Skip to content

King of Gods 350

King Of Gods

บทที่ 350 : เรียกชื่อท้าประลอง

ลานประลองเหนือ

การประลองที่แสนเข้มข้นของสองผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้นี้ ในที่สุดแล้ว ‘ปิงฉุ่ยเยว่’ ก็กลายเป็นผู้ชนะ

“ควรค่าแล้วที่ได้รับการเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะดาราคนใหม่แห่ง ‘วังฉวนปิง’ เพียงเพิ่งบรรลุสู่ขั้นผู้วิเศษแท้ได้ไม่นานก็เอาชนะผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำอย่างหม่าเทียนซานได้”

“มีคำกล่าวว่าปิงฉุ่ยเยว่นั้นเป็นเหมือนปิงเว่ยเซียนจื่อ ได้รับแก่นแท้ของ ‘มรดกฉวนปิง’ ”

เหล่าอัจฉริยะด้านล่างลาประลองอดที่จะอุทานออกมาอย่างประหลาดใจไม่ได้

อำนาจของวังฉวนปิงนั้นน่าตื่นตะลึง ตั้งอยู่ในทวีปเหนือ ครอบครองหนึ่งในสี่มหามรดก ‘มรดกฉวนปิง’ ที่สามารถเปิดขึ้นได้หนึ่งในครั้งหลายสิบปี

“ ‘ปิงฉุ่ยเยว่’ ผู้นี้ฝึกตนฝนวิชาธาตุเหมันต์ เมื่อเทียบกับมรดกอัสนีของข้าแล้วยังนับว่าลึกล้ำกว่าหลายส่วน นอกจากนั้นนางยังมีพลังสายเลือดธาตุเหมันต์ที่ทรงพลัง…”

จ้าวเฟิงมองการต่อสู้ตั้งแต่ต้นจนจบ รับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งอันน่าพรั่นพรึงของ ‘ปิงฉุ่ยเยว่’ ได้อย่างลึกล้ำ อีกฝ่ายมีโอกาสที่จะดีดตนเองไปเทียบกับระดับของโม่เทียนอี้และฉินคุนอู๋

หม่าเทียนซานเองก็ไม่ใช่กระจอก มีโอกาสที่จะติดหนึ่งในสามสิบอันดับแรกของงานชุมนุมเซียนมังกร ในลานประลองเหนือพลังนับว่าเทียบเคียงได้กับสามยอดฝีมือชั้นแนวหน้าที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสามได้

หากให้จ้าวเฟิงเผชิญหน้ากับหม่าเทียนซาน จะชนะได้หรือไม่ก็ยังไม่แน่นอน หรือหากชนะก็ต้องดิ้นรนอย่างหนัก

หลังจากการประลองนี้

ปิงฉุ่ยเยว่ได้กลายเป็นม้ามืดอันดับหนึ่งของลานประลองเหนือ กระทั่งเทียบกับม้ามืดทั่วทั้งงานชุมนุมเซียนมังกรยังนับว่ายอดเยี่ยมที่สุด

“ฉุ่ยเยว่ เจ้าสู้ได้ดี”

สายตาที่ค่อนข้างเย็นชาของผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ‘ปิงเว่ยเซียนจื่อ’ เผยความยินดีออกมา

“พี่สาว นี่เป็นเพียงรอบแรก ทว่าข้าก็ถูกไล่ต้อนให้ใช้วิชาสายเลือดแล้ว”

ลมหายใจของปิงฉุ่ยเยว่ค่อนข้างถี่กระชั้น

การประลองเมื่อครู่จะอย่างไรก็นับว่าเป็นการข้ามขั้นประลอง ที่นางชนะได้ใช่ว่าจะสบายนัก

ทว่าตราคำสั่งเซียนมังกรสีทองแดงในมือของนางก็ได้ส่องประกายสีเงินจาง สัญลักษณ์มังกรปรากฏขึ้นชัดเจน วาสนามังกรเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

“น้องสาว เจ้าก็รู้ดีว่าอัจฉริยะในงานชุมนุมเซียนมังกรจำนวนมาก เมื่ออยู่ที่ภายนอกสามารถข้ามขั้นท้าประลองผู้อื่นได้ เจ้าใช้วิชาสายเลือดเมื่อครู่ข้ามขั้นเอาชนะหม่าเทียนซานได้นับว่าไม่ง่ายโดยแท้”

ปิงเว่ยเซียนจื่อยื่นมือข้างหนึ่งไปลูบเส้นผมของผู้เป็นน้องอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาหงส์เผยความเอาใจใส่รักใคร่ออกมา

ลานประลองเหนือ

หลังจากที่ประลองไปมากกว่า 20 ครั้ง ลวดลายค่ายกลก็ยิ่งส่องสว่าง

สี่ม้ามืดแห่งลานประลองเหนือ นำโดยปิงฉุ่ยเยว่ วาสนามังกรบนร่างแข็งแกร่งที่สุด

จากนั้นจึงเป็นหงจ๋าน พลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับแรกเริ่ม ไม่เคยพ่ายแพ้ เคยประลองเสมอกับอัจฉริยะขั้นผู้วิเศษแท้อีกคนครั้งหนึ่งเท่านั้น

คนที่สามคือจ้าวเฟิง ชนะติดต่อกันมากกว่า 20 ครั้ง

คนที่สี่คือหวังเสี่ยวก้วย ชนะติดต่อกัน 20 ครั้ง

ทว่าเมื่อถึงการประลองครั้งที่ 22 ดวงของหวังเสี่ยวก้วยก็หมดลง เผชิญหน้ากับฉินคุนอู๋

ฉินคุนอู๋นั้น แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งทวีปก็นับได้ว่าเป็นอัจฉริยะในตำนานอีกคน ตำแหน่งในงานชุมนุมเซียนมังกรคราก่อนเมื่อเทียบกับโม่เทียนอี้ยังเหนือกว่า

เปรี้ยง ตูม

หวังเสี่ยวก้วยขึ้นไปบนลานประลอง ใช้พลังสายเลือด นัยน์ตาส่องประกายสีม่วงทองเจือจาง ทั่วทั้งร่างราวกับก่อสร้างขึ้นมาจากโลหะ ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น ราวกับเป็นยักษ์ตัวเล็กๆ

ในวินาทีนั้น พลังทางกายภาพของเขาได้เข้าสู่ระดับที่น่าหวาดกลัว เพียงมือเปล่าก็สามารถบดขยี้ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปได้

กระบองอสูรปฐพีวายุ!

หวังเสี่ยวก้วยวาดกระบองสีเงินทอง เงากระบองยาวหลายหลาพุ่งออกพร้อมด้วยสายลมรุนแรงสีม่วงคราม ระยะการโจมตีของมันกวาดไปทั่วระยะหนึ่งร้อยหลารอบด้าน

ในด้านพลังต่อสู้ หวังเสี่ยวก้วยอาจนับได้ว่าควรค่าที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของขั้นผู้วิเศษแท้

สายเลือดโบราณในร่างของเขาพิเศษยิ่งนัก ยิ่งบาดเจ็บหนักเท่าใด พลังต่อสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น

ดวงตาทั้งคู่ของฉินคุนอู๋ส่องประกายราวดวงดารา ปราณจิตวิญญาณระเบิดออกจากร่าง เชื่อมต่อกับไอสวรรค์ระหว่างฟ้าดิน

ย่าห์

ในเสี้ยววินาที แสงดวงดาราสีม่วงสว่างก็ได้ปรากฏขึ้นที่ฟากฟ้า ส่องสว่างไปทั่วระยะหนึ่งลี้

ย่าห์!

ฉินคุนอู๋ตวาดเสียงดัง พลังฝ่ามืออันทรงพลังที่ราวกับดวงดาราสีม่วงไหลบ่า สร้างแรงกดดันให้กับผู้คน อำนาจของมันราวกับมาจากห้วงอวกาศที่ห่างไกล

เงากระบองและสายลมของหวังเสี่ยวก้วยที่พุ่งตรงไปอย่างบ้าคลั่งหยุดลง สลายหายไปราวกับฝุ่นผง

“เปรี้ยง!”

พลังอันเหนือกว่าที่น่าหวาดกลัวได้ทำให้ร่างของหวังเสี่ยวก้วยกระเด็นออกไปพร้อมกระอักโลหิต

ความแตกต่างในพลังนี้ยังยากเกินกว่าที่พลังสายเลือดจะสามารถทดแทนได้

การที่หวังเสี่ยวก้วยพ่ายแพ้ไม่ได้เหนือไปกว่าการคาดการณ์ของจ้าวเฟิง คู่ต่อสู้ของโม่เทียนอี้ จะอย่างไรก็เป็นยอดอัจฉริยะของทวีป สามารถติดหนึ่งในยี่สิบได้ ทั้งยังมีโอกาสติดหนึ่งในสิบ

“แต่น่าเสียดายที่เร็วเกินไป…”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงที่จับจ้องไปยังปราณจิตวิญญาณในร่างของฉินคุนอู๋รับรู้ได้ถึงความลึกลับ

โดยเฉพาะ ‘หน่อสำนึกรู้’ ที่เชื่อมต่อกับฟ้าดิน สร้างพลังลึกลับของไอสวรรค์ขึ้น

พลังต่อสู้ของฉินคุนอู๋ดูจะแข็งแกร่งกว่าที่คาด หนึ่งกระบวนท่าเอาชนะหวังเสี่ยวก้วยได้ อีกฝ่ายไม่มีกระทั่งโอกาสตอบโต้

จ้าวเฟิงปิดเปลือกตา ใจจดจ่อไปยังแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณ รับรู้ถึงเสวียนอ้าวของขอบเขตเจตจำนง

“เสวียนอ้าวของขอบเขตเจตจำนงในแหล่งกำเนิดจิตวิญญาณของข้ามาจากมรดกอัสนีเสียเป็นส่วนมาก จากนั้นจึงเป็นสำนึกรู้จาก ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ”

จ้าวเฟิงวิเคราะห์เล็กๆ

ลานประลองชางกู่ยังมีการประลองอีกหลายรอบ เมื่อมีการประลองของผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ เด็กหนุ่มจะเปิดดวงตาเทพเจ้าขึ้นสังเกต

หลังจากการสังเกต เขาก็มีความเข้าใจและการพัฒนาใหม่ๆ

“หน่อสำนึกรู้คือความเข้าใจในวิชาฝึกตนของตนเอง รับรู้ถึงเสวียนอ้าวของฟ้าดิน สร้าง ‘หน่อ’ ที่มองไม่เห็นขึ้น เชื่อมต่อไปยังเสียนอ้าวของสวรรค์ ใช้ประโยชน์จากพลังของฟ้าดิน”

ในใจของจ้าวเฟิงมีความคิดหนึ่งขึ้น

หน่อสำนึกรู้นั้นใช้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณเป็นเมล็ด ถือกำเนิดขึ้นในระดับจิตวิญญาณ เชื่อมต่อกับไอสวรรค์ ตอบสนองต่อลักษณะของเสวียนอ้าว

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกการกระทำการเคลื่อนไหวของผู้ฝึกจะเชื่อมโยงกับไอสวรรค์ พลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

เพราะมีหน่อสำนึกรู้ ขั้นผู้วิเศษแท้จึงราวกับได้รับคำอวยพรจากสวรรค์ เชื่อมต่อกับไอสวรรค์ หยิบยืมพลังจากฟ้าดิน

ทว่าในความเป็นจริงนั้น

มีเพียงแค่ยามที่บรรลุสู่ขั้นนายเหนือแท้จึงจะสามารถหยิบยืมไอสวรรค์มาใช้ได้ตรงๆ

แน่นอนว่าขั้นผู้วิเศษแท้สามารถเชื่อมต่อกับไอสวรรค์ได้ในระยะเวลาหนึ่ง ทำให้พลังที่ใช้ออกแข็งแกร่งกว่าเดิม มันก็ยังคงนับเป็นหนึ่งในการ ‘เสริมพลัง’ ของไอสวรรค์

หลังจากที่ความคิดชัดเจน

การที่จ้าวเฟิงจะสร้าง ‘หน่อสำนึกรู้’ ขึ้นได้ยังต้องการอีกสองขั้น

หนึ่งคือการรับรู้ถึงเสวียนอ้าวของฟ้าดิน ความเข้าใจในเสวียนอ้าวของขอบเขตเจตจำนงต้องมีเพียงพอ

นี่คือจุดสำคัญ มันคือวินาทีที่แทบจะสำคัญที่สุดของจ้าวเฟิง

สองคือเสวียนอ้าวที่ทำความเข้าใจจากฟ้าดินใช้แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณเป็นเมล็ดพันธุ์ ถือกำเนิด ‘หน่อสำนึกรู้’ ขึ้นในชั้นจิตวิญญาณ

ส่วนขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงนั้นสูงเพียงพอ สามารถลองพยายามดูได้

“สิ่งสำคัญคือขั้นแรก ข้าต้องหลอมรวมแก่นแท้ของ ‘มรดกอัสนี’ และ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ เข้าด้วยกัน ทำความเข้าใจเสวียนอ้าวที่แข็งแกร่งเพียงพอ”

จ้าวเฟิงปิดเปลือกตา เริ่มทำความเข้าใจ

ความจริงแล้ว

ไม่ว่าจะเป็น ‘มรดกอัสนี’ หรือ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ ก็สามารถให้กำเนิดหน่อสำนึกรู้ได้

หากทำเช่นนั้น มันจะง่ายกว่าสำหรับเด็กหนุ่ม

ทว่าจ้าวเฟิงนั้นดื้อดึง พยายามอย่างมากที่จะนำแก่นแท้ของ ‘มรดกอัสนี’ และ ‘คัมภีร์บุปผาลึกลับ’ สองมรดกที่ยิ่งใหญ่มาหลอมรวมกัน ทำความเข้าใจและสร้างหน่อสำนึกรู้ขึ้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น

ความยากและซับซ้อนในการทำความเข้าใจหน่อสำนึกรู้จึงเหนือกว่าขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปหลายเท่าตัว!

โชคดีที่จ้าวเฟิงไม่ใช่คนปกติทั่วไป มี ‘เนตรจิตวิญญาณเทพเจ้า’ คอยช่วยเหลือ แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณทรงพลังยิ่งนัก ทั้งความสามารถในการทำความเข้าใจเรียนรู้ยังเหนือกว่าปกติ

ในสมอง

สัญลักษณ์อัสนีลึกลับได้ปรากฏเงาของดอกบัวขึ้นหลอมรวม

ในขณะเดียวกัน

ผนึกอัสนีที่ส่องสว่างบนหน้าผากของจ้าวเฟิงได้สั่นสะท้าน ดูราวกับจะปริแยกออก

“ด้วยขอบเขตจิตวิญญาณและความเข้าใจของข้า การทำความเข้าใจหน่อสำนึกรู้ไม่ใช่เรื่องยาก”

“ปัญหาคือเวลา”

จ้าวเฟิงต้องสร้างหน่อสำนึกรู้ของตนเองขึ้นให้ทันการณ์

มีเพียงการทำเช่นนั้นที่เขาจะมีโอกาสท้าชิงตำแหน่งที่สูงกว่าเดิม

เวลาผ่านพ้นไป

จ้าวเฟิงจมลึกลงในห้วงจิตวิญญาณของตน กลิ่นอายของสำนึกรู้แห่งขอบเขตเจตจำนงได้ล้อมรอบร่างกาย หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน

ในเสี้ยวพริบตา เวลาหลายวันได้ผ่านพ้นไป

การประลองห้าแดนดิ้นรนสู่ความเป็นใหญ่ยังคงดำเนินต่อไป

ในลานประลองเหนือ

ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ ปิงเว่ยเซียนจื่อ ยังคงแสดงพลังที่ดูแคลนผู้อื่นออกมา

ฉินคุนอู๋และเนตรวิญญาณหนานจื่อยังคงไม่พ่ายแพ้

เซี่ยเซียนชางดวงไม่ดี เจอกับปิงเว่ยเซียนจื่อ รับมือได้เพียงสองสามกระบวนท่าก็พ่ายแพ้

ลานประลองกลาง

“ผู้ไร้คู่ต่อสู้ใต้ผืนฟ้า!”

หยูเทียนฮ่าวมองไปยังประกายฝ่ามือที่ไม่อาจมองเห็นอย่างดูแคลน ราวกับมีกลิ่นอายลึกลับบางอย่างบดขยี้ทุกสิ่ง มีพลังที่ทำให้ลานประลองสั่นสะท้านเล็กๆ

ร่างของเขาปรากฏรูปร่างของมังกรสีทองลอยสูงขึ้นจางๆ เสียงคำรามของมังกรนั้นราวกับดังขึ้นจริงๆ เหมือนเช่นมังกรที่แท้จริงได้ปรากฏขึ้น

พรวด!

จินไท่จื่อกระอักเลือด กระเด็นออกนอกลานประลอง มุมปากปรากฏความขมขื่นขึ้น

ได้ประลองกับ ‘อัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีป’ มิรู้ว่าควรจะนับเป็นเกียรติหรือความโชคร้ายกัน

พลังฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดทำให้หยูเทียนฮ่าวยืนอยู่บนจุดสูงสุด กระทั่งทำให้ผู้มีพลังขั้นผู้วิเศษแท้ต้องชะงักงัน

นอกจากนั้น ‘ผู้ไร้คู่ต่อสู้ใต้ผืนฟ้า’ ยังเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีป ทำให้มรดกวิชาอื่นๆ ต้องสูญเสียสีสันไปอย่างช่วยไม่ได้

ลานประลองเหนือ

จ้าวเฟิงพลันเปิดเปลือกตาขึ้น

ครืน!

ตราคำสั่งเซียนมังกรบนร่างของเขาพลันสั่นสะท้าน มุ่งตรงไปยังลานประลองเหนือ

“รอบที่ 44 ตาข้าแล้ว”

จ้าวเฟิงลุกขึ้นยืนอย่างไร้ความรู้สึก ทะยานร่างขึ้นไปบนลานประลองเหนือ

ชนะติดต่อกัน 44 ครั้งทำให้จ้าวเฟิงกลายเป็นม้ามืดอันดับหนึ่งในลานประลองเหนือ

ในยามนี้

ตราคำสั่งเซียนมังกรในมือของจ้าวเฟิงกลายเป็นสีทองแดงเข้ม กระทั่งปรากฏสีเงินขึ้นจางๆ

สามารถประสบความสำเร็จได้เพียงนี้ ด้านหนึ่งคือเด็กหนุ่มแข็งแกร่ง อีกด้านหนึ่งคือดวงที่ยอดเยี่ยม

เหตุผลที่บอกว่าดวงดีนั้นเป็นเพราะจ้าวเฟิงไม่เคยเจอกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้หรือยอดฝีมือชั้นแนวหน้า

ในทางกลับกัน หวังเสี่ยวก้วยและหงจ๋าน สองม้ามืดแห่งลานประลองเหนือได้เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและพ่ายแพ้

ปิงฉุ่ยเยว่ได้เจอกับหม่าเทียนซาน อัจฉริยะยอดฝีมือชั้นแนวหน้าที่มีพลังขั้นผู้วิเศษแท้

เด็กสาวงดงามเย็นชาในชุดขาวพลิ้วกายมายังลานประลองเหนือ ใบหน้างดงามราวหยกเย็นเยียบ

ปราณจิตวิญญาณที่ทรงพลังของขั้นผู้วิเศษแท้ เชื่อมต่อกับไอสวรรค์ธาตุเหมันต์ สร้างปราณจิตวิญญาณที่เย็นเยียบน่าหวาดกลัว

เฮือก!

จ้าวเฟิงสะท้านเฮือก รู้สึกราวกับมีไอความเย็นแทรกซึม

วิ้วว!

ลานประลองเหนือได้ปรากฏเสียงยินดีตื่นเต้นขึ้น มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างยินดีในความทุกข์ยากของผู้อื่น

“ดูเหมือนว่าดวงของข้าจะไม่ดีเท่าใด”

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าววางแผนที่จะ ‘ต่อสู้ตัดสินอย่างรวดเร็ว’ มิคาดว่าคู่ต่อสู้ในยามนี้จะเป็นหนึ่งในม้ามืดของลานประลองเหนือ ‘ปิงฉุ่ยเยว่’

“ปิงฉุ่ยเยว่ เจ้า ‘เรียกชื่อ’ ท้าประลองจ้าวเฟิง หากชนะจะได้รับวาสนามังกรเพียงครึ่งหนึ่งในยามปกติ ในทางกลับกัน หากเจ้าพ่ายแพ้จะต้องเสียวาสนามังกรสองเท่าจากยามปกติ”

กรรมการตัดสินผู้สูงศักดิ์เอ่ยปากเตือนอีกครั้ง

“ข้ามั่นใจ”

นัยน์ตาเย็นเยียบของปิงฉุ่ยเยว่จับจ้องไปยังจ้าวเฟิง

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ การเผชิญหน้ากันของเขากับปิงฉุ่ยเยว่ไม่ใช่การสุ่มจับคู่ของตราคำสั่งเซียนมังกร ทว่าเป็นการ ‘เรียกชื่อท้าประลอง’ ของปิงฉุ่ยเยว่

ในด้านหนึ่ง งานชุมนุมเซียนมังกรอนุญาตให้ ‘เรียกชื่อท้าประลอง’ ทว่าทุกคนมีโอกาสทั้งหมดสามครั้ง และย่อมไม่ต้องการกระทำสิ่งที่ไร้ความหมายนี้

“เหตุใดปิงฉุ่ยเยว่จึงท้าประลองข้า”

จ้าวเฟิงจิตใจหนาวเยือก นัยน์ตาสั่นระริก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version