บทที่ 344 : ลานประลองชางกู่
การปรากฏขึ้นของ ‘เนตรแห่งสวรรค์’ นั้นราวเป็นเพียงภาพลวงตา สายตาของมันเพียงกวาดลงมอง ‘วาสนาอัจฉริยะมังกร’ ทั้งห้าคราหนึ่งเท่านั้น
วาสนาอัจฉริยะมังกรทั้งห้าสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แยกเขี้ยววาดกรงเล็บ แสดงท่าทีข่มขู่วุ่นวาย ชัดเจนว่าพวกมันไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่เหนือศีรษะพวกมันเลย
บางที ‘เนตรแห่งสวรรค์’ นั้นแม้จะเข้าใจทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ทว่าพลังยังด้อยกว่าวาสนาเซียนมังกรอยู่
“ท่านนักปราชญ์ ภาพนั่นมันคืออันใดกัน..”
นักบวชสตรีที่มีใบงดงามราวดวงจันทร์สีหน้าขาวซีด เอ่ยถามขึ้น
ผู้คนจำนวนมากที่อยู่เบื้องหลังนักบวชใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ควรจะรู้ว่าห้าวาสนาอัจฉริยะมังกรนั้นคือตัวแทนของห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ แต่ละคนล้วนครอบครองพลังที่เหนือกว่าผู้ใดอย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าอัจฉริยะทั่วไปหลายเท่าตัว
ทว่า เมื่อครู่นี้กลับปรากฏ ‘เนตรแห่งสวรรค์’ ที่มองลงมายังวาสนาอัจฉริยะมังกรจากที่สูงกว่า ท่าทีเหนือกว่าห้าวาสนาอัจฉริยะมังกรอยู่ไม่น้อย
“เมื่อสองปีก่อน มันได้ถือกำเนิดขึ้น”
ร่างในชุดสีเขียวเข้มของนักปราชญ์ยืนนิ่งอยู่ในหอคอยสูงเป็นเวลานาน เอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
นัยน์ตาของเขาส่องประกายลึกลับราบเรียบ
“อย่าได้บอกข้าว่าในทวีปได้ถือกำเนิดผู้ที่สามารถเอาชนะห้าวาสนาอัจฉริยะมังกรผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้แล้ว”
เหล่านักบวชสีหน้าตื่นตะลึง
หากสถานการณ์เป็นเช่นนั้นจริง ความสามารถของเจ้าของเนตรแห่งสวรรค์นั่นย่อมน่าหวาดกลัวยิ่งนักแล้ว
“ฮี่ฮี่ ภาพนั่นพวกเจ้าก็เห็น เนตรแห่งสวรรค์กับห้าวาสนาอัจฉริยะมังกรทั้งห้าบัดนี้ยังไม่มีความข้องเกี่ยวกัน สามารถเอ่ยได้ว่ายังอีกห่างไกลที่จะสามารถคุกคามห้าผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ได้ มีหรือจะเหนือกว่าได้?”
นักปราชญ์แย้มยิ้ม
“ภาพปรากฏการณ์นั่นหมายความว่าอันใดกัน?”
นักบวชสตรีที่รูปลักษณ์ราวกับแสงจันทรายามราตรีรู้สึกสงสัยขึ้นในใจอย่างช่วยไม่ได้
จนกระทั่งยามนี้ นางจึงได้รู้สึกตื่นตะลึงจนไร้คำพูดขึ้นอีกครั้ง
ใบหน้าของนักปราชญ์ปรากฏความเหนื่อยล้า ปิดเปลือกตาไม่เอ่ยคำใดอีก
แท่นดาวเหนือ
วาสนาอัจฉริยะมังกรอันยิ่งใหญ่ได้ท่องทะยานสู่ฟากฟ้า ทั่วทั้งแท่นดาวเหนือส่องแสงสว่างเจิดจ้า
ใต้ฝ่าเท้าของผู้คนปรากฏแสงร่องรอยค่ายกลลึกลับซับซ้อนขึ้น
ครืนนน เปรี้ยง
แสงที่ส่องสว่างครอบคลุมแท่นดาวเหนือสว่างขึ้นจนถึงขีดสุด ส่งเสียงระเบิดขึ้นคราหนึ่ง
แต่ก็แค่ชั่วพริบตาเดียว
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว——
ร่างหลายร่างบนแท่นดาวเหนือหายไปด้วยความเร็วที่เกินกว่าดวงตาจะสามารถมองเห็นได้ ทั่วทั้งพื้นที่ถูกครอบคลุมไปด้วยแสงสว่างเจิดจ้าสีขาว
จ้าวเฟิงเองก็ถูกครอบคลุมโดยแสงสีขาว จางหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากนั้นผ่านไปหนึ่งหรือสองลมหายใจ
ทั่วทั้งแท่นดาวเหนือก็ว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน กลับสู่ความเงียบสงบ
หลังจากที่รู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดอันไร้ทิศทาง เท้าของจ้าวเฟิงก็พุ่งลงไปยังพื้น
ฟึบฟึบฟึบ
ในเวลาเดียวกัน แสงสีขาวรอบๆ ก็ได้เผยร่างที่มาจากแท่นดาวเหนือออกมา
ตุบ
คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนล้วนตื่นตะลึง หล่นลงจากกลางอากาศ รู้สึกงุนงงสับสน
“สวรรค์ ที่นี่คือลานประลองชางกู่หรือ?”
น้ำเสียงตื่นตะลึงและเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นจากโดยรอบ
สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองไปรอบด้าน จิตใจสั่นสะท้าน
ที่นี่คือลานประลองโบราณที่ยิ่งใหญ่ อิฐหินทุกก้อนผ่านกาลเวลามายาวนาน ส่งกลิ่นอายเก่าแก่ ราวกับว่ามาจากในตำนาน
พื้นของลานประลองเป็นวัสดุสีเงินครามหายาก ไม่ใช่ทั้งโลหะและศิลา ดูธรรมดาสามัญ ทว่าความแข็งของมันนั้นสามารถเทียบเคียงได้กับอาวุธชั้นจิตวิญญาณทั่วไปได้
ทั่วทั้งลานประลองกว้างใหญ่กว่าหนึ่งร้อยลี้ ด้านบนเต็มไปด้วยชั้นเมฆที่ปิดป้องแสงอาทิตย์ ดูยิ่งใหญ่ตระการตา
ทั่วทั้งลานประลองเต็มไปด้วยงานฝีมือที่ยิ่งใหญ่จนไม่อาจเอ่ยคำอธิบายได้
รอบลานประลองเป็นยอดเขาสูงเสียดฟ้าตั้งตระหง่านอยู่
ขอบหน้าผาได้ปรากฏรูปปั้นศิลาขนาดยักษ์อยู่
รูปปั้นศิลาเหล่านั้นที่ตัวเล็กหน่อยก็สูงหลายสิบหลา ตัวที่ใหญ่หน่อยก็สูงนับร้อยหลา รูปปั้นศิลาที่สูงที่สุดสิบตัวไม่เพียงสูงหนึ่งร้อยหลา ทว่ามากถึงราวๆ หนึ่งพันหลา
รูปปั้นแต่ล่ะตัวนั้นราวกับมีชีวิต งดงามสูงสง่า มีทั้งรูปลักษณ์ของสัตว์อสูร มนุษย์ และเผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่แปลกประหลาด ราวกับมีพลังที่มาจากห้วงเวลาอันยาวนาน เมื่อเผชิญหน้าตรงๆ ในใจก็ปรากฏความหวาดกลัวขึ้นอย่างอธิบายไม่ได้
โดยเฉพาะ ‘รูปปั้นศิลาครองสวรรค์’ ทั้งสิบที่สูงที่สุด ยืนเคียงข้างกัน ร่างกายกำยำ มีสีหน้าหลากหลาย หากไม่ยินดีก็โศกเศร้า บ้างก็กราดเกรี้ยว บ้างก็ไม่ชัดเจนราวกับปรากฏม่านหมอกปิดบัง บ้างก็แย้มยิ้มชั่วร้ายออกมา ราวกับกำลังเอ่ยเล่าเรื่องราวที่ขาดหายของตำนาน
รูปปั้นศิลานับหมื่นนี้ได้สร้าง ‘ภูเขารูปปั้นศิลา’ อันกว้างใหญ่ล้อมรอบลานประลองชางกู่เอาไว้
เมื่อมองคราแรกราวกับรับรู้ได้ถึงพลังแห่งสรวงสวรรค์ที่ปรากฏออกมาจากท้องฟ้า ส่งผลต่อสายตาความนึกคิด
ราวกับว่ามีเทพปีศาจกำลังจับจ้องมองมาในทุกการกระทำการเคลื่อนไหวในลานประลองชางกู่นี้ด้วยท่าทีเงียบและเคร่งขรึม ให้ความรู้สึกถึงภารกิจของประวัติศาสตร์
“ด้วยกำลังคนในยามนี้ มันดูยากเกินกว่าที่จะสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ขึ้นได้”
ในใจของจ้าวเฟิงปรากฏความตื่นตะลึงขึ้น
โดยเฉพาะ ‘ภูเขารูปปั้นศิลา’ รอบนอกที่ล้อมรอบลานประลองที่แสนกว้างใหญ่ ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวในตำนาน
ทันใดนั้น ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงก็ได้เต้นตุบอย่างแปลกประหลาด รูปปั้นที่แสนยิ่งใหญ่เหล่านั้นได้ทำให้เขาเกิดความหลงใหลขึ้นอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับมีพลังลึกล้ำบางอย่างปะปน
เด็กหนุ่มสั่นศีรษะอย่างรุนแรง รูปปั้นเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่หลงเหลือไว้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวแน่ๆ
“ลานประลองชางกู่ ถือกำเนิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว ความเป็นมาของมันนั้น ในทวีป รวมทั้งสิบยอดสำนักและสำนักอื่นๆ ต่างก็ไม่อาจล่วงรู้ถึงความเป็นมาของมันได้”
บุรุษผมเลือดเถี่ยหมัวยืนอยู่ข้างจ้าวเฟิง
ไม่ช้า เจียงซานเฟิง เตี๋ยเย่ และตงเซว่ก็ได้มารวมตัว
ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่ถึงสิบลมหายใจ ลานประลองชางกู่ก็ปรากฏเงาร่างคนนับหมื่น
อัจฉริยะจากดินแดนที่หลากหลายได้เข้ามาในลานประลองชางกู่อันกว้างใหญ่ในเวลาเดียวกัน หลังจากได้สติขึ้นก็ได้รวมตัวกันกับคนของตน
ดินแดนกลาง ดินแดนตะวันออก ดินแดนตะวันตก ดินแดนใต้ และดินแดนเหนือ
เหล่าอัจฉริยะจากห้าดินแดนอันยิ่งใหญ่ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปยังลานประลองทั้งห้า
ครืน
บนลานประลองได้ปรากฏแท่นรูปวงรีโบราณสีทองลอยอยู่กลางอากาศ ดูคร่าวๆ แล้วมีเส้นผ่านศูนย์กลางราวๆ สิบยี่สิบฟุต
เมื่อเทียบกับลานประลองกันยิ่งใหญ่นี้ แท่นนั้นก็เป็นราวกับเมล็ดงา
ฟึบฟึบฟึบ
บนแท่นสีทองโบราณนั้นพลันปรากฏร่างจำนวนมากที่สวมชุดหลากหลายขึ้น
สิ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขาล้วนมีพลังไอสวรรค์อยู่บนร่าง ทุกการกระทำการเคลื่อนไหวส่องสว่างไปด้วยไอสวรรค์
“เป็นคนของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์”
“ทุกงานชุมนุมเซียนมังกร กรรมการจะมาจากสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์”
เสียงที่ดังอยู่เบื้องล่างพลันเงียบสงบลง
เพราะเหล่าผู้ที่อยู่บนแท่นสีทองนั้นมีพลังเหนือกว่าขั้นนายเหนือแท้ เข้าสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่ไม่อาจเอื้อมถึงได้
จ้าวเฟิงเห็นหนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มในชุดสีดำ ร่างกายกำยำแข็งแกร่ง ก่อนหน้าได้ปรากฏตัวขึ้นในโรงประมูลเชิงหลง สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คน ‘ผู้สูงศักดิ์ฉวนเจี่ยน’
จากนั้น
บนแท่นสีทองได้ปรากฏผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดขึ้นทั้งหมดเก้าคน ทำให้เหล่าอัจฉริยะด้านล่างรู้สึกหวั่นเกรงเคารพ
“ในอดีต สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์จะส่งผู้ฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมาอย่างมากเพียง 2-3 คนเพื่อเฝ้าดู ทว่ายามนี้แม้เพียงเพิ่งเริ่มต้นก็มากถึงเก้า”
“กระทั่งรองหัวหน้าสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ยังปรากฏตัว”
เหล่ายอดฝีมือของทุกดินแดนลอบพูดคุยกัน
รองหัวหน้าสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์นั่งอยู่ที่ตรงกลาง มีร่างกายสูงใหญ่ ผิวสีทองแดง ดวงตาทั้งสองส่องประกายสีทองส้ม เรือนผมราวกับเปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงสีม่วงดำ
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือดาบใหญ่ที่พาดเฉียงอยู่เบื้องหลัง ส่องประกายเย็นเยียบดุดัน ยาวราวสองหลา มีช่องว่างอยู่ตรงกลางใบดาบ ทว่าโดยรวมแล้วเป็นเพียงดาบที่แตกหักเล่มหนึ่ง
ร่างยักษ์ผิวสีทองแดงนั่งอยู่ที่ใจกลางแท่น ดูราวกับเหนือกว่าทั่วทั้งลานประลอง ผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอีกสองคนสีหน้าเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม ทุกคนต่างค้อมคำนับให้แก่รองหัวหน้าสหพันธ์ผู้นี้
“คารวะท่านผู้อาวุโสดาบทรราช”
‘ราชินีฉวนปิง’ แห่งวังฉวนปิงแสดงสีหน้าเคารพนอบน้อม เอ่ยไปยังรองหัวหน้าสหพันธ์
ร่างยักษ์ผิวสีทองแดงผงกศีรษะเล็กๆ ตอบรับการทักทายของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดจำนวนมาก
“รองหัวหน้าสหพันธ์ผู้นี้มีกลิ่นอายน่าหวาดกลัวนัก”
ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงไม่กล้าที่จะตรวจสอบผู้ฝึกตนในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอย่างง่ายๆ ไม่ต้องเอ่ยถึงคนร่างยักษ์ผิวสีทองแดงผู้นี้เลย
จากสิ่งที่เขารู้ ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้ถูกแบ่งออกเป็นขั้นย่อยๆ เหมือนเช่นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแบ่งออกเป็นสามสวรรค์ ขั้นมนุษย์แท้ ขั้นผู้วิเศษแท้ และขั้นนายเหนือแท้
สามสวรรค์นี้ ไม่ว่าจะเป็นขั้นมนุษย์แท้หรือขั้นนายเหนือแท้ก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง
ทว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดนั้นได้ถูกกล่าวไว้ว่าถูกแบ่งออกเป็นขั้นแก่นก่อกำเนิดเล็กและขั้นแก่นก่อกำเนิดใหญ่
“รองหัวหน้าสหพันธ์และสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์เป็นกลุ่มอำนาจแบบใดกัน เหตุใดจึงได้มีผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมากเพียงนี้? อาจกล่าวได้ว่ากระทั่งสิบยอดสำนักก็ยังต้องค้อมคำนับให้”
ในศีรษะของจ้าวเฟิงปรากฏความสงสัยขึ้น ส่งเสียงผ่านจิตเอ่ยถาม
“จ้าวเฟิง ระดับของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์นั้นแม้เจ้าจะรู้ไปก็ไม่ได้มีผลดีอันใด หากจะพูดง่ายๆ นั้นคือขอบเขตแก่นก่อกำเนิดนับเป็นสมาชิกหลักของกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่ง รวมตัวกันเป็นสหพันธ์รักษาสมดุลของทวีป สมาชิกของมันนั้นมีทั้งผู้สูงศักดิ์ของสิบยอดสำนัก รวมทั้งผู้สูงศักดิ์ที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด”
เถี่ยหมัวเอ่ยตอบ
จ้าวเฟิงรู้สึกประหลาดใจ ในทวีปแห่งนี้กลับปรากฏองค์กรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้อยู่
สมาชิกของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์คือผู้สูงศักดิ์ของทุกกลุ่มอำนาจในทวีป ตัวอย่างเช่นสิบยอดสำนัก
ดังนั้นแล้ว การตัดสินของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์จึงถูกชี้ขาดโดยสมาชิกจำนวนมาก เป้าหมายนั้นคือการค้นหาความยุติธรรม ยากที่จะตัดสินได้โดยผู้ใดที่สามารถส่งผลต่อทั้งทวีปได้
“ในประวัติศาสตร์ หากไม่ใช่เพราะสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์และสิบยอดสำนักร่วมมือกันทำลายลัทธิมารจันทราชาดก็ยากนักที่จะสำเร็จได้ โรงประมูลเชิงหลงที่เจ้าเข้าร่วมก่อนหน้าเอง เบื้องหลังก็มาจากสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์”
เถี่ยหมัวเอ่ยเพิ่ม
เป็นเช่นนี้เอง
จ้าวเฟิงรู้สึกเข้าใจขึ้นเล็กๆ ทวีปนี้ดูจะกว้างใหญ่ยิ่งนัก ทว่าความจริงแล้วมีคนเพียงหยิบมือที่สามารถตัดสินชี้เป็นชี้ตายชะตาผู้คนได้
“งานชุมนุมเซียนมังกรหลังจากสามวันจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ”
น้ำเสียงกระฉับกระเฉงดังก้องไปทั่วลานประลองชางกู่
สามวันต่อมาคือการเตรียมตัว
กลุ่มอำนาจทุกกลุ่ม อัจฉริยะทุกคนต้องได้รับการตรวจสอบจากสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ และรับ ‘ตราคำสั่งเซียนมังกร’ ก่อนจึงจะสามารถเข้าร่วมการประลองได้
ในระหว่างนี้ทุกคนได้เข้าใจถึงกฎการประลองของงานชุมนุมเซียนมังกร
หนึ่งวันต่อมา
อัจฉริยะส่วนมากของอาณาจักรนภาได้รับการตรวจสอบจากสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์และได้รับ ‘ตราคำสั่งเซียนมังกร’
จ้าวเฟิงมองไปยังตราคำสั่งเซียนมังกรของตนเองที่ไร้ซึ่งสีสัน
ตราคำสั่งเซียนมังกรของคนส่วนมากเช่นซินอู๋เหิน จ้าวหยูเฟ่ย เตี๋ยเย่ เป่ยม่อ และคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นนั้น
แน่นอนว่ามีคนจำนวนน้อยที่ตราคำสั่งเซียนมังกรมีสีที่ต่างออกไป
ตัวอย่างเช่นเจียงซานเฟิงที่ตราคำสั่งเซียนมังกรมีสีทองแดง เขาได้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรคราที่แล้วและติดหนึ่งในสามร้อยอันดับแรก
ตราคำสั่งเซียนมังกรในมือของจินไท่จื่อมีสีเงินจาง ด้านบนปรากฏสัญลักษณ์มังกรขึ้น
ตราคำสั่งเซียนมังกรของโม่เทียนอี้เป็นสีเงินบริสุทธิ์ ส่องแสงงดงาม สัญลักษณ์มังกรสั่นสะท้านราวกับมีชีวิต
จ้าวเฟิงมองไปยัง ‘ปิงเว่ยเซียนจื่อ’ ที่อยู่ห่างออกไปอีกครั้ง
ตราคำสั่งเซียนมังกรของนางส่องประกายสีทองเจิดจ้า ด้านบนปรากฏสัญลักษณ์มังกรที่ราวกับมีชีวิต กระทั่งปรากฏสายลมพัดขึ้นยามที่มันเคลื่อนไหว ส่งเสียงคำรามของมังกรออกมาจางๆ ราวกับราชามังกรที่แท้จริง ทำให้ตราคำสั่งเซียนมังกรของผู้ที่อยู่ใกล้เคียงสั่นสะท้านไม่หยุด
“แม้ทุกคนจะเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกรเช่นเดียวกัน ทว่าการปฏิบัติเหตุใดจึงแตกต่างกันนัก”
อัจฉริยะหลายคนบ่นออกมาอย่างไม่พึงพอใจ