บทที่ 1583 สะดุดตาผู้คน
ณ เมืองจวีหยาง
พรสวรรค์และใบหน้างดงามของสตรีผู้ถูกเลือกสองนางของตระกูลลู่ ทำให้ชะตาของเมืองนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ไกลออกไป ห้าคนหนึ่งแมวทอดสายตามองเมืองใหญ่โตโอฬาร คนที่เดินนำหน้าคนทั้งกลุ่มคือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง รูปโฉมหล่อเหลา รอยยิ้มบางที่มุมปากเจือความดื้อรั้น บนบ่าของเขามีเจ้าแมวขโมยสีเทาดำตัวหนึ่ง
คนผู้นี้ก็คือจ้าวเฟิง
ส่วนทั้งสี่ตนที่ติดตามมาด้านหลัง นอกจากฮั่วชิงเฟิงกับเซวี่ยหลิงจื่อ ผู้แข็งแกร่งอีกสองคนจ้าวเฟิงรับเป็นข้ารับใช้ระหว่างทาง อีกทั้งสองคนนี้เป็นขอบเขตอมตะทั้งคู่
ส่วนข้ารับใช้ต่ำกว่าขอบเขตอมตะ จ้าวเฟิงไม่แยแส
เพิ่งเข้าใกล้เมืองจวีหยาง พวกจ้าวเฟิงก็ดึงดูดความสนใจแล้ว
“ไม่รู้ว่าเป็นคุณชายตระกูลไหน ถึงได้ให้ผู้แข็งแกร่งขอบเขตอมตะสี่คนมาคอยปกป้อง!”
“นี่จะนับเป็นอะไรได้ ‘คุณชายเว่ย’ ก่อนนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งขอบเขตกำเนิดฟ้าคนหนึ่งคอยปกป้องเลย!”
วิจารณ์ก็ส่วนวิจารณ์ เมื่อเห็นพวกจ้าวเฟิงเดินผ่านมา พวกเขาก็พลันเงียบลงอย่างว่าง่าย
หลังจากเข้าไปในเมืองจวีหยางแล้ว จ้าวเฟิงก็สั่งให้ข้ารับใช้ของตนไปสืบข่าว ส่วนฮั่วชิงเฟิงรับผิดชอบเรื่องการเปิดร้านประมูลสาขา
จ้าวเฟิงเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว ด้านหนึ่งเพื่อดูสถานการณ์ ด้านหนึ่งเพื่อซื้อหาวัตถุดิบมา
“ได้ยินมาหรือไม่ คนที่เดินทางมาสู่ขอสตรีสกุลลั่วมีร้อยกว่าคน ตระกูลลั่วต้อนรับจนในโถงใหญ่คนเต็มไปหมด!”
“แต่ ‘ลู่ฉินเอ๋อร์’ กับ ‘ลู่เฟยเอ๋อร์’ งดงามอย่างยิ่งจริงๆ เฮ้อ หากข้าได้มาครองสักคน ชีวิตนี้ต่อให้ต้องตายก็ไม่เสียดาย!”
“อย่าพูดเลอะเทอะ เจ้ากำลังพูดจาดูหมิ่นเทพธิดา!”
หัวข้อที่เป็นที่ถกเถียงทั่วเมืองจวีหยางล้วนเกี่ยวข้องกับสตรีผู้ถูกเลือกสองคนของตระกูลลู่ ด้วยเหตุนี้สตรีทั้งสองจึงได้สมญานามว่า ‘เทพธิดาฉิน’ และ ‘เทพธิดาเฟย’
หญิงสองคนเป็นคู่แฝด ไม่เพียงแต่งดงามเป็นหนึ่งในใต้หล้า มัจฉาจมวารี ปักษีตกนภา พลังฝึกตนและพรสวรรค์ก็เป็นลำดับหนึ่ง ตอนนี้อายุเพิ่งสิบห้าปี คนทั้งสองก็ไปถึงขอบเขตก่อเกิดดาราช่วงสุดยอด อีกเพียงนิดเดียวก็จะทะลวงเป็นขอบเขตแปรจิตแล้ว
“ได้ยินหรือไม่ ก่อนนี้มีคนมาทาบทามสู่ขอมากไป ส่วนมากเป็นพวกที่ตระกูลลู่ไม่อาจรับมือได้ ตระกูลลู่จึงจัดการทดสอบขึ้น คนที่ได้ที่หนึ่งถึงจะได้เป็นลูกเขยตระกูลลู่!”
ดังนั้นคนที่จะได้ตบแต่งเทพธิดาต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์ชั้นยอดเช่นกัน
ถึงแม้จะมีผู้สู่ขอมากมายคัดค้าน แต่คนจำนวนมากกว่าก็เห็นด้วย โดยเฉพาะเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นจึงกำหนดเอาไว้เช่นนั้น
“เห็นทีมีแต่ต้องเอาชนะคนที่มาสู่ขอพวกนางให้หมดเสียแล้ว!”
จ้าวเฟิงทอดถอนใจ
ตอนที่เขาเข้าไปในเมืองจวีหยาง พลังดั้งเดิมมายาก็มีปฏิกิริยาขึ้น จ้าวเฟิงจึงเชื่อมั่นว่าลู่ฉินเอ๋อร์และลู่เฟยเอ๋อร์ของตระกูลลู่ก็คือหลิ่วฉินซินและจ้าวหยูเฟย
ผู้แข็งแกร่งจำนวนมากรอบบริเวณล้วนแต่ตกตะลึงเพราะประโยคนั้น พากันมองไปด้วยความอยากรู้ว่าเป็นใครมาจากไหนกันแน่
“หึ ก็แค่เด็กบ้าคนหนึ่ง ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ!”
“แค่ขอบเขตก่อเกิดดาราช่วงแรกเริ่มก็คิดจะสู่ขอเทพธิดา เป็นหมาวัดริจะเด็ดดอกฟ้า!”
ทุกคนเผยท่าทีดูหมิ่นเยาะเย้ยทันที
ผู้ที่เดินทางมาเพื่อทาบทามสู่ขอ โดยปกติแล้วเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ชั้นยอด พลังฝึกตนสูงส่งลึกล้ำ แต่ไหนแต่ไรมาคนอายุน้อยไม่ค่อยได้เปรียบนัก
ถัดมา เจ้าตัวจะต้องเข้าร่วมการทดสอบด้วยตนเอง ไม่สามารถอาศัยพลังของคนนอก ต้องอาศัยพลังของตนเองเพื่อให้ได้รับความสนใจจากเทพธิดา นี่เป็นกฎที่ตั้งขึ้น
“ฮ่าๆ ฟังจากประโยคนี้ของเจ้า หากตอนทดสอบข้าเจอเจ้า ข้าสังหารเจ้าแน่!”
เวลานี้เอง เสียงหัวเราะบ้าคลั่งก็ดังมาจากด้านหลัง จากนั้นกลุ่มคนก็แหวกทาง บุรุษหนุ่มท่าทางยโสโอหังค่อยๆ เดินมา
“นั่นคือ ‘หวาเทียนเฟิง’ ผู้ถูกเลือกของเขาเมืองสวรรค์ อายุยี่สิบสามก็มีพลังฝึกตนขอบเขตแปรจิตช่วงต้น เรียกได้ว่าร้ายกาจ!”
“คนผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกที่อาจได้ชัยชนะที่สุดในการทดสอบคราวนี้ อีกทั้งตัวเขามีนิสัยโหดเหี้ยม เจ้าหนุ่มนี่เตะตาเขาเข้าแล้ว ไม่น่ามีจุดจบที่ดี!”
กลุ่มคนรอบบริเวณถอยไประยะหนึ่งอีกครั้ง
จ้าวเฟิงหมุนกายจากไปอย่างไม่แยแส
“หยุด ข้าให้เจ้าไปแล้วหรือ?”
หวาเทียนเฟิงย่างเท้ามาขวางทางเดินจ้าวเฟิงไว้
เมื่อครู่จ้าวเฟิงถึงกับพูดว่าจะเอาชนะคนที่เดินทางมาทาบทามสู่ขอทุกคน ซึ่งเขาก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้นพอดี
ปล่อยให้เด็กคนหนึ่งดูหมิ่นขนาดนี้ เขาหวาเทียนเฟิงไหนเลยจะปล่อยให้จ้าวเฟิงลอยนวลไป
เมี้ยว เมี้ยว~
เจ้าแมวขโมยน้อยมองหวาเทียนเฟิงด้วยใบหน้าเห็นอกเห็นใจ
ภาพนี้ทำให้หวาเทียนเฟิงยิ่งโกรธหนักมากกว่าเดิม เจ้าเด็กนี่ไม่เพียงแต่ดูหมิ่นเขา กระทั่งแมวตัวนี้ก็ยังทำเหมือนกัน
“ไสหัวไป!” สีหน้าจ้าวเฟิงเปลี่ยนไปทันที เขากวาดตามองหวาเทียนเฟิง
ในตอนที่หวาเทียนเฟิงประสานสายตากับจ้าวเฟิง จิตสำนึกของเขาเหมือนถูกขุนเขาขนาดใหญ่กดทับ จวนเจียนหมดสติ
แต่ยามนี้เอง จ้าวเฟิงหายวับไปจากข้างกายหวาเทียนเฟิง
“เมื่อครู่นี้มัน…”
ผ่านไปสักพักใหญ่ หวาเทียนเฟิงถึงได้สติกลับมา เหงื่อไหลซึมทั่วร่าง เขาหันไปมอง แต่จ้าวเฟิงก็อันตรธานหายไปโดยไร้ร่องรอยแล้ว
คนที่ชมเหตุการณ์รอบๆ ตระหนกตกใจ ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น หวาเทียนเฟิงที่ยโสโอหังมาโดยตลอดกลับยืนนิ่งราวคนโง่ และปล่อยให้จ้าวเฟิงหนีไป
“ไสหัวไป!”
หวาเทียนเฟิงตะโกนลั่น เกรี้ยวกราดอย่างยิ่ง คนทั้งหมดต้องรีบล่าถอยออกไปโดยเร็ว “บัดซบ อย่าให้ข้าเจอเจ้าอีกเชียว มิฉะนั้นจะทำให้เจ้าต้องตายทั้งเป็นเลยคอยดู!”
หลังจากได้ข่าวมาแล้ว จ้าวเฟิงก็รีบซื้อหาทรัพยากรระดับสูงจำนวนมากทันที จากนั้นจึงปิดด่านฝึกตน
ตอนที่ออกจากการปิดด่าน ข้ารับใช้ทั้งสี่ก็ยังรออยู่ด้านนอกด้วยสีหน้ายำเกรง
“นี่รางวัลของพวกเจ้า!”
จ้าวเฟิงสะบัดชายเสื้อ คมแสงหลากสีที่มีกลิ่นอายเขย่าขวัญสี่สายพุ่งออกมาหยุดลงด้านหน้าคนทั้งสี่
ฮั่วชิงเฟิงมองกระบี่ยาวลายผลึกเล่มหนึ่งด้านหน้า ด้านบนนั้นแผ่พลังธาตุวายุที่น่ากลัวออกมา ทำให้ใจเขาเต้นระรัว
“ชั้นนภาระดับสุดยอด!”
ฝ่ายเซวี่ยหลิงจื่อพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นตะขอสีแดงเข้มด้านหน้า มันสาดซัดพลังชั่วร้ายที่เขย่าประสาทออกมา ทำให้เซวี่ยหลิงจื่อคาดหวังรอคอย
ส่วนอีกสองคนสีหน้าก็ชะงักไปเช่นเดียวกัน ใบหน้าฉายแววยินดีอย่างยากจะอธิบาย ด้านหน้าพวกเขาเป็นอาวุธเทพชั้นนภาระดับสุดยอด
“ไปกันเถอะ ข้าต้องเข้าร่วมการทดสอบของตระกูลลู่ พอถึงตอนนั้นอย่าทำให้ข้าเสียหน้าล่ะ!”
จ้าวเฟิงก้าวเท้ายาวๆ เดินออกไปด้านนอก
เขาปิดด่านฝึกฝนไปหนึ่งเดือน วันนี้เป็นวันที่เริ่มการทดสอบพอดี
“รับทราบ นายท่าน!”
คนทั้งสี่หยิบอาวุธชั้นนภามาด้วยความลิงโลด และตามหลังจ้าวเฟิงไป
คนทั้งหมดเดินทางมาถึงตระกูลลู่แห่งเมืองจวีหยางอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้รอบตระกูลลู่มีผู้แข็งแกร่งจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมเอาไว้เต็มไปหมด คิดจะเบียดเข้าไปดูไม่ง่ายเลย
ตู้ม! เซวี่ยหลิงจื่อ ฮั่วชิงเฟิง และพวกปลดปล่อยแรงกดดันของผู้แข็งแกร่งขอบเขตอมตะ ทำให้กลุ่มคนตัวสั่นระริก ต้องถอยร่นไป
จากนั้นจ้าวเฟิงจึงนำคนทั้งสี่และแมวอีกหนึ่งเดินเข้าไปในตระกูลลู่
ในตอนนี้เอง ที่ลานแคบในตระกูลลู่ บุรุษหนุ่มอายุอานามยี่สิบกว่าๆ ร้อยคน มีทั้งที่สูงส่งไม่ธรรมดา บางคนยิ่งใหญ่องอาจ บางคนนุ่มนวลอ่อนโยน และบางคนก็เย็นชาน่ากลัว
ส่วนคนระดับสูงของตระกูลลู่กับผู้แข็งแกร่งชั้นยอดบางส่วน รวมถึงผู้ประกาศหาคู่ในคราวนี้อย่างลู่ฉินเอ๋อร์และลู่เฟยเอ๋อร์ จะอยู่ในที่ไกลออกไป
สายตาคนทั้งหมดแทบจะจับจ้องไปที่สตรีทั้งสองนาง
ลู่เฟยเอ๋อร์มีดวงตาเป็นประกายสดใส ผิวขาวนวล ประหนึ่งตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ชวนให้คนรักใคร่เอ็นดู ส่วนผมของลู่ฉินเอ๋อร์ดำขลับราวนกกาน้ำ นั่งนิ่งสง่างาม ถึงแม้จะมีอายุเพียงสิบห้าปี แต่กลับมีกริยามารยาทเรียบร้อยสูงส่งราวมาจากสรวงสวรรค์
จ้าวเฟิงย่างเท้าเข้ามาในจตุรัสส่วนกลางเข้าไปในกลุ่มบุรุษหนุ่มทั้งหลาย แต่กลับไม่ได้เป็นที่สนใจของคนอื่น มีเพียงเขาที่มีพลังฝึกตนในขอบเขตก่อเกิดดาราช่วงต้น เมื่อเปรียบกับพวกผู้ถูกเลือกเหล่านี้แล้วนับว่าด้อยกว่ามาก
“เป็นเขา!”
หวาเทียนเฟิงที่อยู่ในกลุ่มคนพวกนี้สีหน้าเหี้ยมเกรียม แต่กลับไม่ได้ลงมือทำอะไรเมื่อเข้ามาที่นี่ ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกมาล้วนแต่อยู่ในสายตาของเทพธิดาทั้งสอง
ทว่าสองดรุณีตระกูลลู่กลับอดไม่ได้ที่จะมองจ้าวเฟิงมากหน่อย
อัจฉริยะคนเก่งพวกนางเห็นมาจนเอียนแล้ว แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ตอนมองเด็กหนุ่มผู้นี้ กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
ผ่านไปครู่ใหญ่
“เริ่มได้แล้วกระมัง!”
ด้านข้างผู้นำตระกูลตระกูลลู่ ผู้อาวุโสชุดดำเอ่ยเสียงเรียบ
คนผู้นี้ก็คือคนของราชวงศ์จากอาณาจักรชิงหลัว เดินทางติดตามองค์ชายสิบมาสู่ขอ ส่วนตัวขององค์ชายสิบเองก็เป็นบุคคลที่น่าจะถูกเลือกลำดับต้นๆ ของการทดสอบคราวนี้ด้วย
“ตอนนี้การทดสอบเริ่มขึ้นแล้ว คนที่ได้ที่หนึ่งถึงจะมีคุณสมบัติสู่ขอบุตรสาวสุดที่รักของข้า!”
ผู้นำตระกูลตระกูลลู่ยืนขึ้นทันที ก่อนจะประกาศ
จากนั้นคนระดับสูงของตระกูลลู่ต่างชันกายลุกขึ้น ปราณแท้ที่รุนแรงแผ่พวยพุ่งออกมา
อากาศเหนือลานจตุรัสตรงกลางค่อยๆ ปรากฏเส้นทางขนาดใหญ่ขึ้นช้าๆ ประหนึ่งน้ำวนแห่งหนึ่งกำลังหมุนวนช้าๆ
“ไปกัน!”
บุรุษหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาสวมมงกุฎคนหนึ่งพุ่งออกไปเป็นคนแรก คนผู้นั้นก็คือ ‘คุณชายเว่ย’
ในเมืองใหญ่นับไม่ถ้วนของอาณาจักรชิงหลัว เมืองจวีหลงอันเป็นบ้านเกิดของคุณชายเว่ยเป็นหนึ่งในสามเมืองใหญ่ที่แข็งแกร่งที่สุด
จากนั้นบุรุษหนุ่มในชุดสีทองลายมังกรก็โบยบินออกมา แล้วเดินเข้าไปด้านใน คนผู้นี้ก็คือองค์ชายสิบของราชวงศ์แห่งอาณาจักรชิงหลัว
จากนั้นผู้ถูกเลือกที่เหลือต่างพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ตรงเข้าไปในน้ำวน จ้าวเฟิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ตอนที่ทุกคนเข้าไปด้านในแล้ว น้ำวนนั้นก็ค่อยๆ หดเล็กลงแล้วอันตรธานหายไป
ในเวลาเดียวกัน ม่านแสงขนาดใหญ่ปรากฏออกมา ภายในฉายภาพเหตุการณ์หนึ่ง นั่นคือสถานที่จัดการทดสอบ
รอบตัวจ้าวเฟิงดำมืดลงไป หมอกควันปั่นป่วนไม่หยุด เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง
“มิติมายาหรือ?” จ้าวเฟิงมองการทดสอบคราวนี้ออกทันที
อีกทั้งอุปสรรคมิติมายาที่นี่ ต่อให้เป็นขอบเขตแปรจิตช่วงต้นก็ยังได้รับผลกระทบอย่างมหาศาล
คาดว่าคงเพราะคนมาสู่ขอมีมากจนเกินไป ตระกูลลู่คิดจะคัดคนออกจำนวนมากในการทดสอบครั้งแรก ถึงได้สร้างมิติมายายากขนาดนี้
คนภายนอกไม่ได้รับผลกระทบจากหมอกควัน ยังสามารถมองเห็นเหตุการณ์ในมิติมายาและคนที่เข้าร่วมทดสอบได้อย่างชัดเจน
เห็นเพียงในนั้นมีอัจฉริยะจำนวนมากมีท่าทีต่างออกไป บ้างคนหัวเราะ บ้างเศร้าโศก บ้างก็หวาดกลัว ยังมีคนบางส่วนที่จ้องหมอกควันด้านหน้าแล้วบุกโจมตี
มีเพียงอัจฉริยะประมาณสามสิบคนที่ยังมีสติอยู่ตลอดเวลาภายใต้พลังของมิติมายา อีกทั้งคนเหล่านี้ยังมีไพ่ตายไม่น้อย ต่างนำออกมาใช้ทันใด
ในมือหวาเทียนเฟิงปรากฏป้ายหยกชิ้นหนึ่ง มันเปล่งแสงสีทองอ่อน หมุนวนรอบกายเขาเพื่อขัดขวางผลกระทบจากมิติมายา
อัจฉริยะคนอื่นๆ ต่างใช้วิชาที่ต่างกันออกไป
พวกเขาล้วนแต่มีความหวังที่จะข้ามผ่านด่านแรก สิ่งที่พวกเขาแข่งขันกันคือใครจะออกไปให้เทพธิดาได้ยลคนแรก
ที่โลกภายนอก ทุกคนต่างมองดูการต่อสู้ของอัจฉริยะชั้นยอดเหล่านี้ เลือดร้อนพลุ่งพล่าน
“หืม? เงานั่นคือใครกัน? คิดไม่ถึงเลยว่าจะรวดเร็วขนาดนี้ นำหน้าคนทุกคนไปเลย!”
คนผู้หนึ่งอุทานเสียงตื่น
จากนั้นคนอื่นที่เหลือก็มองออกไปในที่ไกลๆ
เห็นเพียงเงาคนร่างผอมเล็กในชุดขาว ไม่โดดเด่นสะดุดตาแม้แต่น้อย เมื่ออยู่ในหมอกควันกลับเดินทางเป็นประหนึ่งสายลม ดวงตาเด็กหนุ่มผู้นั้นเปล่งประกายวิบวับ เหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดใด!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? คนผู้นี้เพิ่งจะถึงขอบเขตก่อเกิดดาราขั้นแรกเริ่ม คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาพลวงตา!”
“อีกทั้งเขายังทิ้งห่างอัจฉริยะคนอื่นที่เหลือไปอีก!”
“คนผู้นี้เป็นใครกันแน่? เขาทำได้อย่างไร?”
โลกภายนอกเหมือนเกิดการระเบิด แววตาคนทั้งหมดเคลื่อนย้ายจากร่างผู้ถูกเลือกของแต่ละสำนักไปจดจ้องที่จ้าวเฟิง
กระทั่งลู่เฟยเอ๋อร์และลู่ฉินเอ๋อร์ก็มีสีหน้าประหลาดใจ รู้สึกเกินความคาดหมายเช่นกัน
ไม่นานนักจ้าวเฟิงก็ผ่านด่านมิติมายาได้อย่างราบรื่น อีกทั้งอัจฉริยยะที่เดิมโดดเด่นยังเพิ่งจะไปได้ครึ่งทางเท่านั้น
ชั่วขณะนั้น จ้าวเฟิงสะกดสายตาทุกคน คนระดับสูงจำนวนมากในขอบเขตอมตะและผู้แข็งแกร่งขอบเขตกำเนิดฟ้าที่มีกันเพียงเล็กน้อยก็ต่างสนใจเช่นกัน
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ คุณชายเว่ยและองค์ชายสิบถึงค่อยกัดฟันพุ่งออกจากหมอกควัน
“คนแรกคือข้า!”
คนทั้งสองตะโกนออกมาพร้อมกัน ระเบิดพลังเฮือกสุดท้าย ชิงเอาที่หนึ่งมาให้ได้
แต่ทว่าในตอนที่คนทั้งสองพุ่งออกจากหมอกควัน กลับพบว่าในที่ไม่ไกลมีร่างคนนั่งขัดสมาธิอยู่
“อะไรกัน?”
“คนผู้นั้นคือใคร?”
อัจฉริยะทั้งสองคนใจเต้นรัว เหมือนไม่อาจเชื่อได้ว่าจะมีคนมาถึงก่อนพวกเขาแล้ว
ถ้าหากเป็นศัตรูพวกนั้น พวกเขาก็ยังพอจะรับได้ แต่คนที่นำหน้าพวกเขาได้กลับเป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตก่อเกิดดาราที่ตนไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา