Skip to content

King of Gods 1482

King Of Gods

บทที่ 1482 จากไปอย่างปลอดภัย

เป่ยหมิงฮุยเป็นถึงผู้แข็งแกร่งชั้นยอดในบรรดาขั้นสาม ทั้งยังมีสายเลือดเผ่าทำนุฟ้า แต่การโจมตีพลังเทพกลับถูกจอมเทพขั้นหนึ่งสุดยอดต้านทานเอาไว้ได้

ทำให้เป่ยหมิงฮุยยิ่งคับแค้นใจ

“เข้ามาอีก!” จ้าวเฟิงคำรามเสียงต่ำ ในใจค่อนข้างตื่นเต้น

พลังเทพรวมศูนย์ของเขาพัฒนาไปมากถึงขนาดนี้ แน่นอนว่าเพราะได้ประโยชน์จากการปรากฏขึ้นของกฎเกณฑ์เวลา และการเพิ่มพลังของเสวียนอ้าวเก้าขั้นทั้งหลาย

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นกฎเกณฑ์มิติ กฎทั้งสองชนิดนี้เดิมทีคือหนึ่งเดียวกัน เพิ่มพลังให้กับพลังเทพรวมศูนย์ได้มากที่สุด

ครืน! เป่ยหมิงฮุยสะบัดมือ สำแดงฝ่ามือแสงปั่นป่วนขนาดมหึมาบดขยี้ไปยังจ้าวเฟิง

ครั้งนี้เขาตั้งใจขึ้นอีกเล็กน้อย ใช้พลังไปแปดส่วนด้วยกัน

“สลาย!” จ้าวเฟิงก็สัมผัสได้ว่ากระบวนท่าโจมตีนี้แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มากนัก จึงรับมือไปอย่างเต็มกำลัง

ขนาดของกระบี่เทพรวมศูนย์ในมือเขาขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วกวัดแกว่งโจมตีออกไปอย่างรุนแรง

ครืน บึ้ม! เสวียนอ้าวและกฎเกณฑ์มากมายโคจรขึ้น พลังเทพหลั่งไหลออกมา สุดท้ายพลังของทั้งสองฝ่ายต่างสลายไป

“อะไรกัน เจ้าเด็กนี่ยังต้านทานได้อีกรึ!” เป่ยหมิงฮุยมีสีหน้าเคร่งเครียด ยิ่งเพิ่มความจริงจังขึ้นอีก

ครั้งต่อไปเขาต้องลงมือเต็มที่ เอาชนะจ้าวเฟิงให้ได้ แต่ประโยคต่อไปของจ้าวเฟิงกลับทำให้เขาทั้งโกรธทั้งแค้น

“พอแค่นี้ก็แล้วกัน” จู่ๆ จ้าวเฟิงก็เอ่ยปากแล้วไปจากห้องฝึก

เขาเรียกเป่ยหมิงฮุยมาก็เพียงเพื่อทำความเข้าใจว่าพลังเทพของตนในตอนนี้ถึงระดับขั้นไหนแล้ว

“ข้าไปเยี่ยมชมอาณาบริเวณของพวกท่านได้หรือไม่? ข้าสงสัยนักว่าขั้วอำนาจของพวกท่านแข็งแกร่งถึงเพียงใด!” จ้าวเฟิงถามขึ้นหลังจากออกมาจากห้องฝึกฝน

“ได้!” ผ่านไปครู่หนึ่งเป่ยหมิงฮุยถึงจะตอบ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขากำลังขอคำแนะนำจากผู้คุมกฎ

จากนั้นเป่ยหมิงฮุยกับทูตสวรรค์อีกคนหนึ่งก็มาอยู่ขนาบสองข้างของจ้าวเฟิง พาเขาไปเปิดหูเปิดตาชมสภาพภายในอาณาจักรเทพ

อาณาจักรเทพแห่งนี้คือภูเขายักษ์ที่มีเมืองความลับสวรรค์สามเมืองเชื่อมต่อกัน

ตอนนี้จ้าวเฟิงกำลังอยู่กลางเขาลูกหนึ่ง

สมาชิกมากมายสัญจรไปมาตามระหว่างทาง ทะลุผ่านไปในสิ่งก่อสร้างทุกแห่ง ดูแล้วยุ่งกันมาก แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อทูตสวรรค์ทั้งสองผ่านไป ทุกคนก็จะทำความเคารพอย่างนอบน้อม

“คนคนนี้เป็นใคร? ถึงขนาดต้องให้ทูตสวรรค์ทั้งสองตามติดซ้ายขวา!”

“อาจจะเป็นสมาชิกคนสำคัญในตระกูลอวี่กระมัง!”

จ้าวเฟิงได้ยินคำซุบซิบบางอย่างระหว่างทาง

“สกุลอวี่? มีอะไรพิเศษงั้นรึ?”

จ้าวเฟิงถามออกมา อวี่เหิงที่เขาฆ่าในตอนนั้นก็สกุลอวี่เช่นกัน

“สกุลอวี่คือสกุลของบรรพชนเผ่าความลับสวรรค์ เป็นสัญลักษณ์ของสายเลือดเผ่าความลับสวรรค์ที่บริสุทธิ์!”

เป่นหมิงฮุยหัวเราะเหยียดหยามก่อนจะพูดขึ้น

ขั้วอำนาจที่พวกเขาอยู่เป็นขั้วอำนาจที่สร้างขึ้นโดยเผ่าความลับสวรรค์ เผ่าอันดับสามของรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ แต่จ้าวเฟิงกลับไม่รักดี จนถึงตอนนี้ยังไม่ยอมรับปากเจ้าสวรรค์

“เช่นนั้นรึ? เช่นนั้นเจ้าสวรรค์ก็สกุลอวี่เช่นกันกระมัง!” จ้าวเฟิงพึมพำ

มิน่าเล่า หลังจากที่เขาฆ่าอวี่เฟิงในตอนนั้นแล้ว เจ้าสวรรค์ก็จับตามองตน ที่แท้ฐานะของอวี่เหิงพิเศษเช่นนี้นี่เอง

“ใช่แล้ว อวี่เหิงที่เจ้าสังหารเป็นหลานของผู้อาวุโสเผ่าความลับสวรรค์คนหนึ่ง ผู้อาวุโสคนนี้คิดจะสังหารเจ้าเลยด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะเจ้าสวรรค์ขัดขวาง เจ้าได้ตายไปตั้งนานแล้ว!” เป่นหมิงฮุยหัวเราะเสียงเย็น

แท้ที่จริงแล้วเขากำลังเตือนจ้าวเฟิงให้ศิโรราบต่อพวกตน เพราะเป่ยหมิงฮุยเชื่อในแผนการของเจ้าสวรรค์

จ้าวเฟิงกลับไม่สนใจ เดินชมที่นี่ต่อไป

อันที่จริงตอนนี้เขามีแผนที่จะจากไปแล้ว ในเมื่อเขาได้ประโยชน์จากที่นี่ไปมากเพียงพอ อยู่นานเกินไปเกรงว่าจะเกิดเรื่องได้

เขาเอ่ยขอความต้องการนี้ก่อนจาก ก็เพราะอยากจะพยายามเก็บข้อมูลบางอย่างให้มากที่สุด และทำความเข้าใจสถานการณ์อีกสักนิด

เขาโคจรดวงตาซ้ายเล็กน้อย ทำให้มองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปทั้งหลายมองไม่เห็น รวมทั้งสิ่งที่เจ้าสวรรค์ไม่ให้ตนเห็น

เขาพบว่าในภูเขาด้านซ้าย ในสิ่งก่อสร้างจำนวนมากเป็นที่เพาะปลูกของล้ำค่า

จ้าวเฟิงกระทั่งมองเห็นของล้ำค่าหายากยุคบรรพกาลจำนวนหนึ่ง มีครบครันมากมายหลายชนิด แน่นอน สิ่งที่เขามองเห็นน่าจะยังไม่ใช่สิ่งที่ล้ำค่าที่สุด สิ่งที่มีค่ามากที่สุดจะต้องซ่อนไว้ลับตาแน่ และในภูเขาฝั่งขวา สิ่งก่อสร้างส่วนมากเกี่ยวกับสายเลือด

ผู้แข็งแกร่งในขั้วอำนาจนี้ล้วนมีสายเลือดแข็งแกร่งที่ชวนให้คนอิจฉาริษยา แต่สิ่งนี้เป็นของล้ำค่าที่ได้มาภายหลัง

นอกจากนั้น ไม่ใช่คิดอยากจะผสานสายเลือดอะไรก็ผสานสายเลือดนั้นได้ จุดนี้คล้ายกับเมืองความลับสวรรค์ที่จ้าวเฟิงเข้าไปในตอนนั้น ก่อนจะเพิ่มความแข็งแกร่งสายเลือดต้องตรวจสอบก่อนว่าเหมาะจะเพิ่มสายเลือดประเภทใด นอกจากนั้น อัตราความสำเร็จในการผสานสายเลือดก็ต่ำมาก ดีไม่ดีอาจจะร่างระเบิดตายได้

‘ศูนย์กลางอาณาจักรเทพน่าจะเป็นภูเขาที่อยู่ตรงกลาง!’

จ้าวเฟิงเริ่มประเมินภูเขาลูกนี้

สถานที่ต้องห้ามข้างหลังนั้นมองไม่ทะลุปรุโปร่งเลยสักนิด รอบด้านมีเขตแดนค่ายกลที่แข็งแกร่งป้องกันอยู่

ในยามที่จ้าวเฟิงเพ่งจ้องไป เขารู้สึกกระทั่งว่าพลังกลุ่มนี้ก็กำลังสำรวจตนเองอยู่เช่นกัน

จ้าวเฟิงมองเห็นเงาอยู่เลือนๆ เป็นชุดคลุมที่เลือนรางตัวหนึ่ง

ในยามที่จ้าวเฟิงกำลังสำรวจอยู่นั้นเอง

ครืน ตูม ตูม! ทั่วทั้งอาณาจักรเทพสั่นไหวขึ้นอย่างรุนแรง ไอสวรรค์ฟ้าดินไหวกระเพื่อม

ฟุ่บ~ ภายในอาณาจักรเทพ เรือรบมหึมาหลายลำแล่นทะยานออกไป

“เกิดอะไรขึ้น?” สายตาของจ้าวเฟิงเคร่งเครียด มองสำรวจอย่างละเอียด

“ไป กลับไป!” เป่ยหมิงฮุยคำรามขึ้น จากนั้นพาจ้าวเฟิงกลับไปทันที

จ้าวเฟิงเห็นผู้แข็งแกร่งมากมายไปจากภูเขาทั้งสาม บินไปยังที่ไกลๆ

“หรือว่ามีใครพบที่นี่เข้าแล้วโจมตีมา?” จ้าวเฟิงคาดเดาในใจ

ซึ่งน่าจะไม่ผิดพลาดนัก อาจเพราะด้วยเหตุนี้ เป่ยหมิงฮุยจึงพาจ้าวเฟิงกลับไปทันที ด้วยกลัวว่าเขาจะฉวยโอกาสไปจากอาณาจักรเทพ

จ้าวเฟิงก็ไม่ได้ต่อต้านแม้แต่น้อย กลับไปยังห้องลับก่อนหน้านี้ทันที หลังจากเปิดเขตแดนค่ายกลแล้ว ทูตสวรรค์ทั้งสองถึงจากไปอย่างวางใจ

ในท้องฟ้ามืดหม่นของโลกภายนอก มีเงาคนหลายร้อยคนลอยอยู่

คนพวกนี้แทบจะเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นเทพโบราณหรือกระทั่งจอมเทพ ในนั้นมีเงาร่างคนชุดขาว มือถือพัดสีขาว เขาคือถังไป๋นั่นเอง

และเหนือขึ้นไปอีกในท้องฟ้ามีผู้อาวุโสชุดขาวที่ร่างกึ่งโปร่งแสง ไร้ซึ่งกลิ่นอายอยู่คนหนึ่ง

“ขั้วอำนาจที่ลึกลับเช่นนี้ ข้าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน!” ผู้อาวุโสชุดขาวพึมพำ

วู้ม วู้ม! ระลอกคลื่นน้ำแผ่ไปในท้องฟ้า เรือรบสีดำลำหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้น

บนเรือรบล้วนเป็นหุ่นเชิดทั้งสิ้น ทั้งยังมี ‘องครักษ์เทพแห่งความตาย’ ที่ระดับสูงยิ่งกว่าด้วย

จากนั้น จอมเทพที่กลิ่นอายแข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้น ผู้อาวุโสชุดดำคนหนึ่งก้าวออกมาพูดอย่างราบเรียบ “แดนศักดิ์สิทธิ์ผนึกเทพ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน?”

ผู้อาวุโสชุดดำคนนี้ก็คือทูตสวรรค์ที่จ้าวเฟิงเห็นเป็นคนแรกตอนที่มาถึงยังวังมืดสลัว

“หึ ข้าสิต้องถามว่าพวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร ไยจึงโจมตีจอมเทพของแดนศักดิ์สิทธิ์ผนึกเทพ ยิ่งไปกว่านั้นยังจะสังหารเขาอีก!”

ในกองทัพเผ่าผนึกเทพ จอมเทพขั้นสามคนหนึ่งก้าวออกมา คนที่อยู่ข้างกายเขาคือถังไป๋

อีกด้านหนึ่ง สีหน้าของเป่ยหมิงฮุยแข็งทื่อไปเล็กน้อย

นี่คือความบกพร่องต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเขา ในตอนนั้นหากฆ่าถังไป๋ไปก็จะไม่มีทางเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น

ข้างในอาณาจักรเทพเผ่าความลับสวรรค์

เจ้าสวรรค์กับผู้คุมกฎลอยอยู่กลางท้องฟ้า

“คิดไม่ถึงเลยว่าคนของแดนศักดิ์สิทธิ์ผนึกเทพจะมาถึงที่นี่!” ผู้คุมกฎค่อนข้างตกใจ

ต่อให้ในตอนนั้นเป่ยหมิงฮุยปล่อยให้มีคนหลุดรอดไป แต่คนของแดนศักดิ์สิทธิ์ผนึกเทพก็ไม่น่าพบที่ซ่อนของพวกเขาได้

“พวกเขาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้!”แววตาล้ำลึกของเจ้าสวรรค์ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ ราวกับตกอยู่ในห้วงความทรงจำ

“เป็นเช่นนี้นี่เอง!” ผู้คุมกฎพยักหน้า แต่ไม่พูดอะไรอีก

ภายในเผ่าความลับสวรรค์ไม่ได้สงบนัก เรื่องครั้งนี้เขาตั้งตัวไม่ทัน นั่นก็พิสูจน์ว่าอวี่เทียนอูเป็นผู้ผลักดันเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตัวเอง

“พวกเจ้าลงมือเถอะ กำราบพวกเขามันเสีย จากนั้นค่อยเคลื่อนย้ายอาณาจักรเทพ!”

เจ้าสวรรค์เอ่ยเรียบนิ่ง ก่อนจะกลับไปข้างหลังตามเดิม ส่วนผู้คุมกฎก็ไปจากอาณาจักรเทพเผ่าความลับสวรรค์อย่างรวดเร็วเช่นกัน

ภายในห้องลับ

“ถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว!” จ้าวเฟิงยิ้มน้อยๆ

ในตอนนี้เอง เสียงตูมตามดังสะเทือนเลื่อนลั่นของโลกภายนอกพลันดังเข้ามา แม้กระทั่งมิติยังปั่นป่วนไปด้วย

“ท่าทางจะเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ!” จ้าวเฟิงทอดถอนใจเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่น่าตกใจนั้น

ระดับขั้นการต่อสู้เช่นนี้ อย่างน้อยต้องมีจอมเทพขั้นสามออกโรง กระทั่งราชาเทพออกโรงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แต่อาณาจักรเทพแห่งนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเสียหาย

เห็นได้ว่าใจกลางของอาณาจักรเทพแห่งนี้แข็งแกร่งมั่นคงเพียงใด!

“หึๆ พวกเจ้าสู้กันไปเถอะ ข้าไปก่อนล่ะ!” จ้าวเฟิงหัวเราะเสียงต่ำ ก่อนจะนั่งลงขัดสมาธิ

ถึงแม้เป่ยหมิงฮุยพูดว่าต่อให้เป็นราชาเทพที่เชี่ยวชาญด้านมิติก็ไม่มีทางเคลื่อนย้ายออกไปจากมิติแห่งนี้ได้ แต่จ้าวเฟิงเชื่อว่าส่งวิญญาณของเขาไม่เกี่ยวกับกฎเกณฑ์มิติ

ในตอนนั้นเขากลับไปยังดินแดนเทพรกร้างจากนอกเมืองของดินแดนทวีปด้วยซ้ำ

“เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนมิติ ถือว่าพวกเจ้าให้ข้าก็แล้วกัน!” เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนที่ขอยืมไปก่อนหน้านี้ เขายังไม่ได้เอาไปคืน

เจ้าสวรรค์สามารถมองเห็นจ้าวเฟิงได้จากในพื้นที่ต้องห้าม เขาพบว่าจ้าวเฟิงกำลังนั่งขัดสมาธิ คิดว่าอีกฝ่ายกำลังฝึกฝน จึงไม่ได้ไปสนใจอะไรนัก อีกทั้งในตอนนี้เขาต้องควบคุมอาณาจักรเทพทุกด้าน ป้องกันไม่ให้คนนอกแฝงตัวเข้ามา ทั้งยังต้องเตรียมเคลื่อนย้ายฐานที่มั่น

ครืน บึ้ม ตูม!

ไม่นานเท่าใด ความเคลื่อนไหวในอาณาจักรเทพก็จบสิ้นลง

โลกภายนอก แดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดถอนกำลังไป

ผู้อาวุโสชุดขาวที่อยู่กลางท้องฟ้าเผยสีหน้าเคร่งเครียด แค่นเสียงต่ำพูดขึ้นว่า “หวังว่าเผ่าความลับสวรรค์จะไม่ทำผิดเช่นเดียวกับเมื่อก่อน…”

คู่มือคือเผ่าความลับสวรรค์ และที่นี่ยังเป็นถิ่นของอีกฝ่าย พวกเขาไม่มีโอกาสชนะเลย อีกทั้งการปะทะกันสั้นๆ เมื่อครู่นี้พวกเขาก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ จากนั้นสมาชิกแดนศักดิ์สิทธิ์ผนึกเทพถอยจากไปทั้งหมด เพียงชั่วพริบตาเดียว คนทั้งหมดของเผ่าความลับสวรรค์ก็กลับมาในอาณาจักรเทพ

ในขณะเดียวกัน อาณาจักรเทพแห่งนี้ก็เคลื่อนย้ายไปที่อื่นอย่างรวดเร็ว

พื้นที่ต้องห้ามในอาณาจักรเทพ

“ท่านเจ้าสวรรค์ เรื่องของพวกเราจะช้าเร็วอย่างไรแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นก็ต้องรู้ รวมถึงเหล่านายเหนือหัวด้วย!”

สีหน้าของผู้คุมกฎค่อนข้างกังวล

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไป!” เจ้าสวรรค์พูดเรียบๆ ประกายเหี้ยมโหดฉายขึ้นในดวงตาล้ำลึก

“ท่านเจ้าสวรรค์ จ้าวเฟิงเขา…” ผู้คุมกฎมองไปยังม่านแสงสีขาวที่อยู่ไม่ไกล สีหน้าตื่นตะลึง

“เขาหายไปแล้ว!” สีหน้าเจ้าสวรรค์มืดทะมึน ทั่วทั้งมิติกดดันขึ้นทันที

ผู้คุมกฎตะลึงงันอยู่กับที่ ตื่นตกใจมากอย่างเห็นได้ชัด

“หรือจะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ผนึกเทพ ไม่ก็นายเหนือหัวแอบลงมือ?” ผู้คุมกฎขบคิดพลางคาดเดา

เจ้าสวรรค์เฝ้ารักษาอยู่ที่นี่ด้วยตนเอง จ้าวเฟิงกลับยังหายตัวไปได้ เรื่องนี้ช่างเกินคาดนัก อีกทั้งก่อนหน้านี้ แดนศักดิ์สิทธิ์ผนึกเทพก็โจมตีมาพอดี เป็นไปได้เป็นมากว่าอาจเกี่ยวพันกับพวกเขา แต่ทว่า ต่อให้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ผนึกเทพก็ไม่มีความสามารถเช่นนี้ ดังนั้นผู้คุมกฎจึงคาดเดาว่ามี ‘นายเหนือหัวราชาเทพ’ แอบลงมือ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version