บทที่ 262 :ตำนานดวงตาเทพเจ้า
หลังจากคุยเรื่องการหมั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว จ้าวเฟิงและหลิวฉินซินก็ได้เดินออกมาจากห้องโถงพร้อมกัน
ระหว่างทาง
จ้าวเฟิงสีหน้าไร้อารมณ์ ทำเพียงเดินตามหลิวฉินซินไปติดๆ ราวกับหนุ่มสาวที่เป็นคู่สามีภรรยาจริงๆ
เบื้องหน้า กำลังจะถึงด้านในตำหนัก
หลิวฉินซินยืดตัวเชิดหน้าอย่างเย่อหยิ่ง มองมองไปยังเด็กหนุ่มก่อนเอ่ยว่า “เจ้าเดินตามข้ามาทำไม?”
สีหน้าของนางเย็นชา ความประทับใจในตัวอีกฝ่ายติดลบ
จากการคุยงานหมั้นเมื่อครู่นี้ จ้าวเฟิงได้ “รีบร้อน” เดินตามนางออกมา
“มาคุยกันก่อน”
สีหน้าจ้าวเฟิงปรากฏความเป็นมิตร พบว่าแม้ตัวเองอยู่ในตำหนักนี้มาหลายวัน ทว่ากลับไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับว่าที่ภรรยาของตนเองเลยแม้แต่ครั้ง
คุยกัน?
หลิวฉินซินเข้าใจเจตนาของจ้าวเฟิงผิดไป คิดทอดถอนอยู่ในใจ: อย่าได้คิดว่าหมั้นกันแล้วเจ้าจะทำอันใดได้ตามอำเภอใจ
“เราสองคนเพียงหมั้นกันเท่านั้น โปรดให้เกียรติตัวข้าด้วย”
สีหน้าหลิวฉินซินเย็นชา ไร้ซึ่งความใส่ใจ ผ้าปิดหน้าสีขาวบางปิดบังใบหน้าไม่ยินดีของนางเอาไว้
ฝ่ายจ้าวเฟิงเองก็หมดความอดทน เร่งร้อนเอ่ยคำว่า “เท่านั้น” ลงไปในคำพูด
“เพียงคุยกัน… เท่านั้น”
ภายใต้ผ้าปิดหน้าหลิวฉินซิน ปรากฏสีแดงระเรื่อ
สีหน้าของอีกฝ่ายมีเพียงความเรียบนิ่ง สายตาไร้ซึ่งความคิดเลวร้ายใดๆ กระทั่งรู้สึกได้ถึงการให้เกียรติ
บัเดนี้จึงคิดได้ว่า อีกฝ่ายคงเพียงอยากจะพูดคุยจริงๆ
“เชิญ”
หลิวฉินซินท่าทีเย็นชา เด็กสาวพาจ้าวเฟิงไปพูดคุยกันที่ศาลาด้านหน้าตำหนัก ชัดเจนว่าตัวนางเองก็ไม่ได้อยากเชิญว่าที่สามีเข้าไปคุยในตำหนัก
ในแคว้นนภาแห่งนี้ ประเพณีที่นี่ไม่ได้เคร่งครัดมากนัก หลังจากบุรุษสตรีหมั้นกันแล้ว สามารถไปมาหาสู่กันได้โดยไม่ผิดธรรมเนียมใดๆ
จ้าวเฟิงเองก็ไม่ได้ถือสาอันใด นั่งลงคุยกับหลิวฉินซินโดยมีเด็กรับใช้นำน้ำชามาให้อยู่ข้างๆ
หลิวฉินซินไม่เอ่ยสิ่งใด แสดงตนราวกับเป็นสตรีสูงศักดิ์ ไม่ชายตามองอีกฝ่าย นางทำเพียงแค่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยพูดเท่านั้น
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
จ้าวเฟิงโบกมือให้เด็กรับใช้ทั้งสองออกไป ท่าทางราวกับว่าที่บุตรเขยของเมืองแห่งนี้
หลิวฉินซินไม่ได้รู้สึกโกรธเคือง ในทางกลับกัน นางได้แย้มยิ้มออกมา นางอยากจะรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ต้องการจะพูดคุยสิ่งใดกันนาง
นางคิดว่าอีกฝ่ายพยายามทำตัวให้เท่าเทียมกับนางเพียงเพื่อที่จะเอาใจนางเท่านั้น
แต่สิ่งที่แย่ก็คือ นางจะต้องแต่งงานกับคนผู้นี้จริงๆ หรือ?
ทว่าคำพูดต่อมาของจ้าวเฟิงได้ทำให้ความคิดของนางทั้งหมดเปลี่ยนไป
“คราที่แล้ว บนลานประลอง ข้าเห็นเจ้ามีหวีหยกอยู่ในมือ บังเอิญนักที่ข้าเองก็มีหวีหยกครึ่งหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับมัน”
เมื่อเอ่ยจบ เด็กหนุ่มจึงได้หยิบหวีหยกครึ่งหนึ่งนั้นออกมาวางบนโต๊ะ
หลิวฉินซินอุทานออกมาพร้อมกับหยิบหวีหยกครึ่งนั้นขึ้นมาสังเกตอย่างละเอียด นางกระทั่งใช้วิชาเฉพาะเพื่อหาพลังที่แท้จริงของมัน
ทันใดนั้น หวีหยกครึ่งนั้นบนพื้นผิวพลันปรากฏคำที่ไม่ชัดเจนขึ้นว่า “หลิว”
“ใช่แล้ว นี่คือมรดกที่สืบทอดมาจากตระกูลหลิว เจ้ามีสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน”
หลิวฉินซินวางหวีหยกลง
จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นสีหน้าก็ปรากฏความยินดี “นี่คือสิ่งที่อาจารย์ของข้าได้ให้ข้าไว้ ขอให้ท่านฉินซินช่วยชี้แนะด้วยเถิดว่า หวีหยกนี้เป็นของตระกูลหลิวสาขาใด?”
หลิวฉินซินประหลาดใจเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นสีหน้าจ้าวเฟิงปรากฏความยินดีและความหวังขึ้น
หากเทียบกับเรื่องการหมั้นแล้วเด็กหนุ่มไม่ได้แสดงสีหน้าและอารมณ์ออกมาเช่นนี้
หลิวฉินซินพบว่า ตัวนางมองเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ออก ราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องแต่งงาน ไม่ได้สนใจว่าที่ภรรยาของตนเอง อาจพูดได้ว่าไม่ให้ความสำคัญเลยก็ว่าได้
“สิ่งนี้เป็นสิ่งของที่สืบทอดเฉพาะในตระกูลหลิว มีเพียงแค่ตระกูลหลักและอีกเจ็ดย่อยเท่านั้นที่มี หากแต่ว่าเป็นของสาขาใด จำต้องไปที่ห้องโถงด้านในตระกูลเพื่อตรวจสอบ”
หลิวฉินซินบอกคำตอบด้วยดวงตาที่ส่องประกายงดงาม
“แสดงว่าหวีหยกอันนี้ ก็ไม่ใช่ตระกูลหลิวแห่งหงหูของเจ้าใช่หรือไม่?”
จ้าวเฟิงถาม
“ใช่แล้ว” หลิวฉินซินพูดพร้อมกับก้มหยิบชาขึ้นมาดื่ม
เฮ้อ
จ้าวเฟิงรู้สึกผิดหวัง แสดงว่าหลิวฉินซินกับคนที่เขาต้องการตามหา ไม่ใช่คนในตระกูลเดียวกัน
ทว่าจากคำตอบของนางก็ได้ทำให้เบาะแสของเขาแคบลง
เจ้าของจดหมายคือคนที่มาจากตระกูลหลิวที่เป็นตระกูลหลัก หรือไม่ก็ตระกูลของเจ็ดย่อย
ยามนี้ สามารตัดตระกูลหลิวแห่งหงหูออกไปได้เป็นอันดับแรก
ในสมองของจ้าวเฟิงได้ปรากฏรายชื่อขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อตัดออกไปแล้ว คนที่เข้าเงื่อนไขมากที่สุดมีอยู่สองคนคือพระชายาฉินและฉินเซียนจึ
พระชายาฉินอาศัยอยู่ในพระราชวัง ปัจจุบันเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้
ฉินเซียนจึอยู่ในสำนักดาบฉิน ปัจจุบันเป็นผู้อาวุโสใหญ่ในสำนัก
ไม่ว่าจะเป็นพระชายาฉินหรือฉินเซียนจึล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่สามารถพบเจอได้ยากยิ่ง
“ขอบคุณแม่นางฉินซินที่ให้คำชี้แนะ ถ้าหากสามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าหวีหยกอันนี้เป็นของตระกูลฝ่ายใดได้ จ้าวเฟิงผู้นี้จะรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก”
จ้าวเฟิงลุกขึ้นพร้อมกับเอ่ยลา
หลิวฉินซินนั่งอยู่ที่เดิม ตัวแข็งค้างเล็กๆ
นางสัมผัสได้ว่าจ้าวเฟิงรู้สึกผิดหวัง อีกฝ่ายไม่ได้สนใจในตัวของนางแม้แต่น้อย
“หรือว่าเขามาหาข้า….เพียงเพราะเรื่องนี้เท่านั้น”
หลิวฉินซินตกใจเล็กน้อย รู้สึกถึงความผิดหวัง
ตอนแรกนางคิดว่าอีกฝ่ายจงใจทำตัวลึกลับและตั้งใจจะเล่นหมากกระดานนี้กับนาง
ทว่าหลังจากนั้น เด็กหนุ่มได้ขังตนเองอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกมาพบเจอนางแม้แต่ครั้ง
จ้าวเฟิงไม่ได้คิดเล่นกับอีกฝ่ายแต่อย่างใด เขากระทั่งคิดที่จะหนีการแต่งงานทั้งยังวางแผนเตรียมการไว้แล้ว
ขั้นที่หนึ่ง ซ่อม ‘ผ้าคลุมเงาหยิน’
ขั้นที่สอง เพิ่มพลังฝึกตนและปราณแท้
สิ่งที่เขาต้องการใช้ในการซ่อมผ้าคลุมเงาหยินนั้น เด็กหนุ่มได้เตรียมไว้เกือบครบแล้ว ขาดเพียงแต่สิ่งหายากบางอย่าง
“หากสามารถเพิ่มพลังฝึกตนได้ ข้าก็จะสามารถใช้พลังของผ้าคลุมเงาหยินได้มากขึ้น โอกาสหนีได้ย่อมสูงขึ้น”
จ้าวเฟิงคิดอยู่ในใจ
เรื่องนี้ทางที่ดีมิอาจให้เจ้าเมืองหงหูระแคะระคายได้
ทว่าการซ่อมผ้าคลุมเงาหยินนั้นต้องการการช่วยเหลือของนายช่างใหญ่เข้ามาช่วย
จ้าวเฟิงสอบถามจนได้ความว่า ในเมืองหงหูนี้มีนายช่างสองคนที่มีตำแหน่งสูง
ทั้งหนึ่งในนั้นยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลหลิวอีกด้วย
ทว่าอีกคนหนึ่งได้ยินมาว่าแม้ความสามารถสูงส่งเช่นกัน แต่กลับมีนิสัยโมโหร้าย ไม่ค่อยสนใจผู้อื่น ความสัมพันธ์กับตระกูลหลิวแม้ไม่เลวร้าย บางครั้งก็ยังมีความขัดแย้งกันอยู่บ้าง
“อืม ข้าต้องไปหานายช่างนิสัยโมโหร้ายนั่น เขามีฝีมือสูง และที่สำคัญความสัมพันธ์กับตระกูลหลิวก็ไม่นับว่าดีเท่าใด”
จ้าวเฟิงกำหนดเป้าหมายเรียบร้อยแล้ว
นายช่างผู้นี้นามว่า “นายช่างเถี่ยกาน” มีพลังฝึกตนสูง ในแคว้นนภาแห่งนี้นับเป็นหนึ่งในสิบ กระทั่งตะกูลหงหูก็ไม่อยากสร้างความขุ่นข้องกับอีกฝ่าย
ทว่าการที่จะทำให้ “นายช่างเถี่ยกาน” ยื่นมือเข้าช่วยเหลือก็นับว่ายากเย็นเช่นกัน
เด็กหนุ่มเองก็ต้องเตรียมพร้อมเอาไว้
ก่อนอื่นเขาต้องรู้ก่อนว่า “นายช่างเถี่ยกาน” ผู้นี้ชมชอบสิ่งใด หากรู้ย่อมเข้าหาอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
ทว่าหากไม่สามารถทำได้ จ้าวเฟิงเองก็ยากที่จะลงมือเช่นกัน
หลังการหมั้นผ่านพ้นไปสองเดือน จ้าวเฟิงได้มุ้งเน้นฝึก ‘มรดกอัสนี’ เคล็ดวิชาพลังจิต รวมทั้งการควบคุมสัตว์
เจ้าเมืองหงหูให้ความสำคัญแก่เด็กหนุ่มนัก เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงฝึกหนักจึงได้มอบยาและของบำรุงให้จำนวนมาก
เดือนที่สามในอาณาจักรนภาแห่งนี้ พลังฝึกตนของจ้าวเฟิงได้เข้าสู่ขั้นสุดยอดของนภาที่หก
การที่พลังฝึกตนได้เพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น ทางหนึ่งเป็นเพราะสิ่งของจำนวนมากที่เจ้าเมืองหงหูได้มอบให้ และในอีกทางหนึ่งนั้นก็เป็นเพราะครั้งหนึ่งเด็กหนุ่มได้อยู่ในนภาที่เจ็ด ทว่าพลังฝึกตนได้ลดลงจนอยู่ในนภาที่หก
“ยังเหลือเวลาอีกสามเดือน ข้ามั่นใจอย่างมากว่าจะสามารถกลับไปอยู่ในนภาที่เจ็ดได้ ชั้นแรกของมรดกอัสนีเองก็ได้เข้าใจอย่างสมบูรณ์แบบแล้วเช่นกัน”
จ้าวเฟิงดีใจอย่างมากอยู่ภายในใจ
เมื่อมีเวลาว่าง เจ้าเมืองหงหูกระทั่งมาช่วยชี้แนะให้เด็กหนุ่ม
แน่นอนว่า
ในฐานะนักฝึกสัตว์ จ้าวเฟิงก็มักจะแบ่งเวลาไปฝึกสัตว์วิเศษดุร้ายในตำหนักของเจ้าเมืองเช่นกัน
ในครั้งนี้ จ้าวเฟิงได้ค้นพบพิเศษสำหรับเหล่านักฝึกสัตวอย่างหนึ่ง นั่นคือ “วิชาสื่อวิญญาณ” วิชาดังกล่าวสามารถใช้พูดคุยสื่อสารกับสัตว์ปีศาจได้ ทั้งยังสามารถเข้าใจ “ภาษา” ของพวกมันได้ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด
ความจริงแล้ว “วิชาสื่อวิญญาณ” นี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชาพลังจิต
ดังนั้นแล้ว ตราบเท่าที่มีความสามารถในการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ปีศาจชนิดใดที่มีสติปัญญา ส่วนมากย่อมสามารถสื่อสารได้
ในตำหนักเจ้าเมืองนั้นมีสัตว์วิเศษหลายตัวที่มีพลังอยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง นักฝึกสัตว์ทั่วไปย่อมไม่อาจทำให้พวกมันเชื่อได้อย่างง่ายดาย
ทว่า
เมื่อจ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยตัวน้อยปรากฏตัวขึ้นก็สามารถจัดการทุกสิ่งได้อย่างราบรื่นทุกครั้ง ทั้งยังเข้าใจอาการของพวกมันและจัดการได้อย่างตรงจุด
แมวขโมยตัวน้อยแม้ว่าไม่ได้เรียนรู้วิชาสื่อวิญญาณแต่ก็สามารถพูดคุยกับสัตว์วิเศษเหล่านี้ได้อย่างอิสระ
วิธีการล่อลวงบีบบังคับมากมาย ไม่มีวิธีใดที่แมวขโมยตัวน้อย กระทั่งสัตว์ปีศาจที่ดุร้าย มันและจ้าวเฟิงก็สามารถจัดการได้ แก้ไขสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง
ความสามารถของเด็กหนุ่มทำให้เจ้าเมืองหงหูพอใจเป็นอย่างมาก
ที่สำคัญคือ จ้าวเฟิงปฏิบัติตัวอย่างดี ไม่ออกนอกลู่นอกทาง กระทั่งมือของว่าที่ภรรยาก็ยังไม่แตะต้อง
“ฉินซิน เจ้าอย่าเย็นชากับเขามากนัก”
เจ้าเมืองหงหูเกลี้ยกล่อมบุตรสาวของตนหลายครั้ง
หลิวฉินซินลึกๆ ปรากฏความขมขื่น ไร้ซึ่งคำพูดใด นางเย็นชากับจ้าวเฟิง ทว่าอีกฝ่ายแทบจะไม่เห็นตัวตนของคู่หมั้นผู้นี้อยู่ในสายตา
“ท่านพ่อ ข้าะต้องแต่งงานกับคนตาเดียวผู้นี้จริงๆ หรือ?”
หลิวฉินซินรู้สึกหงุดหงิดและหดหู่ใจ
ดวงตาของของเจ้าเมืองหงหูส่องประกายระริก แย้มยิ้ม “เจ้าคิดว่าเขามีแค่ตาเดียวเท่านั้นหรือ? สายตาของพ่อเลวร้ายเพียงนั้น?”
“หรือว่า…”
หลิวฉินซินคิดว่าดวงตาข้างซ้ายของจ้าวเฟิงที่ปิดไว้บ่อมต้องมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
เพราะว่าจ้าวเฟิงไม่เหมือนคนที่มีตาเดียวจริงๆ ท่าทีนั้นมีเพียงความสงบนิ่ง ไร้ซึ่งท่าทีโหดเหี้ยมร้ายกาจ
“เด็กหนุ่มผู้นี้มีพลังสายเลือดไม่ธรรมดา หากเดาไม่ผิดคงเป็นพลังสายเลือดแห่งดวงตาที่หาได้ยากยิ่งนัก ในตำราโบราณได้บรรทุกไว้ว่า หลังจากที่สงครามอันยาวนานได้สิ้นสุดลง ในจักรวาลได้กำเนิดดวงตาเทพเจ้าขึ้นแปดดวง ควบคุมโลกทั้งแปดทิศ”
ในดวงตาของเจ้าเมืองหงหูปรากฏความต้องการอันแรงกล้า
“ดวงตาเทพเจ้าทั้งแปด หรือว่าท่านพ่อคิดว่าเขาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น?”
หลิวฉินซินตื่นตะลึง
“เป็นไปไม่ได้”
เจ้าเมืองหงหูหัวเราะพร้อมสั่นศีรษะ “นี่ก็เป็นเพียงตำนาน มันเอ่ยไว้ว่าดวงตาเทพเจ้าทั้งแปดนั้นคือบรรพบุรุษของสายเลือดดวงตาของบรรพบุรุษรุ่นแรก ไม่ว่าในโลกใบนี้ที่มีพลังสายเลือดแห่งดวงตาก็จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งบางอย่างกับดวงตาเทพเจ้าทั้งแปดได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของดวงตาเทพเจ้าทั้งแปดก็ตาม ทว่ามันนับเป็นข้อดีที่ทำให้สายเลือดทั่วไปไม่อาจเทียบเท่าได้”
“ดวงตาเทพเจ้าทั้งแปดไม่เคยปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์ของทวีปมาก่อนเลยหรือเจ้าคะ?”
“ไม่เคย แต่เมื่อหมื่นปีก่อน มีคนผู้หนึ่งที่มีดวงตาวิเศษนี้ได้ครอบครอง ‘มรดกความลับสวรรค์’ นั่นคือประวัติศาสตร์ของทวีป เขามีชื่อเสียงอย่างมาก ถูกเรียกขานว่ากษัตริย์สามตา ในตำนานกล่าวว่าเขามีพลังอยู่ในขอบเขตปราณเทวะ เป็นมหาราชผู้หนึ่ง”
เจ้าเมืองหงหูแย้มยิ้มบาง
ขณะที่เขากำลังพูดกับหลิวฉินซินอยู่นั้น
“รายงานท่านเจ้าเมืองหงหู จ้าวเฟิงได้ไปยังชายแดนของเมืองหงหู ไม่ทราบว่าท่านต้องการให้ขัดขวางหรือไม่”
ร่างของเด็กหนุ่มราวภูตผี เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหาย
“ชายแดนของเมือง? หรือเป็นว่าเขาต้องการหนีออกจากเมืองหงหูเช่นนั้นหรือ?”
เจ้าเมืองหงหูเอ่ยขึ้น
“เป้าหมายของเขาอาจเป็นภูเขาเถี่ยกาน”
“ภูเขาเถี่ยกาน? หึหึ เขาอยากจะไปหานายช่างเถี่ยกานเช่นนั้นหรือ?”
เจ้าเมืองหงหูหัวเราะพร้อมรอยยิ้มบางเบา
“นายช่างเถี่ยกาน? เป็นตาเฒ่าอารมณ์ร้อนผู้นั้น? ก่อนหน้าเขาแทบจะไม่ไว้หน้าท่านพ่อ กระทั่งเกิดความผิดใจกัน จ้าวเฟิงไปหาเขา ไม่กลัวว่าจะถูกไล่ออกมาหรือ?”
หลิวฉินซินหัวเราะออกมาในทันใด