Skip to content

King of Gods 406

King Of Gods

บทที่ 406 : เนตรวิญญาณอาฆาต

ในยามหนึ่ง

ลูกแมงป่องยักษ์ในรังสีดำสนิทได้ถูกเก็บไปจนหมด

สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ได้ครอบครองลูกแมงป่องยักษ์สายเลือดบริสุทธิ์ เมื่อเทียบกับแมงป่องยักษ์โบราณแล้วไม่แตกต่างกันมากนัก

คนที่ได้ผลลัพธ์ดีที่สุดคือเย่หยานหยู ได้ครอบครองลูกแมงป่องยักษ์ที่มีสายเลือดบริสุทธิ์ที่สุดสองตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวใดล้วนแต่มีมูลค่าเหนือกว่าของผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้อีกสองคน

ที่ได้ผลลัพธ์ดีเช่นนั้นไม่ใช่เพียงเพราะความแข็งแกร่งของนาง ทว่ามีความช่วยเหลือของแมวขโมยตัวน้อยอยู่ด้วย

เย่หยานหยูได้ชมชอบและเชื่อใจแมวขโมยตัวน้อยไปอย่างไม่รู้ตัว

สีหน้าของชายหนุ่มชุดสีเลือดและชื่อกุ้ยปรากฏความอับอายขึ้นเล็กๆ ตั้งแต่เริ่มต้นแข่งขันแย่งชิง พวกเขาก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบเย่หยานหยูมาโดยตลอด โดยเฉพาะการคงอยู่ของแมวขโมยตัวน้อยยิ่งทำให้เย่หยานหยูราวกับมัจฉาในสายธารา

ลูกแมงป่องยักษ์ในรังอันมืดมิดนั้น หลังจากที่ถูกนำไปจนหมด สายตาของผู้คนจึงเบนไปยังลูกแมงป่องยักษ์หลากสีที่กระจัดกระจายกันอยู่

ไม่ว่าจะเป็นตัวใดก็ล้วนแต่เป็นลูกแมงป่องยักษ์ ในร่างย่อมสืบสายเลือดอยู่บ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยเมื่อเทียบกับสัตว์ปีศาจทั่วไปก็ยังเหนือกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง

ในเรื่องนี้ ผู้คนต่างรู้ดี

ทว่าในฝูงคนเหล่านี้ยังมีข้อยกเว้นอยู่

คนผู้นี้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบได้ยืนนิ่งไม่ขยับ

คนผู้นั้นคือจ้าวเฟิง

เขาดูเหมือนยืนอยู่ที่เดิม ทำเพียงเฝ้ามองดูเรื่องสนุกเท่านั้น

จ้าวเฟิงได้ครอบครองเพียงลูกแมงป่องยักษ์ตัวนั้น ใช้ดวงตาเทพเจ้าควบคุมจิตใจ ตลอดทั้งกระบวนการเงียบงันยิ่งนัก

ผู้ใดเล่าจะคาดคิด เด็กหนุ่มสีหน้าเรียบนิ่งผู้นั้นจะสามารถจับลูกแมงป่องสายเลือดผันแปรได้

ลูกแมงป่องสายเลือดผันแปรตัวนั้นที่จ้าวเฟิงวิเคราะห์และได้ครอบครอง ระดับของสายเลือดมันเทียบเคียงกับลูกแมงป่องสองตัวที่เย่หยานหยูครอบครองได้เป็นอย่างน้อย ทว่าระดับสติปัญญาสูงกว่า จิตตั้งมั่นก็เข้มแข็งกว่า ทั้งด้วยสายเลือดผันแปรของมัน ความสามารถในการพัฒนาย่อมยากจะคาดเดาได้ในอนาคต

“เหตุใดเด็กนี่จึงไม่เคลื่อนไหวกัน?”

“มิใช่ว่าก่อนหน้าเขาไหลลื่นไปทั่ว จู่ๆ ก็สามารถพบเจอของดีได้หรือ?”

อัจฉริยะต่างแดนจากตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราจำนวนมากใช้สายตาเคลือบแคลงมองไปยังจ้าวเฟิง

เพื่อที่จะเบี่ยงเบนความสนใจ จ้าวเฟิงจึงนำ ‘ศิลารอยหมึกสวรรค์’ บดเป็นผงและเทลงไปบนร่างของหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์

หลังจากที่ผงเหล่านั้นตกลงที่ร่างของหุ่นเชิด มันก็ได้แทรกซึมเข้าไปในร่าง กระทั่งถูกดูดกลืนไปโดยกระดูก

“ไอ้หมอนี่ใช้ศิลารอยหมึกสวรรค์เพิ่มพลังให้กับหุ่นเชิดศพอย่างง่ายๆ เช่นนี้”

“การสาดผงลงไปตรงๆ เช่นนี้ ไม่ได้เปลี่ยนให้กลายเป็นของเหลวนับว่าเลินเล่อเสียเปล่ายิ่งนัก”

อัจฉริยะจากตำหนักผาดำ เมื่อเห็นการกระทำของจ้าวเฟิงต่างก็เต็มไปด้วยความริษยาเกลียดชัง

จ้าวเฟิงยังคงไม่ขยับเคลื่อนไหว ศิลารอยหมึกสวรรค์ที่เทลงบนร่างของหุ่นเชิดศพทั้งสองนั้นได้ถูกกระตุ้นควบคุมโดย ‘เปลวเพลิงวิญญาณอัสนี’ ของเขา สนับสนุนหุ่นเชิดในการดูดกลืนและฝึกฝนร่างกาย

โดยปกติแล้ว เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีนับเป็นขั้วตรงข้ามของภูตผี

ทว่าจ้าวเฟิงใช้เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ก่อให้เกิดผลในการกระตุ้นพัฒนาขึ้นแทน เพิ่มความรวดเร็วในการดูดกลืนพลัง

“ศิลารอยหมึกสวรรค์สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายและกระดูกได้ ทว่าผลของมันนั้นยากที่จะรับมือ อาจทำลายร่างกายได้อย่างง่ายดาย ทำให้เกิดความเสียหายที่ยากจะฟื้นฟู ทว่าหากสิ่งนี้ใช้ในการเพิ่มพลังให้กับศพและโครงกระดูกจะส่งผลมากกว่าเดิมสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งหนึ่งจากเดิม”

จ้าวเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

เมื่อเห็นว่าจ้าวเฟิงใช้เปลวเพลิงวิญญาณอัสนีในการพัฒนาศพ ชื่อกุ้ยที่อยู่ไม่ห่างออกไปก็เผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมา

กลวิธีนี้ของจ้าวเฟิงแม้จะดูเหมือนหยาบกระด้าง ทว่าในเวลาสั้นๆ กลับสามารถเพิ่มความเร็วในการดูดกลืนพลังของซากศพได้อย่างมหาศาล

เมื่อเห็นว่าหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ที่ดูค่อนข้างอ้วนก่อนหน้า ภายใต้การเผาผลาญของเปลวเพลิงวิญญาณอัสนี ร่างกายก็หดตัวเข้าหากัน ร่างกายสูงใหญ่สง่างาม ไม่ได้ดูอวบอ้วนเช่นเดิม

“แม้ว่าคุณภาพของหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองนี่จะไม่พัฒนาขึ้น ทว่าร่างกายกระดูกของพวกมัน รวมทั้งพลังป้องกันได้แข็งแกร่งขึ้น สามารถรับการโจมตีทั่วไปของขั้นนายเหนือแท้ได้ การโจมตีจากผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้แทบจะเรียกได้ว่าไร้ผล”

ชื่อกุ้ยลอบประหลาดใจ

เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้น จ้าวเฟิงก็กระตุ้นธาตุน้ำแข็งในพลังสายเลือดของตนเอง

ร่างของหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองพลันถูกแช่แข็ง จากนั้นจึงถูกเก็บเข้าไปในบัวดำโดยจ้าวเฟิง

“สร้างภาระให้ร่างกายด้วยเพลิงอัสนีก่อน จากนั้นจึงใช้พลังความเย็นในการสร้างสมดุลให้กับร่างศพ…”

ชื่อกุ้ยยิ่งมองก็ยิ่งตะลึง

เขาเชื่อว่าวิธีการเหล่านี้ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวโดยบังเอิญของจ้าวเฟิง

เด็กหนุ่มที่เพิ่งก้าวเดินในศาสตร์แห่งซากศพไม่นาน จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะสามารถเข้าใจถึงวิธีการเสริมสร้างศพได้รวดเร็วเพียงนี้

มีหรือที่เขาจะรู้ว่า ‘วิชาเชิดศพหกจักรพรรดิ’ ที่จ้าวเฟิงกวาดอ่านไปก่อนหน้า เด็กหนุ่มได้เข้าใจไปกว่าสี่ห้าส่วนแล้ว

ที่สำคัญไปกว่านั้น ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงยังสังเกตหุ่นเชิดศพอย่างละเอียด ราวกับว่ามีสัญชาตญาณพรสวรรค์อยู่มาก เมื่อผ่านจุดหนึ่งไปก็กระทั่งสามารถใช้ออกได้อย่างไหลลื่น

“ด้วยพลังน้ำแข็งจากสายเลือดของข้าแช่แข็งมันไว้สักหลายชั่วยาม ร่างกายของหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองนี่จะแข็งแกร่งขึ้นได้ในระยะเวลาสั้นๆ ระดับก็คงจะเพิ่มขึ้นเล็กๆ”

สตินึกคิดของจ้าวเฟิงออกจากการใช้บัวดำ

ทุกวันนี้ พลังต่อสู้ของหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ของเขานั้นยากที่จะหาคู่ต่อสู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นนายเหนือแท้ได้

เด็กหนุ่มกระทั่งคาดเดาว่าหากหุ่นเชิดศพสัมฤทธิ์ทั้งสองร่วมมือกันยังสามารถต่อต้านการโจมตีจากขั้นนายเหนือแท้ได้ส่วนหนึ่ง

ไม่นาน

สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั้งสามก็เร่งรีบอยู่ด้านหน้า

การเพิ่มพลังให้กับหุ่นเชิดของจ้าวเฟิง เย่หยานหยูไม่ได้ใส่ใจ นางค่อนข้างขยะแขยงซากศพเหล่านี้อยู่เป็นทุนเดิมจึงไม่แม้แต่จะชายตามอง

ในยามนี้ นางกำลังรู้สึกมีความสุขอย่างมากกับผลผลิตที่นางเก็บเกี่ยวได้และที่แมวขโมยตัวน้อยนำมาให้

ทั้งหมดนี้ได้ตกอยู่ในสายตาของจ้าวเฟิง เด็กหนุ่มลอบผงกศีรษะอยู่ในใจ: แผนครึ่งแรกเป็นไปด้วยดี

อาจกล่าวได้ว่าแผนการที่คิดไว้นั้นยังมีเรื่องน่าประหลาดใจและยินดีมากกว่าที่คาด

ตัวอย่างเช่น การได้ครอบครองศิลารอยหมึกสวรรค์และน้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทราระหว่างทาง

จ้าวเฟิงรักษาสีหน้า ไล่ตามสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้เบื้องหน้าไปอย่างกระชั้นชิด

ทันใดนั้น

ผนังภูเขาพลันปรากฏหินที่ส่องประกายสีดำขึ้น ไอสวรรค์เข้มข้นกว่าปกติ

ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกาย ในสภาพแวดล้อมที่สุดยอดเช่นนี้ หากไม่มีสมบัติชั้นยอดปรากฏขึ้นนับว่ายากนัก

แน่นอน

สามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ที่อยู่เบื้องหน้าพลันเผยความยินดีออกมาทั้งในสีหน้าและวาจา

“ผลโลหิต เป็นผลโลหิตจริงๆ ตราบเท่าที่กินผลไม้นี่เข้าไป พลังฝึกตนของเขา และกระทั่ง ‘วิชาโลหิตมารสะท้อนจันทร์’ ก็จะพัฒนาขึ้น ในยามนั้น แม้กวาดตามองอัจฉริยะทั้งหมดที่เข้ามาในซากปรักหักพัง พลังของข้าก็สามารถนับว่าติดหนึ่งในสามได้”

ร่างของชายหนุ่มชุดสีเลือดสั่นสะท้านเล็กๆด้วยความยินดีตื่นเต้น

ผลโลหิต สำหรับผู้ฝึกฝนศาสตร์แห่งโลหิตแล้วนั้นว่าเป็นสมุนไพรที่ส่งผลได้ยอดเยี่ยมที่สุด

แม้ว่าจะไปตกอยู่ในกำมือของยอดฝีมือผู้อื่นก็จะเพิ่มพลังฝึกตนขั้นอย่างรวดเร็ว นับว่าเป็นยอดสมบัติหายาก

ตัวอย่างเช่นจ้าวเฟิง เพราะเขามีขอบเขตจิตวิญญาณขั้นนายเหนือแท้ ตราบเท่าที่ได้ครอบครอง ‘ผลโลหิต’ หากปิดด่านฝึกตนสักสี่คืนก็จะสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นนายเหนือแท้ได้

ในยามนี้

ถ้ำได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว

ผนังภูเขาเบื้องหน้าได้ส่องประกายสีดำสนิท เป็นวัสดุคุณภาพสูง มีพลังวิญญาณที่ไม่อาจอธิบาย มีมูลค่าไม่น้อย

บนผนังภูเขาที่ส่องประกายนั้นได้ปรากฏยอดสมบัติโบราณล้ำค่าอยู่หลายอย่าง แต่ล่ะอย่างล้วนเทียบได้กับ ‘น้ำค้างยอดไผ่ตะวันจันทรา’ ที่จ้าวเฟิงได้ครอบครองก่อนหน้า

ตัวอย่างเช่น ‘ผลโลหิต’ นี้และยอดสมบัติหายากอื่นๆ อีก 4-5 ชนิด

ผลโลหิตมีขนาดราวๆ กำปั้น ผิวของมันส่องประกายสีแดงสดโปร่งใส ปราณจิตวิญญาณแพร่กระจายออกมาอย่างเห็นได้ชัด

จ้าวเฟิงยืนอยู่ที่รอบนอก ดวงตาเทพเจ้ากวาดมองอย่างรวดเร็วเห็น ‘เห็ดอินตู๋’ รวมทั้ง ‘หญ้าคืนชีวิต’

เห็ดอินตู๋เป็นเห็ดหน้าตาธรรมดาที่ดูเน่าเปื่อย ให้ความรู้สึกหนักหน่วงหดหู่

หญ้าคืนชีวิตงอกขึ้นในบริเวณที่ต้องทั้งแสงตะวันจันทรา ส่องประกายสีเขียว ส่งกลิ่นอายจิตวิญญาณบริสุทธิ์ที่ไม่มีวันดับสูญออกมา ทำให้ทุกชีวิตรู้สึกคุ้นเคยอย่างอธิบายไม่ได้

“เห็ดอินตู๋… นี่คือสมบัติในการฝึกฝนซากศพที่ยอดเยี่ยม หากได้ครอบครองเห็ดพิษนี้ หุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ทั้งสองของข้าย่อมพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด”

ชื่อกุ้ยพยายามอดกลั้นความตื่นเต้นที่ล้นทะลักในใจ

ในยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ทั้งสาม มีเพียงคิ้วงดงามของเย่หยานหยูที่มุ่นเข้าหากันเล็กๆ

แม้ว่าถ้ำนี้จะมีบรรยากาศมืดหม่น ปราณหยินกลับเข้มข้นยิ่งนัก ยอดสมบัติล้ำค่าส่วนมากในที่แห่งนี้กลับไม่มีประโยชน์ต่อศิษย์สำนักฝ่ายธรรมะเช่นนางนัก

“หญ้าคืนชีวิตนั่น หากนำกลับไปยังสำนัก ในอนาคตย่อมสามารถช่วยคนได้ ในเวลาสำคัญอาจนับได้ว่าเป็นชีวิตที่สอง หากได้ครอบครองผลโลหิตก็จะสามารถเพิ่มพลังฝึกตนของข้าได้”

นัยน์ตางดงามของเย่หยานหยูส่องประกายวูบ ปรึกษากับแมวขโมยตัวน้อย

เมี้ยว เมี้ยว

แมวขโมยตัวน้อยออกท่าทาง

“ความคิดดี สำหรับสิ่งของมารที่ไร้ค่าสำหรับข้าก็ควรทำลายทิ้งเสีย ไม่อาจปล่อยให้พวกมันเหนือกว่าได้”

เย่หยานหยูผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้ม

แผนของแมวขโมยตัวน้อยนั้นโหดเหี้ยมไร้เมตตา บนกำแพงภูเขานั้นได้ปรากฏสมบัติล้ำค่าชั้นยอดอยู่หลายชนิด ทว่าที่มีประโยชน์ต่อเย่หยานหยูอย่างแท้จริงกลับมีน้อยกว่าหนึ่งในสาม

นางไม่อาจปล่อยให้อีกสองฝ่ายเก็บพวกมันไปได้ การทำลายเมื่อเทียบกับการเก็บเกี่ยวแล้วยังนับว่าง่ายดายกว่า

“ไม่อาจปล่อยให้เย่หยานหยู สตรีผู้นี้ทำลายโอกาสทองของพวกเราได้”

เสียงคำรามต่ำของชายหนุ่มชุดสีเลือดดังขึ้น สบตากับชื่อกุ้ย

เมื่อเย่หยานหยูเคลื่อนไหว สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้อีกสองคนก็พลันพุ่งกายเข้าโจมตีหญิงสาว

“ทุกคนลงมือ”

ยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสุดยอดบางส่วนของทั้งสองฝ่ายสนับสนุนชื่อกุ้ยและชายหนุ่มชุดสีเลือด

ในเวลาสำคัญนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมมือกันรับมือเย่หยานหยู

ยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้จากตำหนักผาดำและตำหนักมารจันทราที่เสียเปรียบเย่หยานหยูมาโดยตลอด ยามนี้ได้ระเบิดออกอย่างกราดเกรี้ยวในที่สุด

จะอย่างไรยอดสมบัติบนกำแพงหินสีดำที่ส่องประกายนั้นก็มีสิ่งที่สามารถเพิ่มพลังขึ้นอย่างมหาศาลได้ โอกาสนี้ สองยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ย่อมไม่ลังเลที่จะเปิดสงครามกับเย่หยานหยู

“โอ้ อันใดกัน ไม่มีการเจรจาตกลงกันหน่อยหรือ”

จ้าวเฟิงลอบเร้นออกจากสายตาผู้คนไปมุมหนึ่ง แสดงท่าทีไม่เข้าร่วมการต่อสู้

พลังของเขาเป็นรองเพียงสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ ไม่เข้าแย่งชิงสมบัติ ไม่เข้าร่วมการต่อสู้ ยอมที่จะก้าวถอยไปข้างๆ ด้วยตนเอง คนอื่นๆ ย่อมไม่ไล่ล่าตามไปโจมตีเขา

ความจริงแล้ว

ความวุ่นวายนี้คือสิ่งที่จ้าวเฟิงคาดหวัง

ชื่อกุ้ยและเย่หยานหยูรับรู้ถึงการกระทำของจ้าวเฟิง พวกเขาต่างคิดว่าจ้าวเฟิงอาจรอโอกาสในการฉกฉวยยามที่คนตกอยู่ในอันตราย

ผู้ใดเล่าจะคาดคิด

เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวนั่งลงที่มุม ราวกับว่ายอดสมบัติบนกำแพงเหล่านั้นไม่อาจสั่นคลอนเขาได้

มันไม่ใช่ว่าจ้าวเฟิงไม่หวั่นไหวกับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น ทว่าเป็นเพราะเขาไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ และไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้

ยอดสมบัติเหล่านั้นย่อมตกเป็นของสามยอดฝีมือขั้นนายเหนือแท้ ทั้งสามได้เข้าปะทะกันสามมุม พลังอาจกล่าวได้ว่าน่าตื่นตะลึง เพียงแค่ลูกหลงก็สามารถกวาดร่างของผู้ฝึกตนขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูงออกไปได้แล้ว

ที่สำคัญไปกว่านั้น แผนเขาก็ได้เข้าสู่ช่วงที่สำคัญที่สุดแล้ว

“เย่หยานหยูที่รัก เจ้าถอยออกไปสิบหลาให้ข้ากับคนอื่นๆ เก็บสมบัติก่อน”

ดาบจันทร์เสี้ยวโลหิตในมือของชายหนุ่มชุดสีเลือดวาดออก วงแสงส่งกลิ่นอายกระหายเลือดพุ่งตรงไป เผยให้เห็นจันทร์เสี้ยวสีโลหิตขนาดยักษ์ตรงไปยังร่างของเย่หยานหยู กัดกร่อนอย่างไม่หยุดยั้ง

“ลุย !”

ชื่อกุ้ยสละหุ่นเชิดศพลายเงินขั้นนายเหนือแท้ของตนเองตัวหนึ่งไปพัวพันอยู่กับเย่หยานหยูในระยะประชิด

“เนตรมารทมิฬ”

นัยน์ตาของชื่อกุ้ยส่องแสงเจือจางบิดเบี้ยวอย่างแปลกประหลาด ใจกลางได้ปรากฏ ‘ความว่างเปล่า’ ขึ้น

สายเลือดเนตรมารทมิฬ

“เนตรวิญญาณอาฆาต”

‘เนตรมารทมิฬ’ ของชื่อกุ้ยเผยให้เห็นก้อนพลังส่องแสงสีดำจาง ตามมาด้วยกลิ่นอายหดหู่หนาวเยือกของวิญญาณที่ครอบคลุมร่างของเย่หยานหยูไว้ในเสี้ยววินาที

ใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ รับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบหดหู่ที่กัดกินจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง

ดวงตาเทพเจ้าของเขารับรู้ได้ถึงวิญญาณอาฆาตและวิญญาณปีศาจที่ไม่อาจมองเห็นกำลังใช้กรงเล็บขาวสะอาดแหลมคมของมันเกาะเกี่ยวไปทั่วทั้งร่างของ ‘เย่หยานหยู’ ทั้งทิ่มแทง ฉุดรั้ง ลามเลีย เผยรอยยิ้มโหดเหี้ยมออกมา ภาพนั้นดูราวกับอยู่ในนรก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version