บทที่ 17 : พลังภายในแห่งผู้ฝึกตน
“เช่นที่ทุกคนรู้ เส้นทางแห่งผู้ฝึกตนนั้นแบ่งออกเป็นเก้าขั้น สามขั้นแรกถูกเรียกกันในขั้นพลัง มีคำนำหน้าเป็นผู้เรียนรู้การฝึกตน ขั้นที่สี่ถึงหกนั้นถูกรู้จักกันในนามผู้ฝึกตน และขั้นเจ็ดถึงเก้านั้นเป็นที่รู้จักกันในนามจอมยุทธ์ มีฐานะสูงส่ง กระทั่งพรรคจ้าวก็ไม่ได้มีมากมาย” เฉินเอ่ยอธิบายเกี่ยวกับเส้นทางแห่งผู้ฝึกตนอย่างง่ายๆ
“ทุกๆ สามขั้นจะมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างกัน” ในหัวของจ้าวเฟิงเริ่มวาดแผนภาพง่ายๆ ออกมา
สามขั้นแรก: ฝึกฝนร่างกายและสร้างพื้นฐานที่ดี
ขั้นที่สี่ถึงหก: พัฒนาพลังภายในให้กลายเป็น ‘พลังแปรลักษณ์’ สามารถโจมตีผ่านอากาศได้
มีข่าวเล่าลือในเมืองเมฆาแห่งจอมยุทธ์ว่า ผู้ที่สามารถก้าวไปถึงขั้นสุดยอดของขั้นเก้าและมีฉายาว่า ‘จอมทัพ’ สามารถฆ่าศัตรูของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย ในสายตาของพวกเขานั้น ผู้ฝึกตนโดยทั่วไปและสัตว์ปีศาจนับเป็นเพียงมดเท่านั้น
“อย่างแรกข้าจะกล่าวเกี่ยวกับขั้นแรกและขั้นสองแห่งผู้ฝึกตน พวกเราได้พัฒนาร่างกายและโลหิตของพวกเราผ่านวิชาการต่อสู้…” ชายนามเฉินเอ่ยเกี่ยวกับพื้นฐานของสองขั้นแรก
ศิษย์ตระกูลจ้าวส่วนมากบนลานนั้นได้เข้าสู่ขั้นสามแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจมาก จ้าวเฟิงให้ความสนใจเกี่ยวกับขั้นแรกของผู้ฝึกตนเป็นอย่างมากเพราะเขาติดอยู่ที่ขั้นนั้นเป็นเวลานาน ทั้งเขายังมีวิชาต่อสู่จำนวนกว่าพันเล่มในศีรษะที่แตกต่างกันออกไปอีก
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงวิชาแรกที่เขาฝึกฝน ‘หมัดเหล็กเพลิง’ ท่าร่าง ประสบการณ์ และทักษะทั้งหมดจางหายไปจากความทรงจำเขาช้าๆ
เด็กหนุ่มตกใจอย่างมากเมื่อเขาไม่รู้ว่ามันหมายถึงสิ่งใด สิ่งที่เขารู้มีเพียงแค่วิชาหมัดเหล็กเพลิงนั้นได้สมบูรณ์แล้ว ไม่ได้ตระหนักว่าเขาบังเอิญเข้าสู่ ‘ห้วงจิตใจ’ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่หายากอย่างมากแม้แต่ในบรรดาอัจฉริยะ
“ถัดไปข้าจะกล่าวถึงทักษะของขั้นสองและสามและการเข้าถึงมัน…” เฉินไม่เอ่ยเปล่า เขายังแสดงตัวอย่างในการฝึกฝนให้ดูด้วย
ในฐานะผู้ฝึกตนที่แท้จริงนั้น ทุกๆ กระบวนท่าของเขาล้วนเป็นวิชาระดับกลางที่ถูกฝึกฝนจนกระทั่งเข้าขั้นสุดยอด แม้ว่าเขาจะใช้เพียงพลังของผู้ฝึกตนขั้นสามและวิชาระดับกลาง เขาก็ยังคงสามารถเอาชนะสิบอันดับแรกของศิษย์สายนอกได้อย่างง่ายดาย
“อย่างสุดท้าย ข้าจะแนะเทคนิคของพลังภายในให้ พวกเจ้าบางงคนเข้าสู่ขั้นสูงสุดของขั้นสาม และห่างจากการทะลวงเข้าขั้นสี่เพียงปลายนิ้ว” ในขณะที่เอ่ยถึงตรงนี้ ริมฝีปากของเขาก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม สิบอันดับแรกทุกคนนั้นล้วนเข้าสู่ขั้นสุดยอดของขั้นสามแล้ว
“แม้ว่าข้าจะไม่อาจอธิบายได้ว่ามันทำงานเช่นไร แต่จุดสำคัญอยู่ที่พวกเจ้าจะเข้าใจพลังภายในได้อย่างไร สิ่งที่ข้าสามารถทำได้มีเพียงการให้ประสบการณ์บางส่วนของข้าเท่านั้น…” เสียงของชายวัยกลางคนเบาลง เพียงแค่สิ้นประโยค เขาก็ปลดปล่อยพลังน่าหวาดหวั่นออกมา
ในตอนนั้น ศิษย์ตระกูลจ้าวทุกคนล้วนหายใจติดขัด ความกดดันที่ไม่อาจมองเห็นทะลักท่วมผู้เรียนรู้การฝึกตนทุกคน
“พลังอันใดกัน! นี่คือพลังภายในเช่นนั้นหรือ? หากข้ามีมันข้าคงสามารถทะลวงขั้นจนกลายเป็นผู้ฝึกตนที่แท้จริงได้…” ฝูงชนกลั้นหายใจขณะมองด้วยความหวาดผวา
“พลังภายในนั้นที่สุดแล้วเป็นพลังที่มาจากภายในร่างกายของคน ดังนั้นแล้วโลหิตที่แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างพลังภายใน และความแข็งแกร่งของโลหิตนั้นขึ้นอยู่กับร่างกายและกระดูก นี่ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้สามขั้นแรกของผู้ฝึกตนถูกเรียกในนาม ‘ขั้นพลัง’ พวกเขาพยายามสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด” เฉินเอ่ยในขณะที่แสดงตัวอย่าง
“ฝ่ามือทลายภูผา!” แสงสีเหลืองซีดเปล่งประกายออกจากใจกลางฝ่ามือของเขา
ปั่ก!
ก่อนที่ฝ่ามือของเขาจะแตะถึงพื้น พลังที่ออกจากฝ่ามือของเขาก็ไปถึงแล้ว
“อ๊า!”
ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยพลังภายในนั้นราวกับภูเขาถล่มใส่เหล่าศิษย์พรรคจ้าว เพียงแค่แรงกระแทกก็สามารถทำให้ผู้เรียนรู้การฝึกตนพ่ายได้แล้ว
ตุบ!
ศิษย์ที่มีระดับขั้นสองสามคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าล้มลงบนพื้น
“ฮึ่ม! ดูเหมือนว่าพื้นฐานของเจ้ายังอ่อนแออยู่ เพียงแค่ลมจากฝ่ามือข้าก็ทำให้เจ้าล้มเสียแล้ว หากเป็นผู้ที่มีขั้นเจ็ดหรือสูงกว่าแทนที่จะเป็นข้า พวกเจ้าคงกลายเป็นเศษเนื้อไปแล้ว…”ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะ
ในขณะที่เขากำลังอธิบายพร้อมแสดงตัวอย่างนั้น หนึ่งในร่างในฝูงชนนั้นราวกับรูปปั้น หลังจากที่ชายวัยกลางคนแสดงตัวอย่างเสร็จ เด็กหนุ่มจึงปิดเปลือกตาลง
“พลังภายในเป็นเช่นนี้…”จ้าวเฟิงหลับตา ในศีรษะปรากฏภาพของร่างกายชายนามเฉินขึ้นอีกครั้ง
ในตอนนั้น แสงสีเหลืองซีดเปล่งประกายออกจากภายในเลือด เมื่อชายวัยกลางคนแสดงกระบวนท่าเมื่อครู่ เด็กหนุ่มก็ได้ใช้ดวงตาซ้ายมองเพื่อเก็บรายละเอียดทุกอย่าง…
ดวงตาของเขาเก็บทุกรายละเอียดภายในร่างกายของอีกฝ่าย รวมทั้งวิธีการสร้างพลังภายใน ในสมองของเขา ภาพนั้นได้ถูกแสดงขึ้นกลับไปมา บางทีเฉินผู้นั้นอาจยังไม่สามารถเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของร่างกายของเขาอย่างชัดเจน
ถัดจากนั้นชายวัยกลางคนก็แสดงกระบวนท่าอีกครั้ง
ทุกครั้งที่เขาใช้กระบวนท่าออก จ้าวเฟิงจะใช้ดวงตาซ้ายในการสังเกต
ในขณะที่ศิษย์คนอื่นจะได้ยินเพียง ‘เหตุผล’ จ้าวเฟิงสามารถ ‘มองเห็น’ การสร้างมันขึ้นได้อย่างชัดเจน
ครึ่งชั่วโมงถัดไป การแนะทางก็จบลง
“เจ้าไม่สามารถเร่งรัดพลังภายในได้ การสร้างพลังภายในนั้นเจ้าจำเป็นต้องมีพรสวรรค์ที่ดีและพื้นฐานที่แข็งแกร่ง” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะขณะจากไป ชัดเจนว่าเขาไม่ได้คาดหวังกับศิษย์สายนอกเหล่านี้เท่าใดนัก
หากคำอธิบายของเขาสามารถทำให้หนึ่งหรือสองคนเข้าใจพลังภายใน นั่นย่อมเกินความคาดหมายแล้ว…
หลังจากที่ชายนามเฉินจากไป ศิษย์ส่วนมากก็จากไปพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม อย่างไรก็ตาม พลังภายในไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด มันขึ้นอยู่กับตัวบุคคล
แน่นอนว่าศิษย์ที่มีอันดับสูงย่อมตระหนักรู้บางอย่าง
จ้าวเยว่ที่ครองอันดับหนึ่งและจ้าวยี่จางบางครั้งก็มีสีหน้าครุ่นคิด บางครั้งก็แสดงสีหน้ายินดี…
จ้าวหยูเฟ่ยขมวดคิ้วเล็กๆ
สำหรับจ้าวเฟิงนั้น เขาปิดเปลือกตาในขณะที่ยืนนิ่ง ภายในสมอง ความทรงจำของทุกการเคลื่อนไหวของชายวัยกลางคนปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า…
ไม่นานหลังจากนั้น
จ้าวเฟิงพ่นลมหายใจออกก่อนจะรีบเร่งกลับไปยังบ้านของเขา
ปัง!
ทันทีที่กลับไปถึงบ้าน เด็กหนุ่มก็ปิดห้องของเขาก่อนนั่งขัดสมาธิ
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าพลังภายในนี่ทำงานเช่นไร…”ภายในสมองของเขา หน้าสุดท้ายของวิชานภาลอยล่องได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ด้วยวิชาลมหายใจผลักวายุ หากเขาฝึกฝนมันจนกระทั่งเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสาม เขาจะมีพื้นฐานที่เพียงพอในการสร้างพลังภายใน
ในวันเดียวกันนั้น เขาได้ซึมซับทุกความหยั่งรู้ที่เขาได้รับ ราตรีนั้น จ้าวเฟิงใช้ลมหายใจผลักวายุอยู่สองสามครั้งเพื่อยืนยันว่าเขาได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสาม
“ถึงเวลาเริ่มแล้ว…” จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึกขณะที่พยายามสร้างพลังภายใน
ด้วยวิชานภาลอยล่อง เด็กหนุ่มเริ่มควบรวมโลหิตของเขา
เมื่อเทียบกับวิชาลมหายใจผลักวายุแล้ว ระดับของวิชานภาลอยล่องนั้นสูงกว่านัก
ไม่ช้าโลหิตของเด็กหนุ่มก็ผ่านไปทั่วร่าง
ทุกสิ่งเป็นไปอย่างราบรื่น
ทว่า ในช่วงสุดท้ายนั้น จ้าวเฟิงรู้สึกราวกับไม่หลงเหลือพลังงานใด
นั่นเป็นเพราะแม้โลหิตของเขาจะแข็งแกร่ง ทว่าจำนวนมันยังนับว่าน้อยเกินไป ในด้านของความแข็งแกร่งของโลหิตนั้น เขานับได้ว่าเทียบเท่ากับจ้าวเยว่ แต่ในด้านของปริมาณ เขายังห่างไกล
จ้าวเฟิงยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นสุดยอดของระดับสาม และวิธีการที่นภาลอยล่องใช้ในการสร้างพลังปราณนั้นยากกว่าวิชาอื่นส่วนมาก
“หากข้าพลาด ข้าจะเข้าสู่สภาวะอ่อนล้า และมันจะยากในการสร้างพลังภายในครั้งหน้า…” จ้าวเฟิงกัดฟันกรอดในขณะที่เขาล้วงเอาพฤกษาโลหิตสองร้อยปีขึ้นมา
เฮือก!
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจเข้าในขณะที่พลังงานของพฤกษาโลหิตหลลอมรวมเข้ากับกระแสเลือดของเขา
วิ้ง
ในช่วงสุดท้าย เด็กหนุ่มรู้สึกราวกับโลหิตทั่วร่างเดือดพล่าน
ฮ่าห์!
เสียงตวาดลั่นราวฟ้าคำรามดังขึ้นภายในห้องจนหน้าต่างสั่นสะท้าน
ทันใดนั้น ทั้งห้องก็กลับเข้าสู่ความมืดมิดเมื่อเทียนนั้นถูกเป่าดับไปแล้ว
ภายใต้แสงจันทรา ปรากฏเด็กหนุ่มที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง ค่อยๆ คลายฝ่ามือของเขาออกช้าๆ… จากนั้น แสงสีเขียวซีดก็สว่างขึ้น…