Skip to content

King of Gods 1584

King Of Gods

บทที่ 1584 กลอุบายต่างๆ นานา

จากนั้น ในกลุ่มหมอกก็มีหลายร่างโผล่ออกมาอีก

“สมแล้วที่เป็นองค์ชายสิบ คุณชายเว่ย ไม่รู้ว่าพวกเขาออกมาเร็วกว่าเราขนาดไหน!”

หนุ่มผิวเหลืองผู้หนึ่งเอ่ยเสียงเรียบ

“เอ๋? เจ้าเด็กนั่นคือใคร?”

“ทำไมข้าถึงจำไม่ได้ว่ามีคนผู้นี้ด้วย!”

ชั่วขณะต่อมา หัวข้อสนทนาของทุกคนก็ย้ายมาที่จ้าวเฟิง

อายุเพียงสิบห้าปี มีพลังฝึกตนขอบเขตก่อเกิดดาราช่วงต้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ไม่โดดเด่นแม้แต่น้อย พวกเขาจึงจำไม่ค่อยได้นัก

แต่ในตอนนี้ พวกเขาจำต้องจดจำคนผู้นี้เอาไว้ เพราะบางทีฝ่ายตรงข้ามอาจเป็นคนที่สามที่ผ่านด่านต่อจากองค์ชายสิบและคุณชายเว่ย

มีแต่องค์ชายสิบและคุณชายเว่ยเท่านั้นรู้ว่าจ้าวเฟิงเป็นคนแรกที่ผ่านมาได้ แต่พวกเขาก็ไม่พูดออกมา

เวลานี้ หวาเทียนเฟิงพลันกระโจนออกจากหมอกควัน

“อันตรายจริงๆ!”

เมื่อหนีออกจากกลุ่มควันมาได้ เขาถึงค่อยโล่งอก

ทว่าหลังจากที่พวกเขาเห็นจ้าวเฟิงแล้วก็เบิกตากว้าง ใจสั่นไหวปั่นป่วน

เดิมทีเขาคิดว่าการทดสอบแรกยากขนาดนี้ จ้าวเฟิงจะต้องไม่ผ่านด่านแน่ และเขาก็จะแอบเสียดายที่ไม่ได้สังหารจ้าวเฟิง

แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าจ้าวเฟิงจะผ่านด่านแรกได้ก่อนเขา!

หวาเทียนเฟิงเองยังไม่รู้สึกตัวว่าใจตนเองหวาดเกรงจ้าวเฟิงขึ้นมาเลย

เมื่อผ่านด่านที่หนึ่งมาแล้ว ทุกคนก็หาที่หนึ่งทรุดกายนั่งขัดสมาธิ ฟื้นฟูร่างกาย เพื่อเตรียมรับการทดสอบรอบต่อไป

มีคนเดินผ่านหมอกควันมาเรื่อยๆ ยิ่งบุกออกมาภายหลังเท่าไหร่ สภาพก็ยิ่งย่ำแย่ลงไป และเวลาที่พวกเขานั่งรักษาบาดแผลก็จะยิ่งน้อยลง

สามวันต่อมา เสียงหนึ่งดังขึ้น “คนที่ยังไม่ผ่านด่านมิติมายาให้นับว่าพ่ายแพ้ การทดสอบที่สองเริ่มขึ้นได้!”

เมื่อเพิ่งเอ่ยจบ

โครม เปรี้ยง เปรี้ยง!

ด้านหน้าของอัจฉริยะจำนวนมาก ฟ้าดินถล่มทลาย เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล กลายเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามทันที

ด้านหน้า มีภูเขาสูงที่เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย เมฆหมอกกระจายตัวเต็มฟ้า สายฟ้าฟาดลงเปรี้ยงปร้าง บางจุดก็มีหิมะขาวตกหนัก

ส่วนระหว่างยอดเขามีสัตว์ปีศาจดุร้ายจำนวนมากค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้น กำลังเดินขึ้นยอดเขา บินขึ้นไปในอากาศ หรือซ่อนตัวในป่าไม้ลำธาร

“ไสหัวไปซะ!”

องค์ชายสิบใบหน้าดุดัน พุ่งออกมาเป็นคนแรก

เสียงมังกรดังมา เงามังกรสีทองหลายตัวใต้เท้าองค์ชายสิบทะยานนำหน้า แรงกดดันที่น่ากลัวแผ่กระจาย เขย่าขวัญสัตว์ร้ายมากมาย

ด่านแรกให้จ้าวเฟิงได้อันดับหนึ่งไปก่อน บางทีจ้าวเฟิงอาจจะมีสมบัติที่ปกป้องตนเองจากมิติมายา แต่ด่านนี้เขาจะต้องเป็นคนแรกให้ได้

แต่หลังจากพุ่งออกมาแล้ว องค์ชายสิบก็พบว่าด่านนี้ไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น

นอกจากอันตรายนับไม่ถ้วนพวกนี้แล้ว ในอากาศยังมีพลานุภาพกดดันที่น่ากลัวกระจายตัว คนในขั้นต่ำกว่าขอบเขตแปรจิตเกรงว่าจะไม่สามารถบินได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหลบหลีกจากอันตรายทั้งปวงเลย

อัจฉริยะที่เหลือเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า

ลู่เฟยเอ๋อร์และลู่ฉินเอ๋อร์ที่ด้านอยู่นอกเฝ้ามองอยู่ หากทำผลงานได้ดี ต่อให้ไม่ได้ที่หนึ่ง แต่ถ้าได้รับความสนใจจากเทพธิดาทั้งสอง อาจสามารถทาบทามสู่ขอพวกนางได้

อัจฉริยะจำนวนมากต่างแสดงวิชาสารพัด มุ่งหน้าไปบนเส้นทางอันตราย

พรึ่บ!

จ้าวเฟิงโบกมือ หุ่นเชิดกลไกสีเงินรูปร่างนกปรากฏขึ้น

จ้าวเฟิงยืนอยู่ด้านบนนั้น พุ่งออกไปทันที

หุ่นเชิดกลไกตัวนี้ถึงแม้จะดูธรรมดา แต่มันเป็นหุ่นเชิดบินได้ในขอบเขตแปรจิตช่วงกลาง ความรวดเร็วและปราดเปรียวเป็นลำดับหนึ่ง

ฟุ่บ!

แสงสีเงินบิดโค้งพุ่งผ่านไป จ้าวเฟิงนั่งบนหุ่นเชิดกลไก หลบการโจมตีจากสายฟ้าและสัตว์ร้าย

“เป็นหุ่นเชิดที่ร้ายกาจเหลือเกิน!”

“เจ้าเด็กนี่เป็นใครกันแน่? ไม่นึกว่าจะสร้างหุ่นเชิดโบยบินที่ดีเยี่ยมขนาดนี้ได้!”

เมื่อเห็นจ้าวเฟิงนำหน้าพวกเขาไป อัจฉริยะจำนวนมากตื่นตะลึงเกินจะเปรียบ

หุ่นเชิดไม่ได้มีราคาถูกเลย ยิ่งหุ่นเชิดคุณภาพดี ราคาก็ยิ่งสูงตามไปด้วย บางตัวมีคนอยากได้แต่ไม่มีขาย คนจำนวนไม่น้อยในบรรดาพวกเขาต่างมีหุ่นเชิดต่อสู้ แต่หุ่นเชิดที่บินได้กลับไม่มีเลย

หุ่นเชิดโบยบินสามารถหลบหลีกทุกอันตรายได้ภายใต้การชี้นำของจ้าวเฟิง

เห็นเพียงเด็กหนุ่มที่ห้าวหาญคนหนึ่งเบื้องหน้า นั่นก็คือหวาเทียนเฟิง เขายืนอยู่บนวิหคสิงห์สีดำตัวหนึ่ง กำลังโบยบินตรงไป

วิหคสิงห์ตัวนี้ก็มีพลังฝึกตนขอบเขตแปรจิต แต่ขนาดของมันใหญ่โตเกินไป อีกทั้งประสาทสัมผัสไม่ฉับไว จึงไม่มีประโยชน์มากนักเมื่ออยู่ที่นี่

ในเวลานี้เอง หวาเทียนเฟิงสังเกตเห็นว่าด้านหลังมีคนไล่ตามมา เขากวาดประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ ใบหน้าเปลี่ยนสีไป

“เป็นไปได้อย่างไร เจ้า…”

หวาเทียนเฟิงอุทานอย่างตกใจ

เปรี๊ยะ!

หุ่นเชิดวิหคเงินโฉบผ่านด้านซ้ายของวิหคสิงห์สีดำ พลานุภาพที่ไร้รูปร่างกวาดไปหาวิหคสิงห์ ทำให้ร่างมันเอนเอียง สูญเสียสมดุลไป

หวาเทียนเฟิงยโสโอหัง หนำซ้ำในใจยังมีความคิดอยากจะสังหารเขา จ้าวเฟิงเองก็ไม่ใช่คนที่มีคุณธรรมอะไร จึงฉวยโอกาสครั้งนี้ปั่นหัวหวาเทียนเฟิงสักหน่อย

วิหคสิงห์ของหวาเทียนเฟิงเสียความสมดุลไป ความเร็วได้รับผลกระทบ

ในเวลาเดียวกัน สายฟ้าสีขาวเขย่าขวัญสายหนึ่งฟาดลงมา ระเบิดบนปีกข้างหนึ่งของวิหคสิงห์

หวาเทียนเฟิงโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง แต่กลับทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงประคองสถานการณ์ของตนเองเอาไว้ก่อน

จ้าวเฟิงก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก ทิ้งห่างไปไกลอย่างรวดเร็ว

เขาแซงหน้าผู้ถูกเลือกคนแล้วคนเล่า ไม่นานจึงเห็นคุณชายเว่ยกับองค์ชายสิบที่อยู่ด้านหน้าสุด

เท้าสองข้างขององค์ชายสิบยืนอยู่บนเงามังกรทอง สาดซัดพลานุภาพน่าสะพรึงที่เขย่าฟ้าดิน มุ่งไปด้านหน้าอย่างแน่วแน่

ส่วนเรือบินกลไกที่คุณชายเว่ยนั่งอยู่ก็ตามมาติดๆ

คนทั้งสองสังเกตเห็นจ้าวเฟิงที่บินประชิดมาด้านหลัง ใบหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง

“เขาอีกแล้ว!”

ทั้งสองคนเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณชายเว่ยที่จ้องหุ่นเชิดโบยบินของจ้าวเฟิง เผยความริษยา มาตรฐานการสร้างหุ่นเชิดโบยบินของจ้าวเฟิงดีกว่าเรือบินกลไกของเขามากนัก

“คราวนี้อย่าหวังว่าจะแซงข้าได้!”

คุณชายเว่ยโคจรปราณแท้ ทุ่มสุดพลังเพื่อควบคุมหุ่นเชิดกลไก

ครั้งแรกโดนจ้าวเฟิงล่วงหน้าไป เขาไม่รู้ว่าจ้าวเฟิงใช้วิธีอะไรถึงผ่านด่านมายาได้รวดเร็วขนาดนั้น

แต่คราวนี้ ทั้งสองคนต่างใช้หุ่นเชิดกลไก ถึงแม้คุณภาพหุ่นเชิดของเขาจะไม่ค่อยดีนัก แต่พลังฝึกตนเขาก็อยู่เหนือกว่าจ้าวเฟิงไปมาก ดังนั้นเขาจะพ่ายแพ้แก่จ้าวเฟิงไม่ได้เด็ดขาด มิฉะนั้นจะเท่ากับว่าเขาด้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม

พรึ่บ…

แสงสว่างสามสายตรงดิ่งไปอย่างรวดเร็ว หลบหลีกอันตรายทั้งหมดที่ขวางอยู่ด้านหน้า

ทั้งสามไม่มีใครยอมให้ใคร!

เปรี๊ยะ~

ในช่วงเวลาหนึ่ง องค์ชายสิบไปถึงจุดหมายปลายทางก่อน ตามมาด้วยจ้าวเฟิงและคุณชายเว่ยที่มาถึงในเวลาเดียวกัน

เมื่อเก็บหุ่นเชิดโบยบินแล้ว จ้าวเฟิงก็นั่งอยู่อีกด้าน ไม่ได้แยแสคนทั้งสอง

ถึงแม้ด่านที่สองจ้าวเฟิงจะไม่ได้ที่หนึ่ง แต่อันที่จริงสองด่านนี้เขายังไม่ได้ทุ่มเทสุดแรงเลย เพราะว่าสองด่านนี้ไม่สำคัญเท่าไหร่นัก ด่านที่สามต่างหากถึงสำคัญที่สุด

เวลาเคลื่อนคล้อยไป สองวันผ่านไป คนที่ผ่านมาถึงจุดหมายปลายทางมีเพียงแค่สิบคนเท่านั้น

คนที่สิบก็คือหวาเทียนเฟิง ใบหน้าเขาซีดเผือดเล็กน้อย มาถึงจุดหมายในสภาพย่ำแย่ เห็นได้ชัดว่าระหว่างทางคงเกิดอุบัติเหตุไม่น้อย

เมื่อเดินผ่านจ้าวเฟิง หวาเทียนเฟิงจ้องเขาด้วยสายตาเกรี้ยวกราด เหมือนจะสับอีกฝ่ายเป็นชิ้นๆ

“ด่านสุดท้ายเปิดได้!”

เสียงมายาดังขึ้น

ด้านหน้าสิบผู้ถูกเลือก ฟ้าดินสั่นสะเทือน เวทีประลองขนาดใหญ่ห้าเวทีก็ดันตัวขึ้นมา

“เป็นไปตามคาด ด่านสุดท้ายคือการต่อสู้ คนที่ยังอยู่ก็คือคนได้ที่หนึ่ง!”

คุณชายเว่ยยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ จากนั้นจึงมองจ้าวเฟิงอย่างเหยียดหยาม

“เชิญทุกท่านเลือกเวที ประลองกันตัวต่อตัว!”

เสียงมายานั้นดังขึ้นอีกครั้ง พูดประโยคสั้นๆ อธิบายกฎการประลอง

เลือกเวทีประลองตามใจตน และเวทีประลองมีเพียงแค่ห้าแห่งเท่านั้น แปลว่าคนที่เลือกเวทีประลองเดียวกันต้องต่อสู้กัน

“ดี!”

แววตาองค์ชายสิบเปล่งประกายวิบวับ ก่อนจะกลายร่างเป็นเงามังกรโบยบินตรงไปยังเวทีประลองแห่งแรก

ในเวลาเดียวกัน เก้าคนที่เหลือต่างพากันแยกย้าย โบยบินไปที่เวทีประลองอีกสี่แห่ง

คุณชายเว่ยยึดเวทีประลองที่สาม หวาเทียนเฟิงอยู่บนเวทีประลองที่สี่ ส่วนจ้าวเฟิงเข้าไปยังเวทีที่ห้า!

ส่วนคนที่ช้าที่สุด สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้ จึงต้องขึ้นไปบนเวทีประลองขององค์ชายสิบ

ในชั่วขณะที่ย่างเท้าขึ้นไป เขาก็ยอมแพ้ทันที

ส่วนในเวทีประลองอื่นๆ การต่อสู้ก็เปิดฉากขึ้น

คู่ต่อสู้ของจ้าวเฟิงเป็นผู้ฝึกกระบี่ในขอบเขตแปรจิตช่วงต้นคนหนึ่ง นัยน์ตามีประกายเยียบเย็น

“คิดไม่ถึงเลยว่าความสามารถอย่างเจ้าจะผ่านมาถึงด่านที่สามได้ แต่ไม่ว่าเจ้าจะผ่านมาได้อย่างไร การเดินทางของเจ้าจะจบลงที่ตรงนี้!”

ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นเอ่ยเสียงต่ำ ก่อนจะกลายร่างเป็นเงากระบี่พุ่งตรงมาหมายโจมตี

จ้าวเฟิงยืนนิ่งไม่ไหวติง หยิบธงรบสี่ด้านออกมาจากมิติเก็บของ และปักลงรอบตัว

ฟิ้ว!

ธงค่ายกลนั้นถูกกระตุ้น แสงสีฟ้าทะลักออกและยืดยาวออกมา ค่ายกลเกาะกลุ่มกันเป็นเกราะแสงสีฟ้าสุกสกาว ปกคลุมจ้าวเฟิงเอาไว้ด้านใน

ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นฟาดกระบี่ลงมา เกราะแสงคุ้มกันของจ้าวเฟิงไม่สะเทือนแม้แต่น้อย

“ข้าจะทำลายมันลงเสีย!”

ใบหน้าผู้ฝึกกระบี่เย็นชา ฟาดฟันกระบี่ในมือลงติดต่อกัน

เกราะแสงสีฟ้าสุกสว่างเปล่งแสงประกายต่อเนื่อง แต่กลับไม่มีสัญญาณว่าจะเสียหายแม้แต่น้อย

และในเวลานี้เอง จ้าวเฟิงโบกมือ หุ่นเชิดกลไกขอบเขตแปรจิตช่วงกลางสองคนพุ่งออกจากค่ายกล ตรงดิ่งไปสังหารผู้ฝึกกระบี่

“เจ้า เจ้า…เจ้ามันเต่าในกระดอง ตนเองหดหัวไม่ยอมออกมา และยังปล่อยหุ่นเชิดมากมายขนาดนี้มาอีก!”

ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นก่นด่า

เขาเป็นถึงอัจฉริยะขอบเขตแปรจิตช่วงต้น สามารถสู้รบกับช่วงกลาง แต่หากเป็นหุ่นเชิดขอบเขตแปรจิตช่วงกลางสองคน เขาย่อมรับมือไม่ไหวแน่

จนสุดท้าย ในตอนที่ผู้ฝึกกระบี่คนนี้ใกล้พ่าย ก็เอ่ยปากขอยอมแพ้

ในเวลาเดียวกัน เวทีประลองแท่นที่สี่ หวาเทียนเฟิงเอาชนะฝ่ายตรงข้ามและเป็นฝ่ายได้ชัย

ทันใดนั้น เวทีประลองที่จ้าวเฟิงอยู่ย้ายไปหาเวทีประลองที่สี่ รวมตัวกันเป็นเวทีประลองที่สมบูรณ์อีกครั้ง

เมื่อเป็นเช่นนี้ จ้าวเฟิงจึงต้องประมือกับหวาเทียนเฟิง

จ้าวเฟิงไม่สนใจ เขาไม่ต้องขยับตัวด้วยซ้ำ เพียงแค่อยู่ในค่ายกล รอให้เอาชนะศัตรูทั้งหมดได้ก็พอ

อีกฟากหนึ่ง เวทีประลองลำดับแรกและลำดับที่สองก็รวมกันเป็นหนึ่ง ส่วนคุณนายเว่ยหลังจากได้ชัยชนะแล้ว เวทีประลองก็ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร

“เจ้าหนุ่ม วันนี้ข้าต้องสังหารเจ้าให้ได้!”

หวาเทียนเฟิงระเบิดโทสะที่สุมอยู่ในอกมานาน

ฟิ้ว!

เขาโบกมือ วิหคสิงห์สีดำขอบเขตแปรจิตช่วงต้นสองตัวโบยบินออกมา อ้าปากกว้าง ท่าทางคุกคาม

ส่วนหวาเทียนเฟิงกำหมัดสองข้าง จากนั้นส่งหมัดออกมาโจมตีจ้าวเฟิง

“ข้าไม่มีทางออมมือให้เจ้าแน่!”

มุมปากจ้าวเฟิงยกยิ้มน้อยๆ เมื่อพลิกฝ่ามือก็ปรากฏกลุ่มแสงโลหะสามกลุ่ม

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

กลุ่มแสงสามกลุ่มพุ่งออกมา แบ่งออกไปโจมตีวิหคสิงห์กับหวาเทียนเฟิง

เมื่อระเบิดออกแล้ว กลุ่มแสงทรงกลมโลหะนั้นก็กลายเป็นพายุเพลิงหมุนวน

ฉับพลันนั้น วิหคสิงห์สองตัวที่บาดเจ็บสาหัส ร่างกายบุบสลายอย่างยิ่ง เลือดสดไหลอาบร่าง ส่วนหวาเทียนเฟิงเองก็ถูกโจมตีไม่น้อย เลือดไหลออกจากมุมปาก

“นี่คืออุปกรณ์ระเบิดตัวตาย!”

หวาเทียนเฟิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หมัดที่กำแน่นสั่นน้อยๆ เกรงว่ามูลค่าน่าจะเท่ากับอาวุธเทพชั้นนภาระดับต่ำชิ้นหนึ่ง ต่อให้เป็นหวาเทียนเฟิงก็ยังรู้สึกว่าจ้าวเฟิงสิ้นเปลืองเล็กน้อย

วิหคสิงห์สูญเสียกำลังรบไป หวาเทียนเฟิงถูกหุ่นเชิดขอบเขตแปรจิตช่วงกลางสองตัวล้อมโจมตี

แต่เขาไม่ใช่ผู้ถูกเลือกธรรมดา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหุ่นเชิดขอบเขตแปรจิตช่วงกลางจึงยังพอจะประมือกับอีกฝ่ายได้

ถึงแม้จ้าวเฟิงจะเป็นเพียงขอบเขตก่อเกิดดาราช่วงแรกเริ่ม กลับมีค่ายกลป้องกันและหุ่นเชิดกลไกต่อสู้ ทั้งยังมีอุปกรณ์พิเศษจำพวกระเบิดด้วย

แต่หวาเทียนเฟิงก็ยังมีไพ่ตายอีก!

ดวงตาหวาเทียนเฟิงถมึงทึง ตัดสินใจเอาอาวุธสังหารออกมาใช้

“ไสหัวไปซะ!”

จ้าวเฟิงควบคุมทั้งหมดของหวาเทียนเฟิง ไม่พูดไม่จา เขาปลดปล่อยกลุ่มแสงโลหะสามกลุ่มออกไปอีกครั้ง

ทันใดนั้น กลุ่มแสงทรงกลมทั้งสามก็พุ่งตรงไปหาหวาเทียนเฟิง

โครม ตูม~

หวาเทียนเฟิงยังมีไม้เด็ดที่ไม่ได้เอาออกมาใช้อีก ทรวงอกก็ถูกระเบิดเป็นรอยไหม้เกรียม กระเด็นออกจากเวทีประลองไป

“บัดซบ ข้าไม่ยอม…”

หวาเทียนเฟิงตะเบ็งเสียงอย่างคับแค้นใจ

ไม้ตายที่เขาตั้งใจเตรียมมาเป็นอย่างดียังไม่ทันถูกใช้ ก็โดนจ้าวเฟิงถล่มจนกระเด็นออกจากเวทีประลองเสียแล้ว อีกทั้งเขาคิดว่าจ้าวเฟิงไม่ได้อาศัยความสามารถของตนเอง แต่อาศัยวิชาอื่นๆ จนได้ชัยชนะมา

ทว่าวิชาของจ้าวเฟิงนับว่าทำให้ใจสั่นจริงๆ อุปกรณ์จำพวกระเบิดนั้น ทุกชิ้นเทียบเท่าได้กับอาวุธเทพชั้นนภาระดับต่ำ ไหนจะยังมีหุ่นเชิดต่อสู้และค่ายกลป้องกัน ก่อนนี้จ้าวเฟิงยังมีหุ่นเชิดกลไกอีก นับว่ามีลูกเล่นมากมายจริงๆ

มูลค่าของสิ่งของเหล่านี้ เมื่อรวมๆ กันแล้วก็ทำให้หวาเทียนเฟิงใจสั่น หรือว่าจ้าวเฟิงจะมีคนหนุนหลังอยู่?

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version