บทที่ 1497 แผนการของจ้าวเฟิง
ตอนจ้าวเฟิงสอบถามสถานที่ตั้งแน่นอนของขั้วอำนาจที่เกี่ยวข้องกับเผ่าความลับสวรรค์ สีหน้าซินอู๋เหินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “สหายจ้าว ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่าทำอะไรผลีผลาม!”
ซินอู๋เหินพอจะรู้พลังความสามารถของเผ่าความลับสวรรค์อยู่
เขาเชื่อมั่นว่าหากเผ่าความลับสวรรค์ต้องการแล้ว ก็ทำลายตำหนักเทพยักษ์ได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ถ้าตอนนี้เผ่าความลับสวรรค์ไม่สะดวกจะเปิดเผยตัว จึงไม่เหมาะจะยื่นมือเข้ามายุ่งสถานการณ์ของเขตดาราชาด
ก่อนนี้ตำหนักวิญญาณบรรพกาลบาดเจ็บหนักหนาจนแตกฮือไป ถ้าหากเผ่าความลับสวรรค์ยังผลีผลามบุกเข้ามาโจมตีตำหนักเทพยักษ์ แดนศักดิ์สิทธิ์ของเขตดาราชาดย่อมไม่มีทางอยู่นิ่งแน่ อีกทั้งสำหรับเผ่าความลับสวรรค์แล้ว ตำหนักเทพยักษ์ก็ไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรให้ตน
“เผ่านี้ละโมบยิ่งนัก พวกเขาต้องการครอบครองเนตรเทพเจ้าของเจ้าให้ได้!”
ซินอู๋เหินเอ่ยสำทับอีก
ยามอยู่ในอาณาจักรเทพของเผ่าแสง พวกเขาเคยเห็นของเลียนแบบสายเลือดบรรพกาลมาก่อน ถึงแม้ระดับความกลมกลืนของสายเลือดค่อนข้างต่ำ แต่ก็มากพอจะเขย่าขวัญคนอื่นๆ หากผู้ครอบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าเติบโตได้อย่างราบรื่น จะต้องกลายเป็นนายเหนือหัวราชาเทพแน่
ส่วนเผ่าความลับสวรรค์จะต้องคิดค้นวิธีต่างๆ เพื่อให้ได้ครอบครองเนตรเทพเจ้าของจ้าวเฟิงให้ได้ก่อนที่อีกฝ่ายจะกลายเป็นนายเหนือหัวราชาเทพ ดังนั้นซินอู๋เหินจึงแนะนำให้จ้าวเฟิงหาสถานที่ลึกลับ ตั้งอกตั้งใจฝึกตน หลังจากพลังไปถึงระดับหนึ่งแล้วค่อยเปิดเผยตัวเองออกมา
แต่เขาเองก็รู้ว่าจ้าวเฟิงไม่ใช่คนใจเย็น เขาเป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างยิ่ง
“วางใจเถอะ ข้ารู้ตัวดี!” แววตาจ้าวเฟิงเคร่งขรึมลง
เผ่าความลับสวรรค์เป็นศัตรูที่เขาหวาดเกรงที่สุด ฝ่ายตรงข้ามทำให้เขาต้องระมัดระวัง อำพรางตนเองไม่กล้าเปิดเผยตัวมากจนเกินไป แต่ฝ่ายตรงข้ามคิดจะจับเขา จ้าวเฟิงต้องหดหัวอยู่ในกระดองหรือ?
เขาต้องค่อยๆ ลดทอนกำลังของเผ่าความลับสวรรค์ ฮุบผลประโยชน์ของฝ่ายตรงข้าม นี่ก็เป็นการขัดเกลาฝีมือตนเอง สามารถทำให้ขอบเขตพลังฝึกตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จนถึงวันหนึ่ง เขาไม่ต้องกลัวเผ่าความลับสวรรค์ ไม่ต้องหวาดกลัวการสอดแนมจากใครในดินแดนเทพ ถึงขั้นอาจสามารถล้างแค้นได้ด้วยซ้ำ!
นอกจากนั้น ขั้วอำนาจของเผ่าความลับสวรรค์ที่ซ่อนตัวอยู่ โดยทั่วไปมีสองจำพวกคือหอสวรรค์และตำหนักฝืนลิขิต
ขั้วอำนาจที่มีเจ้าหอดูแลอยู่ ส่วนมากเป็นสำนักสี่ดาวสุดยอด ผู้แข็งแกร่งในนั้นเป็นก็แค่ครึ่งก้าวสู่จอมเทพ จ้าวเฟิงอยากจะทำลายก็ง่ายดายยิ่ง
ส่วนขั้วอำนาจที่เจ้าตำหนักดูแลจะเป็นขั้วอำนาจห้าดาว ผู้แข็งแกร่งที่สุดภายในนั้นจะเป็นจอมเทพขั้นสองขึ้นไป
การจะทำลายขั้วอำนาจเช่นนี้ยุ่งยากพอควร จ้าวเฟิงจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก
เมื่อเห็นจ้าวเฟิงแน่วแน่เช่นนี้ ซินอู๋เหินจึงบอกสถานที่ให้จ้าวเฟิงฟัง
“สถานการณ์ของตำหนักเทพยักษ์ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” จ้าวเฟิงถาม
“พอได้ ขั้วอำนาจที่สร้างขึ้นใหม่ คงจะเลี่ยงการต่อต้านจากขั้วอำนาจห้าดาวอื่นๆ ไม่ได้ แต่ช่วงนี้ ‘แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตา’ ปรากฏขึ้นหลายครั้ง ช่วยเหลือตำหนักเทพยักษ์ไปไม่น้อย!” ซินอู๋เหินเอ่ยอย่างง่ายๆ
แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาก็คือขั้วอำนาจแดนศักดิ์สิทธิ์ในเขตดาราชาด ต่อมา จ้าวเฟิงยังได้ยินมาว่ามู่กู่แห่งเผ่าแสงร่วมมือกับตำหนักเทพยักษ์เป็นการชั่วคราว และยังแฝงตัวอยู่ในเขตดาราชาด
หลังจากทราบเรื่องราวเหล่านี้แล้ว จ้าวเฟิงจึงบอกลาตำหนักเทพยักษ์ มุ่งหน้าไปที่อาณาจักรเทพเผ่าแสง
“แถวตำหนักเทพยักษ์คงจะมีผู้แข็งแกร่งไม่น้อยซ่อนตัวอยู่ ตอนเจ้าเดินทางก็ระวังแล้วกัน!” ซินอู๋เหินกำชับ
อย่างไรเสีย ในดินแดนเทพรกร้างก็รู้แล้วว่าขั้วอำนาจสองแห่งที่เกี่ยวข้องกับจ้าวเฟิงคือเผ่าพันธุ์วิญญาณและตำหนักเทพยักษ์
สถานที่ที่ข่าวเรื่องเนตรเทพเจ้าแพร่กระจายออกไปก็คือเขตดาราชาด
ถึงแม้ว่าจะผ่านไปนานขนาดนี้ ก็ยังคงมีคนจำนวนไม่น้อยเฝ้าอยู่ที่เขตดาราชาด ถึงขั้นที่ว่ายอมซ่อนตัวอยู่แถวตำหนักเทพยักษ์ ซึ่งซินอู๋เหินก็สังเกตเห็นจุดนี้เช่นกันทว่าพลังฝึกตนกับกฎเกณฑ์มิติของจ้าวเฟิง นอกจากจอมเทพขั้นสามแล้ว คนอื่นก็ยากจะค้นพบร่องรอยของเขา แต่ซินอู๋เหินก็ยังต้องเอ่ยเตือนสักหน่อย
จากนั้นจ้าวเฟิงจึงออกจากตำหนักเทพยักษ์อย่างไร้สุ้มเสียง และติดต่อกับอาณาจักรเทพของเผ่าแสง เวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง อุโมงค์ทางเดินแห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้านหน้าจ้าวเฟิง
พรึ่บ! หลังจากที่ทะยานเข้าไป จ้าวเฟิงก็เข้าไปในอาณาจักรเทพเผ่าแสง
“จ้าวเฟิง คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตาซ้ายของเจ้าคือเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า!”
ในต้นไม้แห่งแสงพลันมีผู้อาวุโสชุดขาวที่แก่ชราผู้หนึ่งโผออกมา คือมู่กู่นั่นเอง
ระหว่างการต่อสู้ที่นรกเพลิงโลกันตร์ในตอนนั้น เขาเสียใจภายหลังอยู่บ้างที่ไม่ได้เห็นภาพเนตรเทพเจ้าที่ตื่นขึ้นของจ้าวเฟิง แต่ก็ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นจู่ๆ จอมเทพซิงเซี่ยงก็ลงมือจำกัดพลังสายเลือดของเขา ทำให้พลังลดลงอย่างมาก ต่อสู้กับศัตรูไม่ไหว
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็เถอะ ตอนนี้ข้าไม่สามารถประมือกับเนตรเทพเจ้าดวงอื่นๆ ได้เช่นกัน ต่อไปเกิดอะไรขึ้นก็ยากจะคาดเดา…”
จ้าวเฟิงครอบครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า แต่เขาไม่เคยหยิ่งผยองเพราะเรื่องนี้เลย โดยเฉพาะหลังจากที่เนตรเทพเจ้าตื่นขึ้นแล้ว เขาก็เก็บเนื้อเก็บตัวมาตลอด
ในเวลาเดียวกัน จ้าวเฟิงก็ประเมินมู่กู่อย่างละเอียด
มู่กู่ในยามนี้ชวนให้เขารู้สึกว่าคล้ายคลึงกับจอมเทพจินหวงมาก คงจะมีพลังฝึกตนเป็นจอมเทพขั้นสาม และเป็นไปตามที่คาด พลังฝึกตนในยามรุ่งโรจน์ของมู่กู่ไม่ธรรมดาเลย ไม่เช่นนั้นระดับพลังจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
“ฮ่าๆ ข้าเชื่อว่าเจ้าอยู่ในระดับเดียวกับเนตรเทพเจ้าอื่นๆ ได้!” มู่กู่หัวเราะน้อยๆ
ความสัมพันธ์ของเขาและจ้าวเฟิงไม่ถือว่าดีอะไรมาก แต่จ้าวเฟิงกลับกล้าพาเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าเข้ามาในอาณาจักรเทพของเขา ความกล้านี้ทำให้เขานับถือ
เขาไม่ปฏิเสธว่าตนเองก็สนใจเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ามาก่อน
ทันทีที่ได้ครองเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า เขาจะมีโอกาสล้างแค้นเผ่าความลับสวรรค์ แต่เขาได้ยินมาว่าจ้าวเฟิงเคยโดนเผ่าความลับสวรรค์จับตัวไป ทว่ากลับหนีออกมาได้ ความสามารถแบบนี้ ต่อให้เป็นเขายามที่รุ่งเรืองก็ยากจะทำได้
หากต้องเสี่ยงมีปัญหากับจ้าวเฟิงเพื่อแย่งชิงเนตรเทพเจ้ามา ไม่สู้เป็นมิตรกับอีกฝ่าย อย่างไรเสียพวกเขาก็มีเผ่าความลับสวรรค์เป็นศัตรูเหมือนกัน
“ผู้อาวุโสเป็นอย่างไรบ้าง?” จ้าวเฟิงเอ่ยถาม
“ก็ดี สมาชิกของเผ่าแสงเพิ่มขึ้นอีกหลายคน ส่วนพลังฝึกตนของข้าก็กำลังฟื้นคืนอย่างราบรื่น!” มู่กู่อมยิ้มเอ่ย
ที่แท้หลังจากจ้าวเฟิงและซินอู๋เหินไปจากอาณาจักรเทพเผ่าแสงแล้ว
มู่กู่ก็พาอาณาจักรเทพเดินทางรอนแรมไปตามที่ต่างๆ เพื่อตามหาทายาทสายเลือดเผ่าแสง
เผ่าแสงคิดล้างแค้น แต่จะอาศัยเพียงมู่กู่และเทพโบราณเฉิงอวิ๋นย่อมไม่เพียงพอ และเพราะเหตุนี้พวกเขาถึงได้ยอมร่วมมือกับตำหนักเทพยักษ์
“เพียงแต่คนของเผ่าความลับสวรรค์ไม่ประมาทการมีตัวตนของข้า จึงเพ่งเล็งอาณาจักรเทพเผ่าแสงอยู่เสมอ…”
มู่กู่เปลี่ยนเรื่อง เอ่ยพลางมวดคิ้วน้อยๆ
“ตอนนี้ผู้อาวุโสครอบครองอาณาจักรเทพได้โดยสิ้นเชิงแล้ว เผ่าความลับสวรรค์คิดจะบุกเข้ามาคงยากเย็นอย่างยิ่ง!” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้าประมาทเผ่าความลับสวรรค์มากไปแล้ว!” แววตามู่กู่หนักอึ้ง
จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ถึงตอนนั้นเขาจะไปอยู่ในอาณาจักรเทพของเผ่าความลับสวรรค์อยู่พักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลมามากนัก เขาอาจจะประมาทเผ่าความลับสวรรค์มากไปจริงๆ
“ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพราะอยากจะขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสในปัญหาเรื่องการฝึก…”
จ้าวเฟิงเข้าประเด็นหลัก
เวลาต่อมา เขาอยู่ต่อที่อาณาจักรเทพเผ่าแสงอีกระยะหนึ่ง ปัญหาเล็กน้อยเรื่องการฝึกถูกแก้ไขคลี่คลายไปหมดแล้ว
“หากว่าเจ้าฝึกฝนเสวียนอ้าวเวลาเป็นหลัก ข้าก็พอจะช่วยเจ้าให้พลังพัฒนาขึ้นไปถึงขั้นที่สองได้!” มู่กู่เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
เผ่าแสงเชี่ยวชาญด้านเสวียนอ้าวเวลาเป็นที่สุด แต่จ้าวเฟิงฝึกฝนแต่เสวียนอ้าวมิติเป็นหลักมาโดยตลอด ทำให้ระดับขั้นเสวียนอ้าวมิติอยู่เหนือเสวียนอ้าวเวลามาก หากตอนนี้เปลี่ยนมาฝึกเสวียนอ้าวเวลา จำเป็นต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก
ต่อมาจ้าวเฟิงเลยไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้อีก ตั้งอกตั้งใจฝึกฝนเพียงอย่างเดียว
‘ตำราเทพบริสุทธิ์’ ลึกล้ำสูงส่ง เขาเพิ่งจะเปลี่ยนพลังเทพรวมศูนย์ให้กลายเป็นพลังเทพบริสุทธิ์ได้เท่านั้น
ส่วนเคล็ดวิชา ‘โซ่ตรวนพลังบริสุทธิ์’ เขาเองก็เพิ่งฝึกฝน ยังไม่ชำนาญมาก
หนำซ้ำในการต่อสู้กับตำหนักอาทิตย์พิสุทธิ์ จำนวนจอมเทพที่เขาสังหารไปมากมายอย่างยิ่ง จึงได้รับทรัพยากรจำนวนมากด้วย
ในทรัพยากรเหล่านี้ มีเพียงจำนวนน้อยนิดนักที่จ้าวเฟิงจะใช้ได้ ส่วนทรัพยากรที่เหลือ เขามอบให้พวกบริวารและร่างแยกไปใช้
มังกรทมิฬล้างโลกากับจ้าวคงเพิ่งทะลวงผ่านขั้นจอมเทพได้ไม่นาน ยังต้องเพิ่มความมั่นคงอีก แต่ร่างแยกร่างอื่นๆ ก็ต้องการทรัพยากรจำนวนมากเพื่อทะลวงขั้นจอมเทพด้วยเช่นกัน
เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในระยะเวลาดังกล่าว การฝึกฝนพลังเทพบริสุทธิ์ของจ้าวเฟิงพัฒนาไปมาก เข้าใจเคล็ดการต่อสู้โซ่ตรวนพลังบริสุทธิ์อย่างถ่องแท้
พลังของบริวารและร่างแยกยังเพิ่มขึ้นไม่น้อย อย่างไรเสียทรัพยากรที่จ้าวเฟิงให้ไป ถึงจะเป็นจอมเทพในแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่มีโอกาสได้ใช้
จ้าวคงกับจ้าววั่นทะลวงขั้นจอมเทพได้อย่างราบรื่น
มังกรทมิฬล้างโลกาได้รับทรัพยากรมหาศาล เลื่อนเป็นจอมเทพขั้นหนึ่งสุดยอดแล้ว
ในวันนี้ จ้าวเฟิงจบการปิดด่านฝึกตน เตรียมจะเดินทางออกจากอาณาจักรเทพเผ่าแสง
“ต้องให้ข้าช่วยเจ้าหรือไม่?” มู่กู่เอ่ยถาม
เขารู้ว่าเป้าหมายคราวในคราวนี้ของจ้าวเฟิงคือทำลายฐานที่มั่นเผ่าความลับสวรรค์ในเขตดาราชาด
“ต้องลำบากผู้อาวุโสแล้ว!”
ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะมั่นใจ แต่เผ่าความลับสวรรค์ลึกล้ำเกินคาดเดา สุดท้ายเขาจึงตอบตกลง หากมีเหตุไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้น กำลังเสริมอย่างมู่กู่เป็นสิ่งจำเป็นนัก
แรงป้องกันของอาณาจักรเทพแห่งนี้ไม่ด้อยกว่าอาณาจักรเทพมายาของจ้าวเฟิงเลย พลังของตัวมู่กู่เองก็แข็งแกร่งอย่างยิ่ง
พรึ่บ! จ้าวเฟิงกระโจนเข้าไปในอุโมงค์ เดินทางออกจากอาณาจักรเทพเผ่าแสง ในขณะเดียวกัน เขาค่อยๆ เข้าไปใกล้จุดหมายปลายทางที่ได้มาจากซินอู๋เหิน ลำดับแรก เขาต้องแน่ใจว่าฐานที่มั่นลับตานี้คือหอสวรรค์หรือว่าตำหนักฝืนลิขิตกันแน่ หากเป็นหอสวรรค์ เขาจะสาสมารถทำลายล้างได้อย่างง่ายดาย แต่หากเป็นตำหนักฝืนลิขิตต้องระวังสักหน่อย
……
รอบๆ มิตินิรนามแห่งนี้มืดสนิท มีเพียงแสงดาวนับไม่ถ้วนส่องแสงระยิบระยับ ดูลึกลับยิ่งนัก ตรงใจกลางของมิติมีผู้อาวุโสสองคน หนึ่งในนั้นเป็นผู้อาวุโสร่างกายเป็นเกล็ดหยาบๆ สีเทาอ่อน ประหนึ่งไม้โบราณพันปี ด้านบนยังสลักอักษรและสัญลักษณ์โบราณที่ซับซ้อนจำนวนมาก
ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งกำไม้เท้าสีเงิน เคราขาวยาวลากพื้น หากจ้าวเฟิงอยู่ที่นี่ต้องตรงมาสังหารผู้อาวุโสคนนี้แน่ เพราะเขาคือจอมเทพซิงเซี่ยงนั่นเอง เบื้องหน้าผู้อาวุโสทั้งสองมีค่ายกลลึกลับซับซ้อนหลายแห่ง ค่ายกลหลายแห่งนั้นเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน อักขระเผ่าความลับสวรรค์มากมายหมุนวนอยู่ด้านบน
“ท่านอวี่หลิวผิง อาณาจักรเทพของเผ่าแสงเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!”
จอมเทพซิงเซี่ยงเอ่ยเสียงต่ำ
“ส่งคนไปติดตามการเดินทางของอาณาจักรเทพเผ่าแสง ดูว่ามันคิดจะทำอะไรกันแน่!”
‘อวี่หลิวผิง’ ผู้เป็นประหนึ่งไม้เก่าแก่พันปีเอ่ยเสียงราบเรียบด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ได้!” จอมเทพซิงเซี่ยงตอบรับทันที ก่อนที่ร่างกายจะหายไปอย่างเชื่องช้า
“เหิงเอ๋อร์ ปู่จะต้องล้างแค้นให้เจ้าให้ได้ ต้องสืบสาเหตุการตายของเจ้าให้ชัดเจน ข้าจะกำจัดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการตายของเจ้า!”
หลังจากที่จอมเทพซิงเซี่ยงจากไปแล้ว แววตาอวี่หลิวผิงจึงค่อยเผยความรักใคร่เมตตา
……
ในหุบเขาวายุุอัสนีแห่งหนึ่งทางใต้ของเขตดาราชาด
จ้าวเฟิงซ่อนตัวอยู่ในอากาศแถวนั้น
ยามที่ผนึกดวงตาซ้ายไว้ ทัศนวิสัยของเขายากจะมองทะลุผ่านใต้ดินแสนกว่าลี้ได้ ทั้งยังมีค่ายกลปิดกั้น ทำให้มองไม่เห็นรายละเอียดภายใน ดังนั้นเขาจึงยังไม่ลงมือทำอะไร หลังจากหยุดอยู่ครู่หนึ่ง จ้าวเฟิงพบว่าในบรรดาคนที่เดินเข้าออก ส่วนมากเป็นเทพแท้จริงขั้นต่ำ และก็มีเทพโบราณขั้นเจ็ดคนหนึ่ง
“ดูท่าทางที่นี่คงเป็นหอสวรรค์แล้ว!” มุมปากจ้าวเฟิงยกยิ้มน้อยๆ
อย่างมากหอสวรรค์ก็เป็นขั้วอำนาจสี่ดาวสุดยอด จะทำลายก็ง่ายดายนัก