้วเขาฝึกฝนกฎเกณฑ์มิติ นี่เป็นการตัดสินภาพรวมของพลังฝึกตนเขาแล้ว
อีกทั้งมิติและเวลาคือหนึ่งเดียวกัน หลังจากที่ได้เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนประเภทมิติมา บางทีอาจจะช่วยให้ทะลวงข้อติดขัดด้านเสวียนอ้าวเวลาของเขาได้ หลังจากนั่งลงขัดสมาธิ จ้าวเฟิงก็โคจร ‘วิชาพลังฟ้าประสานหนึ่ง’ แล้วฝึกฝนกฎเกณฑ์มิติ
เวลาสองเดือน พลังฝึกตนของเขาพัฒนาไปมาก
ครึ่งปีหลังจากนั้น เสวียนอ้าวเวลาของจ้าวเฟิงก็ทะลวงขอบเขตพลังกฎเกณฑ์ภายใต้การช่วยเหลือจากเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนประเภทมิติ และเนื่องจากการปรากฏขึ้นของกฎเกณฑ์เวลา พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงก็ยกระดับขึ้นอีกเช่นกัน
เวลาผ่านไปอีกสองเดือน พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงไปถึงจอมเทพขั้นหนึ่งสุดยอด!
แต่ว่านี่ก็หมายถึงว่าเคล็ดวิชาของเขาใกล้จะถึงขีดสูงสุดแล้ว ต่อไปหากคิดอยากจะพัฒนา ถ้าไม่หาเคล็ดวิชาใหม่ก็ต้องสรรสร้างเคล็ดวิชาขึ้นเอง แต่จ้าวเฟิงเอนเอียงไปทางการหาเคล็ดวิชามากกว่า เพราะเขาตอนนี้ต้องแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด การสร้างวิชาขึ้นเองต้องเสียเวลามากมายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ราคาของเคล็ดวิชาขั้นสองและสามไม่อาจประเมินได้ มรดกที่แข็งแกร่งบางอย่างถึงขั้นไม่ต่ำกว่าเศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนด้วยซ้ำ”
ส่วนเคล็ดวิชาที่เหมาะกับจ้าวเฟิง
บางทีอาจจะเหลือเคล็ดวิชาเผ่าทำนุฟ้าที่เป่ยหมิงฮุยฝึกฝน เคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งเช่นนี้ราคาก็จะสูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง
“ทูตสวรรค์เป่ยหมิงฮุย ไม่ทราบว่าท่านจะให้ข้ายืมเคล็ดวิชาของท่านมาศึกษาสักหน่อยได้หรือไม่?” จ้าวเฟิงถามหยั่งเชิงก่อน
“…ไม่มีทาง!” เป่ยหมิงฮุยอึ้งไป ก่อนจะปฏิเสธอย่างโมโห
แต่เขาก็แจ้งคำขอนี้ไปทางผู้คุมกฎด้วย
“จ้าวเฟิง นอกเสียจากเจ้าจะยอมให้ความร่วมมือกับพวกเรา มอบเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามา อีกทั้งลงพันธะสัญญาวิญญาณ…”
น้ำเสียงของผู้คุมกฎต่ำทุ้มเล็กน้อย
เคล็ดวิชาจอมเทพขั้นสองขึ้นไปล้ำค่ามากนัก ย่อมไม่มีทางมอบให้กับจ้าวเฟิงได้อีกทั้งเขาก็รู้ว่าตอนนี้จ้าวเฟิงไม่ได้มีใจยินยอมให้ความร่วมมือ
“ข้าขอคิดก่อน!” จ้าวเฟิงก้มหน้าขบคิด แต่ในใจเขาล้มเลิกความคิดนี้ไปแล้ว และคิดหาวิธีที่จะลงมือจากด้านอื่น
อีกหลายวันหลังจากนั้น
“พวกท่านเป็นขั้วอำนาจยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่ามีตำราล้ำค่ามากน้อยเพียงใด พอดีข้าอยากจะทำความเข้าใจเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าให้ลึกขึ้นสักหน่อย!”
จ้าวเฟิงวางแผนใช้เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามาบังหน้าถามหยั่งเชิง
“เจ้ามากับข้า!” เป่ยหมิงฮุยมองจ้าวเฟิงตาเขียว
คนคนนี้ช่างไม่ปล่อยให้ประโยชน์อะไรหลุดมือไปทั้งนั้น ก่อนหน้านี้ก็ทรัพยากร หลังจากนั้นเป็นเศษเสี้ยวอาวุธที่ล้ำค่า ตอนนี้ยังเอ่ยคำขอจะเข้าไปในห้องตำราลับของเผ่าความลับสวรรค์อีก
ด้วยความรู้ของเผ่าความลับสวรรค์ เชื่อว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ใดๆ ก็เทียบกับคลังตำราของที่นี่ไม่ได้
ไม่นานนัก จ้าวเฟิงก็มาถึงมิติเก็บหนังสือที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง
หนังสือทั้งหมดในมิติเก็บรักษาแยกตามประเภท ความหลากหลายของเนื้อหาพูดได้กระทั่งว่ามีทุกสิ่ง
“เจ้าเข้าไปได้มากที่สุดเพียงชั้นห้า” เป่ยหมิงฮุยกำชับก่อนจะจากที่นี่ไป
จ้าวเฟิงไม่พูดมากความ ฝังตัวเข้าไปในบรรดากองหนังสือ
ก่อนอื่น เขาหาตำราที่เกี่ยวกับเนตรเทพเจ้ามาจำนวนหนึ่ง ต่อมาก็เปิดอ่านหนังสือประเภทต่างๆ ระหว่างนี้เขาได้อ่านหนังสือที่เกี่ยวกับเผ่าทำนุฟ้าไปบ้าง
“ยุคบรรพกาลรกร้าง เขตพื้นที่ที่เผ่าทำนุฟ้าดำรงชีวิตอยู่…ยุคโบราณ เผ่าทำนุฟ้าอยู่ที่นี่…”
สิ่งที่จ้าวเฟิงอ่านล้วนเกี่ยวกับเขตพื้นที่สำคัญซึ่งเผ่าทำนุฟ้าดำรงชีวิตอยู่ อีกทั้งยังมีข่าวลือเกี่ยวกับทายาทเผ่าทำนุฟ้าที่ปรากฏตัวขึ้น หลังจากได้อ่านแล้ว จ้าวเฟิงรู้เรื่องที่คนรุ่นหลังค้นพบมรดกของผู้แข็งแกร่งเผ่าทำนุฟ้าห้าแห่ง
เมื่อรวมกับพื้นที่ที่เผ่าทำนุฟ้าดำรงชีวิตและข้อสงสัยที่เกี่ยวข้อง จ้าวเฟิงยืนยันได้สามแห่งอย่างรวดเร็ว
สามที่นี้เป็นไปได้มากว่าอาจจะซ่อนความลับและมรดกของเผ่าทำนุฟ้าเอาไว้
หลังจากทำเรื่องพวกนี้เสร็จสิ้น จ้าวเฟิงก็ค้นหาเรื่องที่ตนเองสนใจ เช่นอาวุธบรรพชนสูงสุด แปดเนตรเทพเจ้า และเผ่าความลับสวรรค์
หนังสือที่นี่มีเนื้อหามากมายยิ่งนัก ทำให้จ้าวเฟิงเข้าใจเรื่องบางอย่างเกี่ยวกับจักรวาลล้ำลึกยิ่งขึ้น
จ้าวเฟิงอยู่ในคลังตำราลับเผ่าความลับสวรรค์เดือนหนึ่งก็จากไป
เมื่อกลับมาฝึกที่ห้องลับอีกหลายวัน จ้าวเฟิงก็เอ่ยปากขอสู้กับเป่ยหมิงฮุยอีกครั้ง
ภายในห้องฝึก
“หึ!” เป่ยหมิงฮุยหัวเราะเหยียดหยาม ในดวงตามีความเคืองแค้น แต่เขาก็ยังลงมือซัดพลังเทพปั่นป่วนกลุ่มนั้นออกไป
“กระบี่เทพรวมศูนย์!” จ้าวเฟิงผสานกฎเกณฑ์มิติและกฎเกณฑ์เวลา อีกทั้งเสวียนอ้าวขั้นเก้าบริบูรณ์ทั้งหลายเข้าไปในพลังเทพรวมศูนย์ขั้นหนึ่งสุดยอด จากนั้นหลอมรวมออกเป็นกระบี่เทพรวมศูนย์เล่มหนึ่ง
ครืน บึ้ม! กระบี่หนึ่งของจ้าวเฟิงฟันลงมา ทั้งสองฝั่งยื้อยุดกันไม่ถึงชั่วขณะก็พังทลายสลายไปด้วยกัน
“อะไรกัน?” สีหน้าของเป่ยหมิงฮุยเปลี่ยนไปทันที จ้องเพ่งอย่างตกใจ
เมื่อครู่เขาใช้พลังไปเจ็ดส่วน เตรียมบุกโจมตีจ้าวเฟิงให้ล่าถอย แต่คิดไม่ถึงว่าจ้าวเฟิงจะรับไว้ได้ นี่เพิ่งจะผ่านไปนานไม่เท่าไหร่ ความก้าวหน้าของจ้าวเฟิงเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วราวฟ้ากับเหวเลยทีเดียว