Skip to content

King of Gods 390

King Of Gods

บทที่ 390 : ฉวยโอกาส

มุมเล็กๆ มุมหนึ่ง

จ้าวเฟิงจับฉิงเสี่ยวเยว่เป็นตัวประกัน ฝ่ายหลังใบหน้าขาวซีด ทั่วทั้งร่างเหนื่อยล้า ถูกปิดกั้นอิสรภาพ กระทั่งความสามารถในการจะเปิดปากพูดยังไม่มี

สามอัจฉริยะแห่งตำหนักเหมันต์ทั้งชะงักและกราดเกรี้ยว ทว่าก็ไม่กล้าที่จะลงมือผลีผลาม

“เจ้าคนพาล หากปล่อยฉิงเสี่ยวเยว่แล้วคุกเข่าขอโทษ พวกข้าจะไว้ชีวิต”

ผู้นำ ‘ชายหนุ่มตาเหยี่ยว’ สีหน้าเย็นชา ท่าทีเต็มไปด้วยอำนาจ

พลังฝึกตนของเขาสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอด พลังต่อสู้อาจเทียบได้กับหยูเทียนฮ่าว ส่งพลังปราณจิตวิญญาณแหลมคมเข้มข้นออกมา ทุกการเคลื่อนไหวปรากฏแรงกดดันที่ทิ่มแทงไปถึงจิตใจ เพียงพอให้ผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงทั่วไปต้องร่างสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

จ้าวเฟิงสีหน้าไร้ความรู้สึก ยังคงไม่ขยับเคลื่อนไหว มือที่กำลำคอของฉิงเสี่ยวเยว่เพิ่มแรงขึ้นอีกหลายส่วน

ทันใดนั้น บนแก้มของฉิงเสี่ยวเยว่พลันแดงก่ำ พยายามดิ้นรนกระอักไอออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเจ็บปวด

“หยุด”

หลี่เซียวและผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงอีกคนสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวก้าวเดินออกไปเล็กๆ

เขาผงะไปเล็กน้อย พลังฝึกตนของเด็กหนุ่มผมฟ้าที่อยู่ห่างออกไปนั้นยังไม่ถึงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำเสียด้วยซ้ำ ทว่ากลับไม่หวาดกลัวแรงกดดันที่เขาสร้างขึ้น ท่าทีนิ่งเฉยไม่สนใจโดยสิ้นเชิง ทั้งการแลกเปลี่ยน ‘ตัวประกัน’ เช่นนี้ยังดูราวกับคุ้นเคยยิ่งนัก

นอกจากนั้น ด้วยพลังฝึกตนของอีกฝ่ายจะสามารถจับผู้ฝึกตนในขั้นผู้วิเศษแท้ระดับต่ำอย่างฉิงเสียวเยว่อย่างง่ายๆ ได้อย่างไร?

“หึ สิ่งที่ข้า เฉียวถางถิง เกลียดที่สุดคือการถูกข่มขู่ หากนางตาย ข้าจะทำให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตาย”

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวเอ่ยขึ้นอย่างคลุมเครือ

จ้าวเฟิงยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย ” หากพวกเจ้าคนใดเข้ามาอีกก้าว ข้าจะหักแขนนางก่อน หากไม่เชื่อพวกเจ้าลองได้”

พวกชายหนุ่มตาเหยี่ยวทั้งสามมองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มแปลกประหลาดตรงหน้าจะสงบนิ่งถึงเพียงนี้

ความจริงแล้ว การจับตัวประกันเช่นนี้ สำหรับจ้าวเฟิงมันไม่ใช่ครั้งแรก อาจนับได้ว่าเชี่ยวชาญเสียด้วยซ้ำ

วิธีการเช่นนี้เหมาะสมกับคนอ่อนแอยิ่งนัก

ในอดีตที่ถ้ำสายธารจันทรา จ้าวเฟิงได้จับตัวอาจารย์ด้านกลไกเป็นตัวประกัน เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ทั้งหมดในเสี้ยววินาที ใช้พลังฝึกตนในขอบเขตก่อกำเนิดปราณในการต่อสู้กับสามผู้ฝึกตนในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

ก่อนหน้าในอาณาจักรนภา เด็กหนุ่มก็ได้จับ ‘ฉินหวางเฟ่ย’ เป็นตัวประกัน สร้างความวุ่นวายอย่างหนักให้กับอาณาจักร

“ไอ้หนู เจ้าต้องการอะไร”

หลี่เซียวไม่อาจทำใจให้เยือกเย็นได้ ไม่อาจทนให้สตรีอันเป็นที่รักต้องทนทานความเจ็บปวดหรือตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้

“ก่อนที่ข้าจะออกจากระยะสิบลี้อย่าได้เข้าใกล้ หากเคลื่อนไหวแม้เพียงนิด นางตาย”

จ้าวเฟิงเอ่ยอย่างสบายๆ

“ผู้ใดจะรู้ หลังจากที่เจ้าออกห่างไปสิบลี้แล้วเจ้าอาจจะโจมตีก็ได้”

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาระแวดระวัง

ระยะสิบลี้? ชายหนุ่มตาเหยี่ยวรู้สึกประหลาดใจเล็กๆ ระยะทางนั้นไม่ไกลมากนัก

“ข้าจะวางนางไว้ตรงนี้ หลังจากที่ข้าออกไปจากระยะสิบลี้ พวกเจ้าจึงจะช่วยนางได้ การทำเช่นนี้คงนับเป็นการแสดงความจริงใจแล้ว”

ใบหน้าของจ้าวเฟิงเรียบเฉย วางฉิงเสี่ยวเยว่ไว้บนพื้น

หือ?

พวกชายหนุ่มตาเหยี่ยวทั้งสามมองหน้ากัน ในใจลอบคิด “ไอ้เด็กนี่โง่หรือเปล่า? ทิ้งตัวประกันไว้ มั่นใจหรือว่าตนเองจะหนีไปได้?”

หากเป็นเช่นนั้นคนของ ‘ตำหนักเหมันต์’ ทั้งสี่ย่อมสามารถไล่ตามจ้าวเฟิงไปได้ ส่วนหนึ่งไล่ตาม อีกส่วนหนึ่งช่วยตัวประกัน

หรือพูดสั้นๆ

การกระทำเช่นนี้ของจ้าวเฟิงก็เท่ากับการสร้างความเสียเปรียบให้ตนเองอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง นับว่าเพียงพอต่อการ ‘แสดงความจริงใจ’ จริงๆ

“ได้ พวกเราสัญญา”

ในใจของหลี่เซียวยินดีอย่างมาก เอ่ยสัญญาณอย่างเต็มปาก

แม้ว่าในใจของคนทั้งสามจะปรากฏความเคลือบแคลงสงสัย ทว่าได้ตัดสินใจว่าตราบเท่าที่จ้าวเฟิงทิ้งฉิงเสี่ยวเยว่และออกห่างไปหลายลี้ พวกเขาจะไล่ตามฆ่า

คำสัญญาที่ให้ไปนั้นไม่อาจนับเป็นอันใดได้

“ได้ เจ้าไปซะ อย่างน้อยก่อนที่เจ้าจะออกไปจากระยะสิบลี้ พวกข้าจะไม่ทำอันใดเจ้า”

นัยน์ตาของชายหนุ่มตาเหยี่ยวส่องประกายระริก

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ หลังจากวางร่างของฉิงเสี่ยวเยว่ลงก็เดินออกไปอย่างสบายๆ

“แค่เดินออกไปจริงๆ หรือ?”

คนของตำหนักเหมันต์ทั้งสามแทบไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง

ในยามนี้ คนทั้งสามเงียบงันอย่างมาก เพ่งมองไปยังจ้าวเฟิง พยายามสร้างความหวาดกลัวให้แก่อีกฝ่าย

จะอย่างไร ในตอนนี้จ้าวเฟิงก็ยังอยูใกล้ฉิงเสี่ยวเยว่ ทว่าพวกเขาอยู่ห่างออกไป

ทันใดนั้น

หนึ่งร้อยก้าว สองร้อยก้าว หนึ่งร้อยหลา… หนึ่งลี้

จ้าวเฟิงเดินห่างออกไป

คนจากตำหนักเหมันต์ทั้งสามปรากฏจิตสังหารขึ้นในแววตา

“หลี่เซียว เจ้าไปช่วยเสี่ยวเยว่ หลังจากที่เด็กนั่นออกไปจากระยะสองลี้ เจ้าไปช่วยย่อมสามารถวางใจได้มาก”

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวเอ่ยขึ้น

ในแผนของพวกเขา เมื่อจ้าวเฟิงออกห่างไปในระยะสองลี้ ความสามารถในการโจมตีย่อมลดลงอย่างมาก

หลี่เซียวผงกศีรษะ นัยน์ตาส่องประกายจิตสังหารวูบ

เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงกำลังจะออกห่างไปสองลี้

หลี่เซียวอดที่จะเตรียมตัวโจมตีไม่ได้

ทว่าในยามนี้

เพลิงอัสนีเนตรเทพเจ้า

จ้าวเฟิงพลันมองไปด้านหลัง เพลิงอัสนีสีเขียวสว่างวูบในดวงตาซ้าย

ฟุ่บ เปรี้ยง

เพลิงอัสนีสีเขียวโปร่งใสกลุ่มใหญ่ปรากฏขึ้นที่ร่างของหลี่เซียว อาละวาดทำลายไปทั่วในชั้นจิตใจ

“อ๊ากกกก”

หลี่เซียวกรีดร้องออกมาล้มลงที่พื้นดัง ‘ตุบ’ กระตุ้นการโคจรของปราณจิตวิญญาณเพื่อสลายไฟเหล่านั้นออกไป

ในเวลาสั้นๆ ร่างกายและจิตใจของเขาได้ถูกเผาไหม้ไปเล็กๆ

สถานการณ์นี้ได้ทำให้ใบหน้าพวกชายหนุ่มตาเหยี่ยวทั้งสองเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

พวกเขาเพียงเตรียมตัวที่จะเคลื่อนไหว ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็พลันควบรวมเพลิงอัสนีสีเขียวขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนีได้มุ่งตรงไปยังร่างที่นอนอยู่บนพื้นของ ‘ฉิงเสี่ยวเยว่’

ฉิงเสี่ยวเยว่ย่อมไม่มีพลังที่จะต่อต้าน หากถูก ‘เพลิงอัสนีเทพเจ้า’ โจมตีย่อมตายโดยไม่ต้องสงสัย

“หยุด”

คนทั้งสามตะโกนออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน รวมทั้งหลี่เซียวที่ยังไม่อาจทำให้อาการบาดเจ็บทรงตัวได้

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวที่มีพลังฝึกตนสูงที่สุดสูดลมหายใจลึก เพ่งมองไปยังจ้าวเฟิงอย่างเคร่งเครียดอย่างช่วยไม่ได้

เขายอมรับว่าก่อนหน้าเขาได้ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป

เด็กหนุ่มผมฟ้าผู้นั้นรับมือกับเรื่องต่างๆ ด้วยท่าทีเยือกเย็นราวกับมีประสบการณ์ กล้าที่จะวางร่างของฉิงเสี่ยวเยว่ลงแล้วหลบหนีไป ย่อมต้องมีหนทางในการคุกคาม

“วิชาดวงตาของข้ามีระยะโจมตีที่สิบลี้ ความเร็วในการโจมตีของมันพวกเจ้าก็เห็นแล้ว”

จ้าวเฟิงหมุนตัวกลับไปเดินต่ออย่างไร้ความรู้สึก

สิบลี้

บนใบหน้าของคนทั้งสามระบายไปด้วยความประหลาดใจ

วิชาดวงตาประเภทนี้พวกเขาเคยพบเห็นมาบ้าง ทว่าที่มีระยะโจมตีไกลถึงสิบลี้นั้นไม่เคยคาดคิดมาก่อน

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงเสียส่วนใหญ่ ระยะสิบลี้คือระยะที่ได้ผล ทว่ายิ่งระยะห่างไกลเท่าใด พลังของมันก็ยิ่งน้อยลง ยามที่ออกห่างมากไปในระยะหนึ่งมันก็จะไม่ได้ผลอีกต่อไป

“ให้โอกาสพวกเจ้าครั้งสุดท้าย หรือไม่เช่นนั้นนางตาย”

จ้าวเฟิงหมุนตัวกลับไป

ในยามนี้

ความเร็วในการหลบหนีของเขารวดเร็วขึ้นหลายเท่า

ฟุบ

ไม่ช้า เบื้องหลังก็เหลือเพียงเงาประกายสายฟ้าหลอมรวมเข้ากับแนวป่าในเทือกเขา

ทว่าใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณของชายหนุ่มตาเหยี่ยวและคนอื่นๆ ถูกจำกัดลงอย่างมาก สามารถทำได้เพียงทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ คาดเดาตำแหน่งของจ้าวเฟิง

พวกเขาไม่ล่วงรู้ว่าในมุมมืดมุมหนึ่ง ร่างเงาประกายสายฟ้าที่พุ่งวูบเป็นเส้นของจ้าวเฟิงได้กระจายออกเป็น ‘เงา’ พุ่งหายไป

เมื่อเวลาผ่านไป

ความเร็วของจ้าวเฟิงกลับเชื่องช้าลง

เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วน้ำชาเดือด คนของตำหนักเหมันต์ทั้งสามที่อยู่ห่างออกไปก็เริ่มหมดความอดทน

“ศิษย์พี่เฉียว ไอ้เด็กนั้นหนีออกไปจากระยะสิบลี้แล้ว”

หลี่เซียวเอ่ยอย่างเร่งรีบ

“หลี่เซียว เจ้ารับผิดชอบช่วยเหลือฉิงเสี่ยวเยว่ ลู่เหยียน เจ้ารับผิดชอบตรงกลาง”

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวรีบแบ่งหน้าที่อย่างรวดเร็ว

หลี่เซียวที่รับผิดชอบช่วยเหลือฉิงเสี่ยวเยว่เห็นจ้าวเฟิงอยู่ห่างออกไปเป็นเพียงแค่เงามืดดำ ไม่ได้แสดงท่าทีอันใด

ผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงอีกคน ‘ลู่เหยียน’ รับผิดชอบในการดูแลรักษาความปลอดภัยจากตรงกลาง เบื้องหน้าคือการช่วยเหลือและไล่ล่า เบื้องหลังเขาก็ยังมีซากของจระเข้สายฟ้าทมิฬอยู่

จะอย่างไรอัจฉริยะเหล่านี้ก็เข้ามาในซากปรักหักพังนี้ก็เพื่อสืบสานตำหนักเหมันต์ของพวกเขา พวกเขาต้องหลีกเลี่ยงอัจฉริยะจากกองกำลังอื่น

ฟุบ

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดพลันทะยานร่างออกไปไล่ตามจ้าวเฟิง

“ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องฆ่ามัน บนร่างของเด็กนี่ไม่มีกลิ่นอายของตราคำสั่งมรดก ไม่ใช่คนของสามยอดสำนัก ดูเหมือนว่าหมอนั่นจะพบช่องว่างบางอย่างของซากปรักหักพังสือเฉิง”

นัยน์ตาของชายหนุ่มตาเหยี่ยวส่องประกายเย็นเยียบ

ตั้งแต่วินาทีที่เขาเห็นจ้าวเฟิง เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อยอีกฝ่ายไป

ด้วยความเร็วของชายหนุ่มตาเหยี่ยว ไม่ช้าย่อมสามารถร่นระยะห่างกับเงาประกายสายฟ้าของ ‘จ้าวเฟิง’ ได้

“ไอ้หนู อย่าได้คิดว่าจะรอด”

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวอยู่ในที่สูง มองไปยังร่างของ ‘จ้าวเฟิง’ ที่เคลื่อนไหวทะยานร่างอยู่ท่ามกลางแมกไม้

ทว่าเงาร่างคนผมฟ้านั่นกลับไม่ให้ความสนใจเขาแม้แต่น้อย

ประสาทสัมผัสของชายหนุ่มตาเหยี่ยวมุ่งตรงไปยังเป้าหมายในที่สุด สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป

“ไม่ดีแล้ว โดนหลอก”

ชายหนุ่มตาเหยี่ยววาดมือหนึ่ง ปรากฏสายลมเย็นเยียบและหิมะถาโถม ทำลายร่างของ ‘จ้าวเฟิง’ ที่อยู่ในสายตาในเสี้ยววินาที

ฟุ่บ

เงาร่างสายฟ้านั้นได้จางหายไปกับอากาศ ราวกับฟองอากาศ

แต่เดิม

นี่คือความสามารถของผ้าคลุมเงาหยินของจ้าวเฟิงในการสร้าง ‘ร่างเงา’ ขึ้น เมื่อพลังฝึกตนสูงขึ้น ร่างเงาก็ยิ่งดูเสมือนจริง กระทั่งมีพลังต่อสู้ในระดับหนึ่ง

เป็นเพราะในซากปรักหักพังสือเฉิง ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณได้ถูกจำกัดความสามารถไว้อย่างมาก ภายใต้ระยะที่ไกลออกไป ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณย่อมไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างรวดเร็ว

‘ร่างเงา’ นั้นยังมีป่าไม้ในการปกปิดเป็นโล่ในการหลบหนี พวกชายหนุ่มตาเหยี่ยวทั้งสามมีเพียงตาเปล่า ย่อมไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ที่ห่างออกไปหลายลี้ได้

จะอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าทุกคนมีดวงตาเทพเจ้าแบบจ้าวเฟิงที่ไม่ต้องใช้ประสาทสัมผัสจิตวิญญาณก็สามารถแยกแยะจริงปลอมได้

“นี่มันร่างปลอม แล้วร่างจริงอยู่ที่ใดกัน?”

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวพลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ

ในเวลาเดียวกัน

‘ลู่เหยียน’ ที่รับผิดชอบในการเฝ้าระวังก็ตกใจเสียจนแทบจะพูดไม่ออก “เจ้าวายร้าย กล้ามาแย่งชิงของของพวกข้า”

ฟุบ

เด็กหนุ่มผมฟ้าได้ไปหยุดอยู่เบื้องหน้าซากของ ‘จระเข้สายฟ้าทมิฬ’ ตั้งแต่เมื่อใดไม่มีผู้ใดรู้

“ฮี่ฮี่ ล่อเสือออกจากถ้ำสำเร็จ”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้ม นำอาวุธวิเศษที่แหลมคมออกมาตัดส่วนที่มีมูลค่ามากที่สุดในร่างของ ‘จระเข้สายฟ้าทมิฬ’ อย่าง ‘กระดูกสายฟ้า’ และ ‘เส้นเลือดใจวารีเร้นลับ’

ความจริงแล้ว

ซากของจระเข้สายฟ้าทมิฬนั้นได้ถูกผ่าเปิดออกอยู่แล้ว เพียงแต่วัตถุดิบภายในยังไม่ได้ถูกเอาออกมาเท่านั้น

ในระหว่างที่กำลังวางแผน จ้าวเฟิงได้ค้นพบเรื่องนี้ จากนั้นจึงมีความคิดที่จะเอาของเหล่านั้นไป

ในยามนี้ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ

เขาต้องล่อชายตาเหยี่ยวที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดออกไป อย่างน้อยต้องมากกว่า 20 ลี้

หลี่เซียวกำลังช่วยเหลือฉิงเสี่ยวเยว่ คนทั้งสองกำลังฟื้นฟูพลัง อยู่ห่างออกไปราวๆ 7-8 ลี้

ระยะห่างระหว่างจ้าวเฟิงกับผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง ‘ลู่เหยียน’ ที่รับผิดชอบในการเฝ้าระวังอยู่ที่ 2-3 ลี้นับว่าใกล้ที่สุด

ทว่าผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงที่อยู่ในระดับเดียวกับผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้เพียงคนเดียวไม่อาจที่จะสร้างแรงคุกคามใดๆ ต่อจ้าวเฟิงได้

ฟุ่บ

จ้าวเฟิงนำกระดูกสายฟ้าและเส้นเลือดใจวารีเร้นลับออกจากร่างของ ‘จระเข้สายฟ้าทมิฬ’ อย่างรวดเร็ว

“จระเข้สายฟ้าทมิฬ สัตว์ปีศาจประเภทนี้ที่มีสายเลือดโบราณอยู่จางๆ ได้สุญพันธ์ไปจากทวีปบุปผาครามไปแล้ว กระดูกสายฟ้าในร่างของจระเข้ยักษ์นี้คือวัสดุที่ดีในการเสริมอาวุธวิเศษธาตุสายฟ้า ในขณะเดียวกันเพราะมีแก่นแท้ของไอสวรรค์อัสนี ทำให้มีผลเทียบเคียงกับศิลาสายฟ้าเร้นลับได้ กระทั่งอาจจะดีกว่า เส้นเลือดใจวารีเร้นลับนั้นแม้ว่าจะโอนเอียงไม่ทางธาตุน้ำ ทว่าหากกินเข้าไปสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับจุดชีพจรทั่วทั้งร่างได้ รักษาอาการบาดเจ็บที่มองไม่เห็น เสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายและสร้างสมดุลให้กับพลังฝึกตนส่วนลึก”

ในใจของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความยินดี หากมีของสองอย่างนี้ พลังฝึกตนของเขาย่อมพัฒนาไปอีกระดับ อาจกล่าวได้ว่ามันเป็นผลประโยชน์อย่างมาก

“บัดซบ ไอ้เด็กเวรนี่กล้ามาแย่งของของเรา”

ชายหนุ่มตาเหยี่ยวและคนอื่นๆ รับรู้สถานการณ์อย่างรวดเร็ว ท่าทีราวกับจะเสียสติไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version