บทที่ 1582 อาจารย์ผู้ลึกลับ
เซวี่ยหลิงจื่อเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักปีศาจโลหิต มีพลังฝึกตนในขอบเขตอมตะช่วงสุดยอด ถูกวางตัวให้เป็นเจ้าสำนักของสำนักปีศาจโลหิต
ในจวนเจ้าเมือง คนตระกูลจ้าวต่างรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ปกติอย่างยิ่ง
อย่างแรก ทางจ้าวป้าหลงลอบโจมตีอย่างกะทันหัน สร้างความเสียหายต่อพวกเขาไม่น้อย
ต่อมา เซวี่ยหลิงจื่อซ่อนตัวอยู่ในที่พักของจ้าวป้าหลง ลอบสังหารผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเขาจนบาดเจ็บสาหัส
กำลังรบของผู้อาวุโสสูงสุดและเซวี่ยหลิงจื่อคงจะไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้มีความแตกต่างปรากฏขึ้นแล้ว ความต่างนี้มากพอที่ส่งผลกระทบต่อผลแพ้ชนะระหว่างยอดฝีมือ
“จ้าวป้าหลง นี่เจ้า…”
ผู้อาวุโสสูงสุดโกรธจนไม่อาจระงับโทสะได้ ชี้ไปที่จ้าวป้าหลง ร่างสั่นเทิ้มน้อยๆ
คิดไม่ถึงเลยว่าที่สุดแล้วตระกูลจ้าวจะล่มสลายลงด้วยเงื้อมมือคนตระกูลจ้าว
“เจ้าเมืองตกอยู่ในอันตราย…”
สีหน้าผู้อาวุโสคนหนึ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจร้อนรน
คราวนี้ เจ้าเมืองจ้าวเทียนหลงนำผู้แข็งแกร่งจำนวนไม่น้อยเดินทางไปที่สำนักปีศาจโลหิต แต่ทั้งหมดนั้นเป็นกับดักทั้งสิ้น
แต่เพราะค่ายกลริ้วโลหิต พวกเขาจึงยากจะบุกฝ่าออกมา และก็ไม่สามารถส่งข่าวออกไปได้ด้วย
“วางใจเถอะ ตอนนี้ที่สำนักปีศาจโลหิตยังรับมือจ้าวเทียนหลงไม่ไหว แต่รอพวกเจ้าตายแล้ว เขาก็จะตามไปเป็นเพื่อนพวกเจ้าเอง!”
จ้าวป้าหลงหัวเราะเสียงดัง
ขอแค่จับเป็นจ้าวเฟิงได้ เขาก็ไม่กลัวจ้าวเทียนหลงจะไม่กลับมา ดังนั้นแผนทรยศจึงเริ่มขึ้นเมื่อจ้าวเฟิงกลับจวน
คนตระกูลจ้าวภายในจวนเจ้าเมืองไปรวมตัวกันด้านหลัง
ถึงแม้พวกเขาจะถูกค่ายกลกักขังเอาไว้ จนไม่สามารถส่งข่าวออกไปได้ แต่คนอื่นๆ ในเมืองหนานอวิ้นจะต้องสังเกตเห็น จ้าวเทียนหลงจะต้องรู้ในอีกไม่ช้า
ตอนนี้พวกเขาแค่ต้องทุ่มเทสุดกำลังเพื่อตั้งรับ ซื้อเวลาเอาไว้ รอให้จ้าวเทียนหลงกลับมา มีเพียงเช่นนี้จึงจะมีโอกาสรอด
“ลงมือเถอะ เซวี่ยหลิงจื่อ!”
จ้าวป้าหลงหัวเราะชั่วร้าย
“ฮี่ๆ ไม่ต้องรอให้เจ้าบอกหรอก!”
เซวี่ยหลิงจื่อเลียคราบเลือดที่ริมฝีปาก แววตาแดงก่ำจ้องผู้อาวุโสสูงสุด จิตสังหารกระจายตัวออก
โครม ตูม!
ทันใดนั้นเอง เซวี่ยหลิงจื่อปลดปล่อยควันโลหิตไร้ขอบเขต ขณะม้วนตลบก็รวมตัวกันเป็นปากปีศาจ คมเขี้ยวสีแดงฉานเปล่งแสงเย็นเยียบวูบวาบ
“สังหาร!”
เซวี่ยหลิงจื่อพุ่งออกมาทันที เมื่อชี้นิ้ว ปากใหญ่สีแดงเลือดก็พุ่งไปกัดผู้อาวุโสสูงสุด
สีหน้าผู้อาวุโสสูงสุดเคร่งขรึม กระบี่ยาวในมือระเบิดแสงทองเจิดจ้า ฟาดคมกระบี่ทรงพลานุภาพสายหนึ่งออกไป
โครม ตูม~
ระลอกการโจมตีที่น่ากลัวของขอบเขตอมตะช่วงสุดยอดระเบิดออก ทำให้สมาชิกทั้งหลายแถวนั้นต่างถอยร่นไป
อีกด้านหนึ่ง จ้าวป้าหลงและผู้อาวุโสหลายคนของตระกูลจ้าวเริ่มเปิดฉากสังหาร
“หากตอนนี้ยอมศิโรราบ ข้ายังพอจะไว้ชีวิตพวกเจ้าได้!”
จ้าวป้าหลงหัวเราะเสียงเหี้ยม กำแพงยิ่งนัก
“ฝันไปเถอะ!”
คนผมขาวผู้หนึ่งตะเบ็งเสียงกร้าว โบกไม้เท้าในมือ ปะทุแสงสว่างสีขาวจ้าตากลุ่มหนึ่ง
“ไสหัวไป!”
จ้าวป้าหลงแค่นเสียงเดือดดาล ส่งฝ่ามือยักษ์สีแดงทองข้างหนึ่งออกไป แสงฝ่ามือน่าสะพรึงขวัญ ภายในนั้นสาดพลังชั่วร้ายน่าพรั่นพรึง
“ตัวจ้าวป้าหลงเองมีพลังดีเยี่ยมยิ่ง อีกทั้งฝึกฝนเคล็ดวิชาของสำนักปีศาจโลหิต พลานุภาพเหนือกว่าขั้นหนึ่ง นอกเหนือจากจ้าวเทียนหลงและผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว เกรงว่าจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขา!”
ผู้เฒ่าผมขาวสีหน้าตึงเครียด ลอบทอดถอนใจ
เห็นเพียงเหนือพลังชั่วร้ายสีแดงทองพลันสาดแสงสีขาวแสบตา จากนั้นทำลายการโจมตีจากผู้อาวุโสที่เหลือแล้วพุ่งผ่านไป
ผู้อาวุโสหลายคนร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม
พรสวรรค์ของจ้าวป้าหลงไม่ด้อยไปกว่าจ้าวเทียนหลงเท่าไหร่นัก เพียงแต่คนผู้นี้วางอำนาจบาตรใหญ่มากจนเกินไป จึงต้องมอบตำแหน่งผู้นำตระกูลให้กับจ้าวเทียนหลง
ตอนนี้เขายังฝึกฝนวิชาจากสำนักปีศาจโลหิต สามารถดูดเลือดลมจากคนอื่น และชำนาญการต่อสู้แบบตะลุมบอน หนำซ้ำยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง
อีกด้านหนึ่ง ชายร่างอ้วนผู้หนึ่งพุ่งไปหาจ้าวเฟิง
“ฮ่าๆ แค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ก็จะให้ข้าลงมือด้วยตนเอง จ้าวป้าหลงชักจะดูถูกกันเกินไปแล้ว!”
ชายร่างอ้วนผู้นั้นพาพุงพลุ้ยกับพลังดุจขุนเขาบดขยี้ไปทางจ้าวเฟิง
ในฐานะที่เป็นขอบเขตแปรจิตช่วงสุดยอด เพียงแค่เขาพ่นลมหายใจก็ปลิดชีพขั้นปราณม่วงผู้หนึ่งได้แล้ว
“ยอมให้จับแต่โดยดีเสียเถอะ!” ชายร่างอ้วนระบายยิ้มเจ้าเล่ห์
“ช่างไม่รู้อะไรเลย!” สีหน้าจ้าวเฟิงนิ่งสงบ นำหุ่นเชิดสามตัวออกมาจากมิติเก็บของ
สองตัวในนั้นเป็นหุ่นเชิดโลหะสีดำ ตัวหนึ่งเป็นหุ่นเชิดไม้ ในชั่วขณะที่ปรากฏขึ้น บางจุดบนร่างหุ่นเชิดทอแสงแวววับ ก่อนจะลอยไปหาชายร่างอ้วน
“นี่มัน…หุ่นเชิดขอบเขตแปรจิต แล้วยังมี…หุ่นเชิดขอบเขตอมตะอีก!”
สีหน้าชายร่างอ้วนเปลี่ยนไปทันที เขาสูดลมหายใจเข้าลึก กล้ามเนื้อทั้งตัวสั่นเทิ้มติดต่อกัน ทั้งตกใจทั้งเนื้อเต้น
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าขั้นปราณม่วงคนหนึ่งจะมีหุ่นเชิดที่แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้
“หนี!” ชายร่างอ้วนเหลือเพียงความคิดเช่นนี้ในหัว
เขายังพอรับมือหุ่นเชิดขอบเขตแปรจิตไหว แต่เขาจนปัญญากับหุ่นเชิดขอบเขตอมตะ
เปรี๊ยะ! หุ่นไม้ธรรมดาตัวนั้นตรงมาหาชายอ้วนวัยกลางคน ใจกลางฝ่ามือปรากฏหลุมหลุนหนึ่งที่ปล่อยแส้นแสงสีขาวออกมาจากด้านใน
“ไม่…” ใบหน้าเขาฉายแววหวาดกลัว กรีดร้องเสียงหลง
เขาประเมินหุ่นเชิดขอบเขตอมตะที่จ้าวเฟิงสร้างขึ้นต่ำไป!
โครม ตูม ตูม~
แสงสีขาวหลายเส้นทะลวงผ่านร่างชายร่างอ้วน กลุ่มแสงสีขาวสุกสกาวเข้ากลืนกินร่างช้าๆ
จากนั้นหุ่นเชิดอีกสองตัวก็ตรงดิ่งมาสังหาร
ไม่นานนัก ชายร่างอ้วนก็ไม่เหลือเศษซาก
ผู้แข็งแกร่งทั้งหลายที่กำลังประมือกันกลางอากาศก็สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์นี้ด้วย
“นั่นมันจ้าวเฟิง!” ผู้อาวุโสจำนวนไม่น้อยก็สังเกตเห็นจ้าวเฟิง
อันที่จริง ขั้นปราณม่วงผู้หนึ่งเล็กจ้อยเกินจะแยแสในศึกของกบฏ และไม่มากพอให้พวกเขาสนใจ แต่กลับมีผู้แข็งแกร่งขอบเขตแปรจิตช่วงสุดยอดตายเพราะจ้าวเฟิง
“หุ่นเชิดมากมายอะไรขนาดนี้!”
แววตาจ้าวป้าหลงทอประกายวิบวับ ในที่สุดตอนนี้เขาก็ได้รู้ว่านักฆ่าคนนั้นตายอย่างไร
ถูกหุ่นเชิดสามตัวนี้ล้อมสังหาร ไม่ว่าจะขอบเขตแปรจิตคนไหนก็ต้องตายทั้งนั้น
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ให้ข้าลงมือเองแล้วกัน!”
จ้าวป้าหลงร้องเสียงดัง ระเบิดพลังสุดแรง ผู้อาวุโสหลายคนที่บาดเจ็บสาหัสตรงดิ่งไปโจมตีจ้าวเฟิง
“เฟิงเอ๋อร์ ระวัง!”
“จ้าวป้าหลง เจ้าถึงกับกล้าลงมือทำร้ายเด็กคนหนึ่ง เจ้ามันไม่ใช่คน!”
ผู้อาวุโสหลายคนตะเบ็งเสียงอย่างเกรี้ยวกราด แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจะขวางจ้าวป้าหลง
ตอนนี้จ้าวป้าหลงบุกทะลวงมา นำหุ่นเชิดสามตัวออกมาจากมิติเก็บของ สองตัวในนั้นเป็นขอบเขตแปรจิตช่วงสุดยอด ส่วนอีกตนหนึ่งเป็นขอบเขตอมตะช่วงกลาง
“ในเมื่อยังพอมี เช่นนั้นก็ยกให้ข้าเถอะ!” จ้าวป้าหลงหัวเราะเสียงดัง
เขาเป็นถึงขอบเขตอมตะช่วงสุดยอด ในหุ่นเชิดทั้งหกมีอยู่สองตัวเท่านั้นที่เป็นขอบเขตอมตะ เขายังพอจะจัดการได้อย่างง่ายดาย
อีกอย่างเขาสนอกสนใจหุ่นเชิดนี้ ดังนั้นถึงได้ลงมือด้วยตนเอง
ตอนนี้จ้าวป้าหลงกำลังเข้าไปใกล้จ้าวเฟิงที่ดูอ่อนแอ ดูเหมือนจ้าวป้าหลงสามารถสังหารเขาลงได้ในพริบตาเดียว
แต่ในตอนนี้เอง
“เจ้ากล้าเอาของข้าไปหรือ?”
เสียงดวงวิญญาณที่แผ่วเบาเสียงหนึ่งเหมือนดังออกจากความว่างเปล่า ดังขึ้นในหัวจ้าวป้าหลง
พลังวิญญาณที่น่ากลัวนั้นทำให้ดวงวิญญาณจ้าวป้าหลงสั่นเทิ้ม รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ไม่อาจขัดขืน จนต้องคุกเข่าลงกลางอากาศ
“ผู้…อาวุโส…ไว้…”
จ้าวป้าหลงดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมาน พึมพำออกมาทีละคำ
“เจ้าจะสังหารข้า จะให้ข้าไว้ชีวิตเจ้าได้อย่างไร!”
เสียงวิญาณนั้นดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ใบหน้าจ้าวป้าหลงตื่นตะลึงเกินจะเปรียบ ขณะเบิกตากว้างจ้องที่จ้าวเฟิง
ในชั่วขณะต่อมา พลังวิญญาณที่น่ากลัวกลุ่มนั้นดังสะท้อนในหัวเขา ทำให้วิญญาณของเขาถูกทำลายล้าง จิตสำนึกดำมืด ชะงักอยู่กับที่
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ…
หุ่นเชิดสามตัวพุ่งออกมา และบุกโจมตีอย่างไม่หวาดกลัวอะไร
จ้าวป้าหลงถูกหุ่นเชิดทั้งหมดสังหาร
แน่นอนว่าเพราะดวงวิญญาณจ้าวป้าหลงถูกจ้าวเฟิงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ถึงได้ถูกหุ่นเชิดสังหารลงได้อย่างง่ายดาย
แต่คนอื่นๆ มองจุดนี้ไม่ออก
“นี่มัน…เรื่องอะไร?”
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?”
จิตใจทุกคนที่นั่นตื่นตะลึง สูดลมหายใจเข้าด้วยใบหน้าเกินจะเชื่อ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จ้าวป้าหลงถึงได้ตัวแข็งทื่อค้างอยู่กลางอากาศ ถัดจากนั้นหุ่นเชิดทั้งหมดก็ก้าวเท้าเดินหน้า ลงมือสังหารติดต่อกัน และปลิดชีพอีกฝ่ายลง
เรื่องนี้นับว่าผิดปกติจริงๆ ทำให้คนไม่อาจเข้าใจได้
“นี่มัน…เกิดขึ้นอะไรกันแน่?”
เซวี่ยหลิงจื่อที่กำลังสู้รบกับผู้อาวุโสสูงสุดตื่นตะลึงด้วยเช่นกัน
ผู้แข็งแกร่งในขอบเขตอมตะช่วงสุดยอดเช่นเดียวกับเขากลับตายลงด้วยวิธีประหลาดเช่นนี้ ทำให้จิตใจเขาหนาวเหน็บ ขนลุกชัน
สูญเสียขอบเขตอมตะช่วงสุดยอดผู้หนึ่งไป พวกเขาไม่เพียงแต่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่ที่เซวี่ยหลิงจื่อกังวลมากกว่านั้นคือ ตนเองก็อาจตายลงอย่างแปลกประหลาดเช่นนี้เหมือนกัน
“ลำดับต่อไป ถึงตาเจ้าแล้ว!”
เสียงวิญญาณนั้นดังขึ้นในหัวเซวี่ยหลิงจื่อ ทำให้หัวสมองเขาขาวโพลน ร่างกายโอนเอน
“ผู้อาวุโส…ไว้ชีวิตด้วย…”
ในชั่วขณะต่อมา ใจเซวี่ยหลิงจื่อเต้นระรัว ขาสองข้างบิดเบี้ยวจนทรุดตัวลงกลางอากาศ
เขารู้สึกได้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะสังหารตนเองก็ง่ายดายยิ่งนัก ประหนึ่งฆ่ามดปลวก
“นี่…”
ส่วนคนที่เหลือรอบบริเวณแต่ละคนยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ใบหน้าแข็งค้างมองเซวี่ยหลิงจื่อ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ!”
ผู้อาวุโสสูงสุดขบคิด ก่อนจะเอ่ยเสียงกังวาน
เขาเดาเอาว่าจะต้องมีผู้แข็งแกร่งลอบให้ความช่วยเหลือ การตายของจ้าวป้าหลงอาจเพราะผู้อาวุโสคนนี้ลงมือ
“ไว้ชีวิตเจ้า?” เสียงเย็นชาไม่แยแสดังขึ้นในหัวเซวี่ยหลิงจื่อ
เสียงนี้ทำให้เซวี่ยหลิงจื่อขนลุก อันตรายจากความตายที่หนาวเหน็บกระจายทั่วร่าง เหมือนเขาเห็นประตูสู่ความตาย
แต่ทั่วร่างเซวี่ยหลิงจื่อสั่นสะท้าน ไม่รู้จะพูดอะไร
“ช่างเถอะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้ไปรออยู่ที่สามหมื่นลี้ทางทิศตะวันออกของเมืองหนานอวิ้น!”
จ้าวเฟิงแค่นเสียงเย็น
“ขอบพระคุณผู้อาวุโสที่เมตตา!”
ทันใดนั้น เซวี่ยหลิงจื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันตรายอบอวลในอากาศ
เซวี่ยหลิงจื่อไม่พูดพร่ำทำเพลง บินหนีไปด้วยความหวาดกลัว
โครม! ค่ายกลริ้วโลหิตรอบจวนเจ้าเมืองสลายลงทันที
“สังหารศิษย์ทรยศ สังหารคนจากสำนักปีศาจโลหิต!”
ใบหน้าผู้อาวุโสสูงสุดชะงัก จากนั้นตะโกนเสียงกร้าว
เขาและผู้อาวุโสจำนวนมากรวมทั้งคนจากตระกูลจ้าวโต้กลับไม่นานนัก คนทรยศกับคนจากสำนักปีศาจโลหิตก็ถูกสังหารจนหมด และเมื่อเป็นเช่นนี้ วิกฤตความเป็นความตายของตระกูลจ้าวก็คลี่คลายลงไป!
ไม่นานนัก จ้าวเทียนหลงก็นำคนบางส่วนของตระกูลกระหืดกระหอบกลับมา เมื่อเห็นผลของเรื่องก็ชะงักไป
ในห้องลับ
“เฟิงเอ๋อร์ หุ่นเชิดของเจ้าพวกนี้มาจากไหนกัน?”
จ้าวเทียนหลงถามด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
รอบๆ นั้นยังมีผู้อาวุโสระดับสูงอีกหลายคนกับผู้อาวุโสสูงสุดที่คอยจับตาดูจ้าวเฟิง
“เมื่อครึ่งปีก่อน ข้าเจอผู้อาวุโสลึกลับคนหนึ่ง เขารับข้าเป็นศิษย์และมาข้าอยู่เสมอๆ เพื่อสอนสิ่งต่างๆ ให้ เขาเดาล่วงหน้าเอาไว้ว่าตระกูลข้าจะเจอกับอันตราย จึงยกหุ่นเชิดส่วนหนึ่งเอาไว้รักษาชีวิต…”
จ้าวเฟิงรีบสร้างเรื่องโกหก อ้างอิงถึงคนที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงเสียด้วยซ้ำ
“ดูไปแล้วคงจะเป็นอาจารย์ลึกลับของเจ้าคนนั้นลอบช่วยเสียแล้ว!”
จ้าวเทียนหลงพยักหน้า ท่าทางดีใจที่บุตรชายตนเองได้รับโอกาสเช่นนี้
“สวรรค์ปกปักบ้านสกุลจ้าว ฮ่าๆๆ!”
ผู้อาวุโสสูงสุดเองก็หัวเราะเสียงดัง และมองจ้าวเฟิงด้วยใบหน้าชื่นชม
ใครก็ไม่สงสัยเด็กอายุสิบห้าที่มีพลังฝึกตนเพียงแค่ขั้นปราณม่วงช่วงสุดยอด
หนึ่งเดือนต่อมา จ้าวเฟิงบอกลาบิดามารดา บอกว่าอาจารย์ผู้ลึกลับคนนั้นให้เขาไปทำธุระให้
คนในตระกูลไม่ถามอะไร ตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้น จ้าวเฟิงและฮั่วชิงเฟิงเดินทางออกจากเมืองหนานอวิ้น เป้าหมายอยู่ที่…เมืองจวีหยาง