บทที่ 260 : ลูกเขยผู้โชคดี
การปะทะกันระหว่างจ้าวเฟิงและหลิวฉินซินนั้นรุนแรงอย่างมาก ค่ายกลป้องกันรอบลานประลองได้อ่อนแสงลง แทบจะแตกสลาย
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ กระทั่งยอดฝีมือในนภาที่เจ็ดก็ยังยากที่จะรอดพ้น
ในขณะเดียวกัน
แมวสีเทาขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่ง อยู่ในสภาพเมามายกลับเข้ามาอยู่ในระยะการโจมตี เดินส่ายเซไปมา
เหล่าเด็กสาวที่อยู่ด้านล่างลานประลองบางคนหวีดร้องขึ้นอย่างหวาดกลัว
แมวขโมยตัวน้อยเดินงุนงง หากประมาทเพียงน้อยก็อาจตายตกอย่างโหดร้าย
ประกายไฟฟ้าและคลื่นดาบแหลมกระจัดกระจายไปทั่วลานประลอง ส่งเสียงระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
กลิ้ง กลิ้ง
ดวงตากลมโตของแมวขโมยตัวน้อยพร่าเลือน หมุนตัวก้มลงไปยังพื้น ยามนั้นที่คลื่นแสงสีฟ้าได้เคลื่อนผ่านเหนือศีรษะของมัน
มันกลิ้งตัว เมามายไร้สติ งุ่มง่ามอยู่บนพื้น ลอดผ่านประกายสายฟ้าไป
ไม่เพียงผู้คนด้านนอกที่มองอย่างหวาดกลัว จ้าวเฟิงและหลิวฉินซินที่กำลังสู้กันอยู่เองก็เหงื่อไหลโชกมองไปยังแมวขโมยตัวน้อย
“อย่าทำตัวไร้เหตุผลนัก”
จ้าวเฟิงตวาดเสียงเบา
แมวขโมยตัวน้อยมีสัมพันธ์ลึกลับกับเขา ทว่าในยามนี้กลับเมามายไม่มีสติอย่างมาก ถึงแม้มันจะได้ยินคำของเขา แต่ก็ไม่อาจตรึกตรอง
เมาจริงๆ หรือ
ใบหน้าของจ้าวเฟิงกระตุกรุนแรง
เมื่อมองอย่างละเอียด สภาพของแมวขโมยตัวน้อยตอนนี้แย่นัก ไม่เพียงเมามายทว่ายังลุ่มหลงในโลกงดงามแห่งหนึ่ง
แมวขโมยตัวน้อยเป็นพวกที่ ‘เมา’ แล้วจะมีประสารทสัมผัสดีขึ้น มีสัญชาตญาณเหนือธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนหลบต่อต้านล้วนทำให้อันตรายรอบด้านลดลง
ยามนั้นทุกคนล้วนอึ้งงัน
จ้าวเฟิงและหลิวฉินซินปะทะกันรวดเร็ว แมวขโมยตัวน้อยที่เมามายกลับกลิ้งเกลือกกับขวดเหล้าระหว่างคนทั้งสองต่อสู้กัน
หลิวฉินซินรู้สึกแปลกประหลาด ระมัดระวังตัว ทว่ากลับพบว่าสติของแมวตัวน้อยเลอะเลือน อาจเรียกได้ว่า ‘เมาหัวทิ่ม’ ไม่มีความคิดจะโจมตี
นอกจากนั้น จากสีหน้าลนลานของจ้าวเฟิงอาจกล่าวได้ว่าผู้เป็นนายนั้นไม่อาจควบคุมมันได้ในยามนี้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บนลานประลอง คนทั้งสองปรับตัวกับการปรากฏตัวขึ้นของแมวขโมยตัวน้อย เข้าประลองกันต่อไม่ให้ความใส่ใจแมวตัวน้อยที่อยู่บนลานประลอง
นอกจากนั้น ขนาดตัวของแมวขโมยตัวน้อยนั้นยังเล็กเกินไป มีขนาดเพียงหนึ่งฝ่ามือ ทำให้มองข้ามได้ง่ายนัก
ทว่าผู้คนที่อยู่ด้านล่างลานประลองได้ให้ความสนใจกับสิ่งมีชีวิตตัวเล็ก โดยเฉพาะเหล่าสตรีที่ให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
“เป็นนแมวที่น่ารักยิ่ง”
“แมวนี่ ลึกลับนัก”
เหล่าดรุณีดวงตาส่องประกายราวดารา ความสนใจถูกดึงดูดไปโดยแมวขโมยตัวน้อยอย่างสิ้นเชิง
แมวขโมยตัวน้อยนั้นเมามาย ท่าทีค่อนข้างงุ่มง่าม ทว่ากลับมีความคล่องแคล่ว ไม่ได้รับอันตรายใดๆ จากการโจมตีของคนทั้งสอง
มันอาจจะไม่รู้ตัวว่าตัวเองตอนนี้มีคนชื่นชอบมันอย่างมากแล้วกลุ่มหนึ่ง
บนที่นั่งผู้ชม เจ้าเมืองหงหูมองไปยังแมวขโมยตัวน้อยเป็นเวลานาน คิ้วมุ่นเข้าหากันเล็กๆ
เจ้าเมืองหงหูกวาดตามองครั้งหนึ่งสามารถมองเห็นพรสวรรค์และสายเลือดของจ้าวเฟิงได้ ทว่าบัดนี้ไม่อาจมองความสามารถของสิ่งมีชีวิตตัวจ้อยออก
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่ามันมิใช่สิ่งมีชีวิตจากโลกนี้? ชัดเจนว่ามันเพิ่งเกิด ทว่ากลับสามารถทำความเข้าใจหมัดเมาได้อย่างถ่องแท้ แมวที่เมามายเช่นนั้นหรือ? หึหึ”
บนใบหน้าของเจ้าเมืองหงหูปรากฏความสนใจขึ้น
ความสามารถของแมวขโมยตัวน้อยได้ทำให้เขามองประเมินจ้าวเฟิงสูงขึ้นอีกครั้ง
ต่อให้แมวตัวนี้เก่งเท่าใด มันก็คือสัตว์เลี้ยงของจ้าวเฟิง
ด้วยความรวดเร็ว
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ปราณแท้ในร่างของเด็กหนุ่มตระกูลจ้าวถูกใช้ไปจนหมดสิ้น
ความจริงแล้ว เป็นตัวเขาเองที่จงใจไม่กักเก็บพลังเอาไว้และใช้ออกอย่างเสียเปล่า
ในขณะที่ฝั่งหลิวฉินซินนั้นยังคงอยู่สภาวะพร้อม จะอย่างไรนางก็มีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง พื้นฐานมั่นคง แม้ว่าจะประลองต่อไปอีกครั้งวันย่อมไม่มีปัญหา
“อืม หากเป็นเช่นนี้ ข้าสามารถแพ้ได้อย่างสมศักดิ์ศรี”
จ้าวเฟิงคำนวณอยู่ในใจ
การประลองนี้เขาไม่ต้องการชนะ และไม่มีโอกาสที่จะชนะมากนัก
ในยามนี้ ดวงตาของเด็กหนุ่มส่องประกายระริก มองไปยังผ้าคลุมหน้าของอีกฝ่ายเล็กๆ
“สตรีผู้นี้ ชมชอบการท่องเที่ยวทั้งยังลึกลับ ในมือมีหวีที่คล้ายคลึงกับของผู้อาวุโสหนึ่ง แม้ว่าอายุจะไม่ใกล้เคียง…”
คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากันเล็กๆ
หลิวฉินซินผู้นี้และผู้ที่เขาต้องการตามหานั้นใช่คนเดียวกันหรือไม่?
“หากสามารถเห็นหน้าของคนผู้นี้ได้อย่างชัดเจนย่อมนับว่าดี”
จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่ในใจ รู้ว่ามันดูไม่เหมือนว่าเขาจะได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่าย
ในยามนี้จ้าวเฟิงได้เสียเปรียบอย่างมาก ปราณแท้หลงเหลือเพียงน้อยนิด
เขามองกลับไปที่หลิวฉินซิน อีกฝ่ายยิ่งต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่ง
เด็กหนุ่มอ้อมไปทางใต้ลม
ในสถานการณ์ปกติ พลังฝึกตนของหลิวฉินซินได้ถูกจำกัดไว้ในนภาที่เจ็ด จ้าวเฟิงนั้นในครึ่งชั่วยามแรกมีโอกาสที่จะชนะในระดับหนึ่ง
ทว่าเขาใช้ปราณแท้จำนวนมาก ไม่ต้องการที่จะชนะ ดังนั้นจึงไม่อาจทานทนได้นานนัก
เด็กหนุ่มกวาดตามองไปยังผู้ชมอย่างรวดเร็วครั้งหนึ่ง พลันค้นพบแมวขโมยตัวน้อย
แมวขโมยตัวน้อยยังคงอยู่ในสภาวะเมามาย ดวงตาสีดำสนิทสุกใสราวอัญมณี ปรากฏความพึงพอใจเล็กๆ
“ดียิ่งที่แมวขโมยตัวน้อยตอนนี้สงบลงมากแล้ว”
เด็กหนุ่มยินดีอยู่ในใจ
หากแมวขโมยตัวน้อยมีสติแล้ว หากใช้การสื่อสารระหว่างพวกเขา เขาก็ย่อมสามารถสั่งมันได้แล้ว
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยเข้าใจความต้องการของผู้เป็นนาย ก้าวเดินอย่างเมามายตรงไปยังตำแหน่งของหลิวฉินซิน
หลิวฉินซินได้เปรียบจ้าวเฟิงอยู่ บัดนี้คุ้นเคยกับการคงอยู่ของแมวขโมยตัวน้อยจึงได้มองเมินมันไปจนหมดสิ้น
เมื่อแมวขโมยตัวน้อยได้เข้าไปใกล้นางในระยะห้าหกหลา หลิวฉินซินก็ระมัดระวังตัวขึ้นอย่างกะทันหัน
แมวขจโมยตัวน้อยในยามนี้ ความรู้สึกมึนเมาได้จางหายไปแล้วเสียเป็นส่วนมาก กลับมุ่งตรงมายังตำแหน่งของนาง
พรึ่บ
ทันใดนั้นร่างของสิ่งมีชีวิตตัวเล็กก็พุ่งวูบ หายไปจากสายตาของผู้คน
คนที่อยู่ด้านล่างลานประลองพลันปรากฏเสียงฮือฮา ส่วนมากเป็นเสียงกรีดร้องของเด็กสาวทั้งหลาย
ฟุ่บ ฟุ่บ ฟุ่บ
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มบาง กระตุ้นพลังสายเลือดและใช้คันศรหลัวซุย
ในขณะเดียวกัน นางแอ่นมรกตบินอยู่ใจกลางอากาศ เริ่มตอบโต้อย่างรุนแรง
ลอบโจมตี?
ดวงตาของหลิวฉินซินราบเรียบราวกับบ่อน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ด้านหนึ่งรับมือกับการโจมตีของคู่ต่อสู้ อีกด้านหนึ่งขยายประสาทสัมผัสของนางออกไปรอบกายในระยะสิบหลา
นางอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง ทว่ามีประสาทสัมผัสจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง แทบจะไม่ด้อยไปกว่าผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง วิชาลวงตาล้วนไม่อาจได้ผลกับนาง
ทว่าในไม่กี่วินาทีต่อมา เด็กสาวก็ชะงักงัน
ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของนางไม่อาจค้นพบร่องรอยของแมวขโมยตัวน้อยได้
เมี้ยว เมี้ยว
ในหูปรากฏเสียงดังก้องขึ้น
หลิวฉินซินรู้สึกว่าบนไหล่ได้มีแมวสีเทาขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏอยู่
อันใดกัน
ไม่เพียงหลิวฉินซิน เจ้าเมืองหงหูที่อยู่ที่ที่นั่งผู้ชม รวมทั้งผู้มากฝีมือที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสีหน้าแปรเปลี่ยนไปในทันใด
ในยามนี้ หลิวฉินซินแทบจะสิ้นสติ
แมวขโมยตัวน้อยแสยะเขี้ยวยิงฟันของมัน ทว่าที่น่าตลกไปกว่านั้นคือมันได้ดึงผ้าคลุมหน้าของนางออก
พรึบ
เมื่อผ้าคลุมหน้านั้นหล่นลงก็ได้เปิดเผยใบหน้างดงามออกมา จมูกเป็นสัน ดวงตาใสกระจ่างราวบ่อน้ำในฤดูใบไม้ผลิ ริมฝีปากสีแดงและฟันสีขาว รูปหน้างดงามขาวผ่องตามธรรมชาติ งดงามราวกับภาพวาด
ในยามนี้ เสียงที่ดังขึ้นจากด้านล่างลานประลองได้เงียบงันลง
เหล่าผู้ชมดวงตาแดงก่ำ ตกลงสู่ความตะลึงงัน
ความงามที่สั่นสะท้านดวงวิญญาณนี้ได้ทำให้จ้าวเฟิงเผลอเหม่อลอยไปเล็กน้อย ทว่ากลับทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กๆ
หลิวฉินซินผู้นี้เด็กกว่าที่คาดมากนัก อาจเทียบเคียงได้กับจ้าวหยูเฟย กระทั่งอาจเด็กกว่า
ในยามนี้ ใบหน้าของเด็กสาวได้ปรากฏความตื่นตะลึงขึ้น คราหนึ่งปรากฏความอับอายใบหน้างดงามราวหยกปรากฏสีแดงซ่าน
ใบหน้าของนางได้บ่งบอกว่าอายุของนางไม่มากนัก
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด จ้าวเฟิงรับรู้ได้ถึงความโกรธแค้นและเกลียดชังจากอีกฝ่าย สายตาที่มองมาซับซ้อนนัก
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยรับรู้ได้ถึงสังหรณ์เลวร้าย “พรึบ” ร่างของมันหายไปจากร่างของหลิวฉินซิน
บนร่างของเด็กสาวปรากฏกลิ่นอายขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงปะทุออกมา เรือนผมงดงามเต้นไหวไปกับสายลม
จ้าวเฟิงหายใจกระตุก ในยามนี้ปราณแท้ของเขาหมดลงแล้ว หากอีกฝ่ายไม่ล้มเลิกความคิดที่จะโจมตีกลับ บางทีตัวเขาอาจยากที่จะหลบหนี
อารมณ์ของหลิวฉินซินค่อนข้างไม่มั่นคง ใบหน้าปรากฏความรู้สึกซับซ้อน “เจ้า… เจ้านำผ้าปิดหน้าของข้าออก”
อา…
จ้าวเฟิงนิ่งอึ้งไปเล็กๆ
ทว่ามันเป็นเรื่องดีเมื่อหลิวฉินซินควบคุมอารมณ์ได้อย่างมั่นคง
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยตัวน้อยกลับไปยังไหล่ของจ้าวเฟิง ปรากฏความรู้สึกสับสนขึ้นเล็กน้อย ในมือปรากฏเหรียญทองแดงโบราณก่อนจะโยนมันขึ้นให้หมุนคว้างกลางอากาศ
ติง…
เหรียญทองแดงเก่าแก่ได้ตกลงสู่อุ้งเท้าของมัน ใบหน้าย่ำแย่ลง รีบหนีกลับไปหลบซ่อนในกระเป๋าสัตว์วิเศษ
บนลานประลองเหลือเพียงจ้าวเฟิงที่เผชิญหน้ากับหลิวฉินซินที่ใบหน้าแดงซ่านด้วยความโกรธเคือง
“ไอ้แมวขโมยนี่”
จ้าวเฟิงกัดฟันกรอดอย่างช่วยไม่ได้ สัตว์เลี้ยงตัวนี้เมื่อเหตุการณ์ย่ำแย่ก็มักจะหลบหนีไปก่อนเสมอ
ในยามนี้ หลิวฉินซินนั้นให้ความรู้สึกไม่เป็นมิตร
“ได้เห็นใบหน้างดงามของคุณหนูหลิวแล้ว การเดินทางของจ้าวผู้นี้นับว่าไม่สูญเปล่า ชีวิตนี้ไม่เสียใจ ทว่าข้ารู้สึกละอายนัก ทั้งไร้ซึ่งคุณธรรมและความสามารถ ไม่อาจนับเป็นคู่ต่อสู้กับคุณหนูหลิวได้”
จ้าวเฟิงประสานมืออย่างเร่งรีบพร้อมเอ่ยยอมแพ้
ประลองจนถึงยามนี้ ไม่ยากที่จะเห็นว่าจ้าวเฟิงนั้นไม่อาจเอาชนะหลิวฉินซินได้
จ้าวเฟิงพ่ายแพ้ครานี้ ทว่าได้นำผ้าปิดหน้าของบุตรสาวเจ้าเมืองออก มันอาจกล่าวได้ว่าเป็นการพ่ายแพ้ที่งดงาม
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอกล่าวลา”
จ้าวเฟิงแย้มยิ้มอย่างเอียงอาย ปรากฏเสียงสายฟ้าคำรามขึ้น ร่างกลายเป็นเพียงเงามืดหม่นหายไปจากลานประลอง
ผู้คนด้านล่างลานประลองแย้มยิ้ม จับจ้องไปยังจ้าวเฟิงด้วยสายตามีความหมาย แต่ก็ไม่ได้รั้งเขาไว้
“ท่านพ่อ…”
หลิวฉินซินทั้งอับอายโกรธเคือง อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก มองไปยังเจ้าเมืองหงหู
“ใครก็ได้ ไปหยุดเขาให้ข้าที”
เจ้าเมืองหงหูตะโกนออกมาอย่างน่าตกใจ เสียงดังราวฟ้าผ่า
ร่างที่วิ่งหนีไปของจ้าวเฟิงสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แทบกระอักโลหิต
พลังในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงปรากฏขึ้นจากนภา กดทับลงบนร่าง ทำให้ปราณแท้ทั่วทั้งร่างของเขาแทบจะแหลกสลาย
ฟุ่บ ฟุ่บ
บนที่นั่งผู้ชม ร่างของผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนเร่งรีบมองหาตำแหน่งของจ้าวเฟิงเพื่อสกัดเขาไว้
จ้าวเฟิงค่อนข้างเยือกเย็น รู้ว่าแม้จะขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์ เร่งรีบตะโกนขึ้น “ข้าไม่อาจเอาชนะคุณหนูหลิวได้ ชัดเจนว่าพ่ายแพ้ในงานคัดเลือกคู่ครอง เหตุใดท่านเจ้าเมืองจึงทำเช่นนี้?”
ผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงสองคนพาจ้าวเฟิงไปยังเบื้องหน้าเจ้าเมืองหงหู
“หึหึ บุตรเขยผู้เที่ยงธรรมไม่ต้องตกใจ เจ้าได้นำผ้าปิดหน้าของฉินซินลงแล้ว ย่อมกลายเป็นว่าที่ลูกเขยของตระกูลหลิว”
เจ้าเมืองหงหูเผยยิ้มสบายอารมณ์ โบกมือให้คนทั้งสองปล่อยร่างของเด็กหนุ่ม
ว่าที่ลูกเขย?
จ้าวเฟิงงุนงงอย่างมาก นี่มันเหตุการณ์อันใดกัน?
ในยามนี้ หลิวฉินซินสวมใส่ผ้าคลุมหน้า พลิ้วกายลงเบื้องหน้าร่างของเจ้าเมืองหงหู ดวงตากระจ่างใสปรากฏความไม่ยินยอม อับอาย และหดหู่ จ้องมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างขมขื่น
“โปรดท่านเจ้าเมืองชี้แจง”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก
ตั้งแต่พบเจอกัน เจ้าเมืองหงหูผู้นี้ได้วางแผนไว้แล้ว ก่อนหน้าได้เอ่ยบังคับให้เขาเข้าร่วมงานประลองเลือกคู่ จากนั้นก็บอกให้หลิวฉินซินกดพลังลงในนภาที่เจ็ด บัดนี้มอบคำเรียกขาน ‘ว่าที่ลูกเขย’ ให้กับตัวเขา
“อาจารย์ของฉินซินก่อนที่จะสิ้นชีพไปนั้นเคยได้เอ่ยว่าบุรุษที่สามารถปลดผ้าปิดหน้าของนางได้จะเป็นคู่ของนางในอนาคต”
ใบหน้าของเจ้าเมืองหงหูเต็มไปด้วยความยินดี
เพียงมองไปยังจ้าวเฟิงเขาก็รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่ง จากนั้นความสามารถของอีกฝ่ายก็ได้ทำให้ตัวเขารู้สึกประหลาดใจและยินดีอย่างรวดเร็ว
ทว่าบัดนี้อีกฝ่ายได้เป็นคนที่สามารถปลดผ้าคลุมหน้าของหลิวฉินซินได้อย่างคาดไม่ถึง นับว่าเป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว
“มันไม่ใช่เช่นนั้น… ผู้ที่ปลดผ้าคลุมหน้าของนางมิใช่ข้า… แต่เป็นแมวนั่น”
จ้าวเฟิงเอ่ยปฏิเสธอย่างโกรธเกรี้ยว