บทที่ 1502 เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง
ด้านในอาณาจักรเทพ ทุกคนสัมผัสได้ถึงการสั่นของฟ้าดิน จึงรู้สึกกระวนกระวายใจ
พวกเขาเข้าใจพลังของแดนศักดิ์สิทธิ์ดี จอมเทพขั้นสามสองคนเป็นผู้นำกลุ่ม จอมเทพขั้นหนึ่งและสองมีจำนวนถึงแปดคน นอกจากนี้ยังมีครึ่งก้าวสู่จอมเทพจำนวนมาก และผู้แข็งแกร่งขั้นเทพโบราณชั้นยอดด้วย
แต่นี่ไม่ใช่พลังทั้งหมดของแดนศักดิ์สิทธิ์ เป็นแค่คนที่พวกเขาพอจะรวบรวมได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
ในแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตายังทิ้งคนดูแลเอาไว้ ส่วนราชาเทพโยวอวิ๋นก็ไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น
“กลัวก็แต่ไม่ถึงสิบวัน อาณาจักรเทพจะถูกทำลายลง!”
มู่กู่เข้าใจสถานการณ์ของอาณาจักรเทพเผ่าแสงอย่างที่สุดแล้ว
ระยะเวลาสิบวัน ต่อให้อยู่ภายใต้อิทธิพลจากกฎเกณฑ์เวลา ระยะเวลาฝึกตนของทุกคนก็เพิ่มขึ้นอย่างมากแค่พันกว่าวัน สำหรับจอมเทพแล้ว ระยะเวลาเพียงเท่านี้สั้นจนเกินไป
ในช่วงนี้จ้าวเฟิงดำดิ่งอยู่ใน ‘ตำราเทพบริสุทธิ์’ และฝึกฝนพลังบริสุทธิ์
พลังบริสุทธิ์ของเขาเพิ่งจะเข้าขั้นได้ไม่นาน เข้าใจมันเพียงเล็กน้อย ยังห่างชั้นจากพลังบริสุทธิ์ของพวกเป่ยหมิงฮุยอยู่ นอกจากนี้ ห้วงความคิดอีกส่วนหนึ่งของเขาอยู่ที่เนตรเทพมายา
สิ่งที่ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจก็คือ เนตรเทพมายาของตนเองแข็งแกร่งกว่าตอนเริ่มเปลี่ยนแปลงไม่น้อย เหมือนว่ากำลังอยู่ในกระบวนการเปลี่ยนสภาพอย่างไรอย่างนั้น
แน่นอนว่าจ้าวเฟิงอาจคิดไปเอง หรือบางทีตอนที่ดวงตาเทพเจ้าเพิ่งเปลี่ยนระดับเป็นเนตรเทพเจ้ายังไม่สามารถใช้และเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง อย่างไรเสียเนตรเทพเจ้าก็เป็นระดับขั้นสูงสุดในทางทฤษฎีแล้ว
ใกล้ถึงระยะเวลาสิบวันอย่างรวดเร็ว เสียงอึกทึกครึกโครมดังขึ้นติดต่อกัน ไม่หยุดเสียที
“ไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็ต้องบุกโจมตีเข้ามาไม่ช้าก็เร็ว ไม่สู้พวกเราเปิดทางเข้าด้วยตนเอง!”
จู่ๆ จ้าวเฟิงก็เปิดปากพูด
ทุกคนชะงักไป ปล่อยให้ศัตรูบุกเข้ามาก่อน ฟังดูแล้วไม่สมเหตุสมผลแม้แต่น้อย แต่ที่จ้าวเฟิงพูดก็ไม่ได้ผิดอะไร อย่างไรเสียแดนศักดิ์สิทธิ์จะบุกเข้ามาไม่ช้าก็เร็ว ไม่สู้ปล่อยให้พวกเขาเข้ามาด้วยตนเอง เลี่ยงไม่ให้อาณาจักรเทพต้องถูกทำลาย
“ตกลง!” มู่กู่ผงกศีรษะ
ที่โลกภายนอก พวกแดนศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังโจมตีอาณาจักรเทพเผ่าแสงพลันรู้สึกได้ถึงระลอกกฎเกณฑ์มิติ
โครม แซ่ด~
จุดที่พวกเขากำลังโจมตีเกิดรอยร้าวขยายใหญ่ขึ้นเองจนกลายเป็นรอยโหว่ สายตาของทุกคนมองลอดช่องโหว่ไป จะเห็นทิวทัศน์ข้างในอาณาจักรเทพ
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเปิดอาณาจักรเทพด้วยตนเอง ระวังมีกับดัก!”
ดวงตาที่ฝ้าฟางของหญิงชราผมเขียวทอประกายระยิบระยับ
“เตรียมตัวเข้าไปด้านใน!”
จอมเทพฮ่วนไฉ่ย่อมระลึกถึงจุดนี้
อาณาจักรเทพเปิดออกด้วยตนเอง พวกเขาจะไม่เข้าไปก็ไม่ได้ ขอแค่ต้องระมัดระวังให้ดี พลังความสามารถทางฝั่งพวกเขากำราบฝ่ายตรงข้ามได้แน่
“ขอรับ!”
คนในระดับขั้นต่ำกว่าจอมเทพของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาทั้งหมดเริ่มตั้งกระบวนทัพ มีเพียงแบบนี้เท่านั้น พวกเขาถึงจะพอมีประโยชน์ขึ้นมาบ้างในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้น
ไม่นานนัก แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาทั้งหมดก็บุกเข้าไปในอาณาจักรเทพเผ่าแสงด้วยกระบวนทัพที่ขึงขัง
“หยุดก่อน!” เดินทางเข้าไปได้ไม่นานนัก จอมเทพฮ่วนไฉ่ก็ถ่ายทอดคำสั่งในทันที
เห็นเพียงที่ไกลๆ มีไอสวรรค์ในฟ้าดินหนาแน่นใน ปั่นป่วนราวสายน้ำ รอบบริเวณขมุกขมัว ต่อให้เป็นประสาทสัมผัสเทพของจอมเทพขั้นสามก็ยังได้รับผลกระทบสูง มองไม่เห็นเหตุการณ์ด้านในอย่างชัดเจน
“เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าเกิดขึ้นเพราะฝีมือผู้ควบคุมอาณาจักรเทพ ภายในนั้นอาจจะมีหลุมพรางอะไรก็ได้!” จอมเทพฮ่วนไฉ่เอ่ยเสียงต่ำ
เมื่ออยู่ในอาณาจักรเทพของศัตรู พวกเขาต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
“ให้ข้าไปดูหน่อย พวกมันมีแผนชั่วอะไรกันแน่!” ชายประหลาดต่างเผ่าผู้นั้นเอ่ยปากเพื่อขอคำอนุญาต
“ได้!” จอมเทพฮ่วนไฉ่ผงกศีรษะ
ชายประหลาดเป็นถึงจอมเทพขั้นสองระดับสุดยอด แข็งแกร่งและทรงพลัง ความสามารถในการใชศาสตร์ลวงตาถึงขั้นอยู่เหนือนางด้วยซ้ำ อีกอย่าง ชายประหลาดยังมีเคล็ดวิชาอีกมาก เหมาะที่จะเป็นทัพหน้าอย่างยิ่ง
ไม่นานนัก ชายประหลาดก็นำจอมเทพขั้นหนึ่งอีกสี่คนบุกเข้าไปประชิด
และในเวลานี้เอง
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ~
ในกลุ่มหมอกควัน ซินอู๋เหิน ยอดผู้อาวุโส จอมเทพเฉิงอวิ๋น และทายาทเผ่าแสงขั้นครึ่งก้าวสู่จอมเทพอีกหลายคนตรงออกมาสังหารก่อน
“เหอะ ซินอู๋เหิน ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเอาความกล้ามากจากไหน ถึงได้กล้าเป็นศัตรูกับแดนศักดิ์สิทธิ์!” ชายประหลาดต่างเผ่าแค่นเสียงต่ำ
พรึ่บ~ เขาออกหน้ารับมือกับซินอู๋เหิน ส่วนคนอื่นๆ ที่เหลือของทั้งสองฝั่งก็ปะทะเข้าหากัน
ในขณะที่ประมือกันนั้น แสงเพลิง อัสนี และเหมันต์ปรากฏขึ้นทั่วบริเวณ พื้นดินแหลกละเอียด ลมเมฆในฟ้าดินปั่นป่วน
“ซินอู๋เหิน วันนี้ข้าจะจัดการเจ้าที่นี่เสีย!” ชายประหลาดตะโกนเสียงกร้าว ร่างกายเริ่มเลือนราง บนผิวกายปกคลุมไปด้วยคมแสงห้าสีชั้นหนึ่ง
อีกฟากหนึ่ง ซินอู๋เหินเองก็กระตุ้นสายเลือดเผ่าเทพยักษ์ กลายร่างเป็นยักษ์ที่มีขนาดสูงเป็นพันจั้งและแผ่แรงกดดันมหาศาลออกมา
แต่หากพูดเรื่องสายเลือด สายเลือดเผ่าเทพมายาสูงส่งกว่าเผ่าเทพยักษ์ส่วนหนึ่ง หากพูดเรื่องระดับพลังฝึกตนกับพลัง ชายประหลาดอยู่เหนือซินอู๋เหินทั้งสิ้น
ในทางกลับกัน ซินอู๋เหินก็หวาดกลัวชายประหลาดด้วย
ในหมอกควันด้านหลัง จ้าวเฟิงไม่ได้ลงมือ เพียงสังเกตดูสถานการณ์การต่อสู้ เขาเป็นถึงเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า ทันทีที่ปรากฏกายขึ้น แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาอาจถึงกับบุกทะลวงเขาโจมตีทั้งกองทัพก็เป็นได้
“ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกซินอู๋เหินจะอ่อนแอ แต่เมื่ออยู่ในอาณาจักรเทพเผ่าแสง ฟ้าดินทั้งหมดก็จะเป็นใจให้พวกเขา” จ้าวเฟิงไม่ได้กังวลแต่อย่างใด
ตอนนั้นเอง มู่กู่อยู่ในตรงใจกลางอาณาจักรเทพ คอยควบคุมสถานการณ์ของทั้งอาณาจักร จากการควบคุมของเขา ไอสวรรค์ในฟ้าดินทะลักเข้าไปในร่างสมาชิกฝ่ายตนด้วยตัวเอง การจัดแจงพลังฟ้าดินจึงง่ายดายยิ่ง
เมื่อมองทางฝั่งศัตรู แต่ละคนก็ถูกลดทอนพลังจนอ่อนแอลงไป เวลาการสู้รบยิ่งยืดเยื้อไปนาน ก็ยิ่งส่งผลดีต่อพวกจ้าวเฟิง
“ไปตายเสีย!” ในมือชายประหลาดปรากฏพัดเหล็กชิ้นหนึ่ง
ขณะโบกสะบัด พายุหมุนสีเงินที่เลือนรางชั้นหนึ่งหมุนวนออกมา พายุหมุนสีเงินพัดพาเอา ‘แสงดาวสีเงิน’ จำนวนนับไม่ถ้วนมาด้วย กระจายตัวออกทั่วบริเวณเหมือนสะเก็ดดาว
“นี่คือพลังศาสตร์ลวงตา!” ยามซินอู๋เหินสัมผัสกับแสงดาวสีเงินส่วนหนึ่ง ก็รู้สึกได้ว่าพวกมันดำดิ่งเข้าไปในดวงวิญญาณของตนเอง
แสงดาวสีเงินที่ดำดิ่งเข้าไปในดวงวิญญาณของเขามีค่อนข้างน้อย แต่สมาชิกที่เหลือในสนามแถวนั้นได้รับผลกระทบด้วย ในทันใดนั้นเอง พลังวิญญาณของทุกคนได้รับผลกระทบจนผิดปกติกันไปหมด ต่อให้มู่กู่คอยช่วยเหลืออย่างลับๆ พวกเขาก็ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดี
ฟากเผ่าเทพยักษ์และเผ่าแสงค่อยๆ ตกอยู่ในสภาวะอ่อนแอ คนจำนวนไม่น้อยได้รับบาดเจ็บ รวมถึงซินอู๋เหินด้วยเช่นกัน อย่างไรเสียศัตรูที่พวกเขาต้องเผชิญหน้านั้น ความสามารถในแต่ละด้านล้วนอยู่เหนือเขา
ทว่าชายประหลาดก็ยังคงกังวลกับสถานการณ์ทั้งหมด
ด้านหลัง พวกแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาอดหัวเราะไม่ได้
“ใช้ได้นี่ รู้จักมองสถานการณ์รวม ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด!”
มุมปากจอมเทพฮ่วนไฉ่ยกยิ้มที่สะกดวิญญาณ
ตอนนี้พวกเขาอยู่ในที่สว่าง ส่วนศัตรูอยู่ในที่ลับ สิ่งที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาต้องทำก็คือทำลายศัตรูให้ได้มากที่สุดโดยลงแรงต่ำที่สุด
ในกลุ่มหมอกอีกฟาก
“ผู้อาวุโสมู่กู่กำลังจะโจมตีกลับแล้ว!” จ้าวเฟิงยกยิ้มน้อยๆ ตรงมุมปาก
ก่อนที่จะเริ่มโจมตีอาณาจักรเทพเผ่าแสง ทุกคนปรึกษาหารือและเริ่มเตรียมตัวกันก่อน
ฟิ้ว! พลังดวงตาในดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงกระเพื่อมออกมา ทันใดนั้นสีมายาก็ปรากฎขึ้น
ในเวลาเดียวกัน จู่ๆ ตราประทับบนกายวิญญาณทั้งหมดของคนฝ่ายเขาก็เปล่งแสงเรืองรอง ตราประทับเหล่านั้นเป็นตราประทับเนตรเทพเจ้าที่จ้าวเฟิงตีตราเอาไว้นั่นเอง
ฉับพลันนั้น มีพลังดวงวิญญาณที่ทำลายล้างทุกสรรพสิ่งทะลักออกมาจากตราประทับเนตรเทพเจ้า
ในวินาทีที่พลังวิญญาณกลุ่มนี้ปรากฏออกมา ‘แสงดาวสีเงิน’ ที่คืบคลานเข้ามาในร่างพวกเขาก็ถูกทำลายลงไป และจิตสำนึกดวงวิญญาณของทุกคนก็ฟื้นกลับสู่สภาวะปกติ
ในเวลาเดียวกันนี้เอง
ฟ้าดินพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง แรงกดดันที่ส่งผลต่อศัตรูจู่ๆ ก็แข็งแกร่งขึ้นมากแรงโน้มถ่วงที่ไร้รูปร่างและผลกระทบจากชุดคลุมมิติตกกระทบบนร่างพวกเขา พลังฝึกตนยิ่งต่ำ ผลกระทบที่ได้รับยิ่งมาก
ที่นี่คืออาณาจักรเทพเผ่าแสง มู่กู่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งในที่แห่งนี้ได้ และสามารถควบคุมเวลาหรือพลังของมิติ
“โจมตีกลับ!” ซินอู๋เหินตะโกนเสียงกร้าว
แววตาทุกคนเปล่งประกาย ระเบิดพลังที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นออกมาด้วยการเอื้ออำนวยจากพลังในฟ้าดิน แต่ทางฟากแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาเจอการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน จึงทำให้ป้องกันไม่ทัน ถึงขนาดที่ว่าซินอู๋เหินยังประมือกับชายประหลาดต่างเผ่าอย่างซึ่งหน้า ก็ยังได้เปรียบกว่าเล็กน้อย จากจุดนี้ทำให้เห็นได้ว่าในมิติกดกันฝ่ายตรงข้ามรุนแรงมาก
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่อีกฝ่ายได้เปรียบ สีหน้าของพวกแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาย่ำแย่กันอย่างยิ่ง
“ข้าควรจะลงมือได้แล้ว!” หญิงชราผมเขียวเปิดปากเอ่ยทันที
ขวับ~ นางโบกฝ่ามือ กองทัพที่เตรียมไว้นานแล้วถูกส่งออกมาทันใด
ที่ใจกลางค่ายกลมองเห็นผ้าไหมหยกทองผืนหนึ่งรางๆ
ค่ายกลถูกกระตุ้นขึ้น พลังของกฎเกณฑ์กลุ่มหนึ่งที่แข็งแกร่งปลดปล่อยออกมาจากด้านในและหลอมรวมเข้าไปในอากาศ
ชายประหลาดที่กำลังสู้อยู่นั้นเผยสีหน้ายินดี
“นี่มันเรื่องอะไรกัน การเพิ่มพลังของมิติเองก็อ่อนแอลงไป!”
ซินอู๋เหินสังเกตเห็นความผิดปกติ คนอื่นที่เหลือก็เป็นเช่นนี้กัน ความช่วยเหลือที่อาณาจักรเทพเผ่าแสงมีให้พวกเขาอ่อนลงไป และเช่นเดียวกัน แรงกดดันที่ส่งผลต่อศัตรูก็ลดลงตามไปด้วย
“แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาก็กางค่ายกลพิเศษเอาไว้ ส่งผลกระทบต่อการควบคุมที่ข้ามีต่ออาณาจักรเทพเผ่าแสง!” เสียงของมู่กู่ดังขึ้นในหัวพวกจ้าวเฟิงและซินอู๋เหิน
แน่นอนว่าค่ายกลพิเศษของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาส่งผลกระทบได้เพียงพื้นที่แห่งหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีผลทั้งอาณาจักรเทพ แต่นี่ก็เพียงพอ ขอแค่ปกคลุมทั่วพื้นที่การต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายก็พอแล้ว
“ดูไปแล้ว ทางฟากแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาคงจะเตรียมตัวมาพร้อมมากเลยทีเดียว” จ้าวเฟิงพึมพำเสียงต่ำท่ามกลางกลุ่มหมอกควัน
ถึงแม้หญิงชราผมเขียวในกลุ่มแดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ แต่บทบาทของนางเหมือนกับมู่กู่ นางสามารถควบคุมฟ้าดินและพื้นที่การต่อสู้ได้
แววตาของจ้าวเฟิงหยุดลงที่ผ้าไหมหยกทองในใจกลางค่ายกล
“นั่นมัน เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนประเภทมิติ!” แววตาเขามีเป็นประกายพาดผ่าน
เศษเสี้ยวอาวุธบรรพชนประเภทมิติในชุดคลุมของจ้าวเฟิงสั่นขึ้นน้อยๆ เห็นได้ชัดเจนว่าชิ้นส่วนทั้งสองชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นอาวุธบรรพชนชิ้นเดียวกัน
ในเวลาเดียวกัน ด้านนอกอาณาจักรเทพเผ่าแสงก็มีเงาคนหลายร่างปราฏขึ้น
“นายท่าน พวกเราจะลงมือเมื่อไหร่?” จอมเทพซิงเซี่ยงเอ่ยถาม
ดวงตาสองข้างของอวี่หลิวผิงหรี่ลงน้อยๆ หลังจากนั้นสักพักใหญ่เขาถึงเปิดปากเอ่ย “ไม่ต้องรีบ พวกมันทั้งสองฝ่ายยังแค่เริ่มประมือกัน สิ้นเปลืองพลังไปไม่มากเท่าไหร่!”
“นายท่าน พวกเราไม่ได้แจ้งเจ้าสวรรค์ จะ…” จอมเทพซิงเซี่ยงกังวลใจ
ผู้ปกครองเผ่าความลับสวรรค์คือเจ้าสวรรค์ และพวกเขาในตอนนี้เจอร่องรอยของเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้า แต่กลับไม่ได้รายงานเบื้องบน
“แผนการของเจ้าสวรรค์เดิมไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าเลย การปรากฏขึ้นของเนตรเทพเจ้าดวงที่เก้าเป็นแค่เรื่องที่เกินความคาดหมาย ต่อให้ไม่มีเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้า ข้าก็เชื่อว่าเจ้าสวรรค์ก็จะทำสำเร็จอยู่ดี!”
อวี่หลิวผิงเอ่ยด้วยใบหน้านิ่งสงบ
ในตอนที่เนตรเทพเจ้าดวงที่เก้ายังไม่ปรากฏขึ้น เผ่าความลับสวรรค์ก็ดำเนินตามแผนการนี้อยู่แล้ว และยังเกือบจะสำเร็จแล้วด้วย
แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของเขาคือการสังหารจ้าวเฟิง เพื่อจะล้างแค้นให้หลานชายตนเอง หากเจ้าสวรรค์รู้เรื่องนี้เข้า เกรงว่าคงจะให้จับจ้าวเฟิง แต่ไม่ให้สังหารอีกฝ่ายแน่
“อย่างไรเสียก็เป็นเนตรเทพเจ้าประเภทที่เก้า เป็นปัจจัยที่ส่งผลอย่างมหาศาล หากตนเองไม่เก็บไว้ใช้ จะดีที่สุดก็ลงมือสังหารอีกฝ่ายเสีย เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อแผนของพวกเรา ถ้าหากเจ้าสวรรค์ตามเรื่องนี้ขึ้นมา ทั้งหมดนี้ข้ารับผิดชอบเอง!”
อวี่หลิวผิงเอ่ยซ้ำอีกครั้ง
เมื่อได้ยินอวี่หลิวผิงพูดออกมาเช่นนี้ จอมเทพซิงเซี่ยงจึงวางใจ
และในตอนนี้เอง แววตาอวี่หลิวผิงทอประกายเล็กน้อย “แดนศักดิ์สิทธิ์เทพลวงตาจะเริ่มโจมตีเข้าไปอีกขั้นแล้ว!”