บทที่ 479 หลังจากที่พลังดวงตาทะลวงขั้น
หลังจากผ่านไปหลายวัน
พันธมิตรสังหารมังกรนำโดย ‘ผู้เฒ่าซู่’ ได้กลับไปยังแคว้นเมฆา มาถึงยังประตูเข้าหุบเขาสำนักจันทร์สลาย
ในแคว้นเมฆา สำนักจันทร์สลายได้กลายเป็นฐานที่มั่นในการต่อต้านพันธมิตรมังกรโลหะ
ในเวลาสั้นๆ ไม่กี่เดือน ระดับอำนาจของสำนักจันทร์สลายก็ได้เพิ่มขึ้น 1-2 เท่า นับว่าได้ก้าวเข้าสู่ความรุ่งเรืองเหนือกว่าในอดีตหลายร้อยปีที่ผ่านมา ในสิบสามสำนัก นับว่าเป็นสำนักชั้นแนวหน้า
หลังจากที่เข้ามาในหุบเขา จ้าวเฟิงก็ยังคงหลับลึกเช่นก่อนหน้าและถูกดูแลโดยองค์หญิงจิงและคนอื่นๆ ทว่าผู้เฒ่าซู่ได้เริ่มการเคลื่อนย้ายทัพพันธมิตรสังหารมังกรในแคว้นเมฆามายังชายแดนของสิบสามแคว้นและเริ่มการค้นหา ทั้งหมดเป็นเช่นที่ผู้เฒ่าซู่คาดการณ์ พันธมิตรมังกรโลหะที่สูญเสีย ‘เสาหลัก’ ไปก็ไร้ซึ่งระบบระเบียบ กองทัพของสิบสามแคว้นสามารถถอนรากถอนโคนได้ กระทั่งยอมแพ้โดยไม่ต่อสู้
ทั้งหมดนี้
‘ชางหยูเยว่’ แห่งสำนักดาบเมฆาได้เข้าร่วมการค้นหา ไล่ล่าอยู่ภายในแคว้นใหญ่มังกรโลหะ ไม่มีผู้ใดสามารถต้านทานนางได้
หลังจากวันนั้นที่ต่อสู้กับจ้าวเฟิง พลังฝึกตนและความเข้าใจในศาสตร์แห่งดาบของชางหยูเยว่ได้พัฒนาไปอย่างมาก นับว่าไร้พ่ายในฐานะของนักดาบ แน่นอนว่ามันมีอีกเหตุผลหนึ่ง: ในยามนี้ ยักษ์ใหญ่ของพันธมิตรมังกรโลหะได้ถูกจ้าวเฟิงจัดการไปจนหมดสิ้น บ้างก็ตาย บ้างก็ได้รับบาดเจ็บ ไม่มีผู้ใดสามารถจัดการแก้ไขปัญหาได้
ทว่าเป็นเช่นที่คาดเอาไว้ สถานการณ์ของแคว้นเมฆาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากตามกาลเวลา
หนึ่งเดือนหลังจากที่จ้าวเฟิงหลับลึก ค่ายของพันธมิตรสังหารมังกรได้นำสำนักใหญ่เล็กเข้าตอบโต้สองแคว้นใหญ่
‘แคว้นสมบัตินภา’ ได้ถูกพันธมิตรสังหารมังกร ‘ทวงคืน’ มาได้เป็นที่แรก
จะอย่างไร ฐานที่มั่นเดิมของพันธมิตรสังหารมังกรก็คือ ‘เจ็ดสำนักสมบัตินภา’ และมีผู้เฒ่าซู่เป็นผู้นำของเจ็ดสำนักสมบัตินภา
ดังนั้นแล้ว เมื่อกลับไปยังแคว้นใหญ่สมบัตินภา นับว่าเป็นร่วมมือกันจากภายในและภายนอก ไร้ซึ่งข้อจำกัด
หลังจากที่ได้รับ ‘แคว้นใหญ่สมบัตินภา’ คืนมา พลังอำนาจมหาศาลของพันธมิตรสังหารมังกรก็ได้สร้างแรงกดดันไปยังพันธมิตรมังกรโลหะ
จนกระทั่งวันนี้ พันธมิตรสังหารมังกรได้ทะลวงฝ่าเข้าไปโดยไร้ซึ่ง ‘อุปสรรค’
แคว้นใหญ่มังกรโลหะ ท่ามกลางทะเลทรายรกร้าง
ปราสาทใหญ่โตที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหดหู่ท่ามกลางสายลมที่พัดพาฝุ่นทรายสีเหลืองมา บนพื้นเต็มไปด้วยโครงกระดูกที่สะดุดตา
“ผู้เฒ่าซู่ นี่คือปราสาทโบราณที่เป็นรังมังกรของพันธมิตรมังกรโลหะ ภายในมีคนของลัทธิมารจันทราชาดหลงเหลืออยู่จำนวนมาก”
“ข้าและคนอื่นๆ โจมตีไปหลายครั้ง เสียหายไปอย่างมากทว่ากลับไร้ซึ่งความคืบหน้า”
ร่างที่มีพลังในขั้นผู้วิเศษแท้หลายคนยืนนิ่งอยู่บนทรายสีเหลือง หน้านิ่วคิ้วขมวด
ผู้เฒ่าซู่ยืนสองมือไพล่หลัง จ้องมองไปยังปราสาทเก่าแก่ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ทั่วทั้งปราสาทเก่าแก่นั้นโอบล้อมไปด้วยพายุทรายรุนแรง เบื้องหน้าของปราสาทนั้นยังปรากฏ ‘หมอกสีเทาดำ’ แปลกประหลาด ทำให้ไม่อาจมองเห็นภาพภายในได้อย่างชัดเจน
ผู้ที่มีพลังฝึกตนต่ำกว่าขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง เมื่อเข้าไปใกล้หมอกสีเทาดำรอบปราสาท เลือดเนื้อจะเหี่ยวแห้งลงอย่างรวดเร็ว หลงเหลือเพียงกองกระดูก
รอบปราสาทเก่านั้นเต็มไปด้วยซากโครงกระดูกจำนวนมาก
หลังจากผ่านไปครึ่งวัน
ฟู่วว
เบื้องหน้าปราสาทเก่าแก่ได้ปรากฏพายุทรายขึ้น
ยอดฝีมือของพันธมิตรสังหารมังกรกว่า หนึ่งถึงสองพันคนไร้ซึ่งคำพูดใด แม้แต่จะเข้าไปครึ่งก้าวก็ยังยาก
“รายงานผู้เฒ่าซู่ คน 50-60 คนที่เข้าไปในหมอกสีหม่นนั่นตายแล้ว”
“ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วยาม ยอดฝีมือขั้นผู้วิเศษแท้คนหนึ่งและขั้นมนุษย์แท้อีกสี่คนที่เข้าไปสืบภายในปราสาทเก่านั่นขาดการติดต่อไปแล้ว”
ข่าวได้ถูกส่งมายังใจกลางค่ายของพันธมิตรสังหารมังกร
ผู้เฒ่าซู่ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน มองไปยังปราสาทที่ตั้งอยู่บนผืนทรายสีเหลือง
ยามที่ตรววจสอบปราสาทเก่าแก่นั้นด้วยประสาทสัมผัสจิตวิญญาณ ผู้เฒ่าซู่รับรู้ได้ถึงความเย็นเยียบและกระวนกระวายที่ไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
ในตอนนั้น
ท่ามกลางก้อนเมฆได้ปรากฏร่างของชายหนุ่มใบหน้าราบเรียบ แต่งกายด้วยชุดสีดำบินมา
“เจ้ามาพอดีหลินทง ไอ้ปราสาทแปลกๆ นี่เจ้ารู้รายละเอียดอันใดหรือไม่?”
สายตาของผู้เฒ่าซู่และคนอื่นๆ เบนไปมองยังชายหนุ่มชุดสีดำ
ในด้านหนึ่ง หลินทงคือข้ารับใช้ของจ้าวเฟิง ไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังคำสั่งของพันธมิตรสังหารมังกร
ทว่าในยามนี้ ผู้เฒ่าซู่ได้ส่งคำเชิญหลินทงมา
หลินทงเอ่ยว่า “ปราสาทเก่าแก่นี่แต่เดิมเป็นสิ่งก่อสร้างของลัทธิมารจันทราชาดที่หลงเหลือ ความเป็นมาของมันลึกลับ แม้แต่ข้าเองก็ไม่รู้มากนัก ค่ายกลโจมตีที่ครอบคลุมอยู่รอบปราสาทมีชื่อเรียกว่า ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ ”
หลินทงเอ่ยตอบ
ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ
คนระดับสูงจำนวนมากในบริเวณนั้นเมื่อได้ยินชื่อนี้จิตใจก็หนาวเยือก
โดยเฉพาะเศษซากโครงกระดูกที่กองสุมอยู่หน้าปราสาทเก่านั้นดูจะไม่ผิดแผกไปจากชื่อของ ‘ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ’ แม้แต่น้อย
“หากเป็นค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณก็ย่ำแย่แล้ว ค่ายกลนี่ข้าเคยได้ยินมาจากลัทธิมารจันทราชาดในอดีต มันถูกกล่าวไว้ว่าสามารถทำลายแผนการการเอาคนมากเข้าว่าได้”
ในฝูงชน ชายชราขั้นผู้วิเศษแท้ผู้หนึ่งอดที่จะทอดถอนใจอย่างขมขื่นไม่ได้
“อืม มันไม่เพียงแค่ไม่หวาดกลัวกลยุทธ์เอาคนมากเข้าว่า ทว่าเมื่อได้กลืนกินเลือดเนื้อปราณเข้าไป พลังของค่ายกลก็จะยิ่งมากมายขึ้น เจ้าส่งคนจำนวนมากไปโจมตี ทว่ากลับกลายเป็นอาหารเสริมให้กับมันแทน”
หลินทงไร้ซึ่งความเมตตาสงสาร ท่าทีราวกับไม่ใช่เรื่องของตนเอง
คนระดับสูงของพันธมิตรสังหารมังกรหลายคนรู้สึกไม่พอใจ สีหน้าเลวร้ายลง
หลินทงผู้นี้ ก่อนหน้าที่จะศิโรราบให้แก่จ้าวเฟิงคืออัจฉริยะที่ลัทธิมารจันทราชาดทุ่มเทฝึกฝน
บัดนี้ ท่าทียินดีในคราเคราะห์ของผู้อื่นของอีกฝ่ายทำให้ผู้คนที่เพิ่งจะยอมรับสภาพรู้สึกไม่พอใจหงุดหงิดอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะหลินทงคือข้ารับใช้ของจ้าวเฟิง บางทีพวกเขาอาจจะร่วมมือกันลงมือจัดการอีกฝ่ายไปแล้ว
ผู้เฒ่าซู่เอ่ยขึ้นอย่างลังเล “น้องจ้าวในยามนี้ตื่นขึ้นหรือยัง?”
“สิบวันก่อนนายท่านตื่นขึ้นมา หรือมิเช่นนั้นข้าย่อมไม่รับคำสั่งยอมมาทำเรื่องวุ่นวายพวกนี้”
หลินทงยักไหล่
เขาถูกบีบบังคับให้ยอมศิโรราบกับจ้าวเฟิงโดยมีชีวิตเป็นประกัน นอกจากจ้าวเฟิงแล้ว หลินทงจะไม่เชื่อฟังคำสั่งผู้อื่น
เป็นเช่นนั้นเอง ผู้คนตระหนักขึ้นได้ อารมณ์ของหลินทงผู้นี้จู่ๆ ก็กระตือรือร้นนับว่าไร้เหตุผล นับว่าไม่ตรงตามที่ผู้คนคาดคิดไว้
“เป็นน้องจ้าวตื่นขึ้นมาแล้วนี่เอง แล้วเมื่อใดกันที่เขาจะตามมา?”
ผู้เฒ่าซู่ถอนหายใจโล่งอก
หากจะพูดตามตรง หลังจากที่จ้าวเฟิงได้สติขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดในแคว้นเมฆาก็เป็นไปได้
“นายท่านกำลังฝึกฝนอยู่ อาจจะเพียงไม่กี่วัน หรืออาจเป็นหนึ่งถึงสองเดือน จึงจะออกมา”
หลินทงมีสีหน้าไม่แยแส
“น้องจ้าวได้เอ่ยสิ่งใดมาหรือไม่?” ผู้เฒ่าซู่ถาม
“นายท่านบอกว่า: หลังจากที่ออกมาครั้งนี้ เขาจะไม่อยู่นาน จะออกไปจากแคว้นเมฆา”
หลินทงเอ่ยตอบ
“ออกจากแคว้นเมฆา?”
ผู้คนในบริเวณนั้นอดที่จะเบิกตากว้างไม่ได้
นี่มันสถานการณ์อันใดกัน?
ควรรู้ว่าค่ายของพันธมิตรสังหารมังกรกำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบากมหาศาล รังมังกรของลัทธิมารจันทราชาดนั้นหากไม่รีบจัดการ มันย่อมสร้างอันตรายให้แก่แคว้นเมฆาอย่างมาก
“อย่าได้บอกข้าเชียวว่าจ้าวเฟิงมั่นใจในความแข็งแกร่งหลังจากที่ออกจากการปิดด่านอย่างมาก ในเวลาสั้นๆ จะสามารถทำลายรังมังกรของลัทธิมารจันทราชาดได้?”
คนระดับสูงของพันธมิตรสังหารมังกรบางคนรู้สึกประหลาดใจและไม่แน่ใจ
หลินทงยืนสองมือไพล่หลัง ไม่เอ่ยคำพูดใด คำถามคำพูดของคนผู้อื่น เขากระทั่งเผยความเหยียดหยามเล็กๆ ออกมา
ความคิดของเขานึกย้อนไปสั้นๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว โดยเฉพาะภาพที่ปรากฏขึ้นในสมอง: หลังจากที่จ้าวเฟิงได้สติขึ้นมา ดวงตาซ้ายของเขาได้ส่องกลิ่นอายพลังดวงตาออกมาจางๆ… กระทั่งบัดนี้ หลินทงก็ยังคงหวาดกลัวอยู่
“ทุกคนรับคำสั่ง อย่าเพิ่งโจมตีโดยพลการ”
ในยามนี้ ผู้เฒ่าซู่ถ่ายทอดคำสั่งออกไป
ผู้เฒ่าซู่ตัดสินใจว่าจะรออยู่สี่วัน ก่อนจะตัดสินใจโจมตีปราสาทเก่าแก่นั้นอีกครั้ง
สีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปสั้นๆ ของหลินทงไม่ได้หลุดรอดไปจากสายตาของผู้เฒ่าซู่
“หลังจากที่จ้าวเฟิงออกจากการปิดด่านครั้งหน้า พลังย่อมเพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง แล้วเหตุใดเขาจึงจะออกจากแคว้นเมฆากะทันหันเช่นนี้?”
ในใจของผู้เฒ่าซู่ปรากฏความกระวนกระวายขึ้น หลินทงที่ยินอยู่ใกล้ ๆได้ปิดเปลือกตาลง ไม่เอ่ยคำใดอีกต่อไป
ในเสี้ยวพริบตา เวลาหลายวันผ่านพ้นไป
ฟึ่บ ฟึ่บ
กลิ่นอายดุดันคล่องแคล่วสองกลิ่นอายได้ปรากฏขึ้นจากอีกฝากของทะเลทราย
เสียงแหวกอากาศนั้นดังขึ้นพร้อมกับเศษเสี้ยวจิตแห่งดาบที่น่าพรั่นพรึง ราวกับว่าจะนำพาเจตจำนงของผู้เป็นนายข้ามผ่านมา
“ชางหยูเยว่”
“จอมดาบอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเมฆา”
เบื้องหน้าปราสาทเก่าแก่ ยอดฝีมือจำนวนมากของแคว้นเมฆาอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมา
ผู้มาใหม่ทั้งสอง เด็กสาวงดงามในชุดสีขาวคือชางหยูเยว่
ผู้ที่มาพร้อมนางคือสตรีงดงามในชุดสีขาว
“ไม่ดีแล้ว เป็นสตรีผู้นี้…”
จิตใจของหลินทงหนาวเยือก รับรู้ถึงบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว
ก่ อนหน้า เบื้องหน้าสำนักจันทร์สลาย ผู้เฒ่าไป๋ผู้นี้ได้พยายามฆ่าเขา หากไม่ใช่เพราะจ้าวเฟิงปรากฏตัวขึ้นทันเวลา สิ่งที่ตามมาก็น่าสยดสยองยิ่งนัก
“ค่ายกลกลืนหมื่นวิญญาณ”
ผู้เฒ่าไป๋จ้องมองไปยังโครงกระดูกที่กองสุมอยู่รอบปราสาทเก่าแก่ สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง หลุดปากพูดออกมา
สมแล้วที่นางเป็นผู้อาวุโสที่มากอำนาจคนหนึ่งของสำนักหมื่นดาบ เพียงกวาดตามองก็รับรู้ถึงค่ายกลที่ล้อมรอบปราสาทเก่าแก่นั้นอยู่
“ผู้อาวุโสไป๋ ค่ายกลนี่ร้ายกาจมากหรือไม่?”
ในน้ำเสียงของชางหยูเยว่เผยให้เห็นถึงความมั่นใจในตนเอง
“กลยุทธ์เอาคนมากเข้าว่าเป็นสิ่งต้องห้าม จะทำเพียงเพิ่มพลังให้แก่มัน หากต้องการที่จะทำลายมันมีเพียงวิธีเดียวคือการใช้ยอดฝีมือทะลวงฝ่าเข้าไปในปราสาท แต่หากมียอดฝีมือที่ร้ายกาจคอยบังคับควบคุมด้วยตนเอง เช่นนั้นก็เลวร้ายแล้ว…”
สีหน้าของผู้อาวุโสไป๋เลวร้ายลง
ด้วยเหตุใดไม่ทราบ ในปราสาทได้ปรากฏกลิ่นอายคลุมเครือที่ทำให้ผู้อาวุโสไป๋รู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ไร้ที่มา
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป
เบื้องหน้าปราสาทเก่าแก่ได้มียอดฝีมือมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ในระหว่างนั้น ยอดฝีมือบางคนได้เข้าไปตรวจสอบภายในปราสาทเก่า ทว่าผลนั้นชัดเจน คือไม่อาจย้อนกลับมาได้ ฝ่ายพันธมิตรสังหารมังกร สีหน้าของผู้เฒ่าซู่ราบเรียบ วางกองทัพเอาไว้เฉยๆ
ในเวลาเดียวกัน
สำนักจันทร์สลาย ในตำหนักที่มืดหม่น
ครืนนนน
ดวงตาทั้งสองของเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินปิดแน่น ฝ่ามือแบออกอย่างเชื่องช้า ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายเย็นเยียบที่แพร่กระจายออกมา บรรยากาศเย็นเยียบนี้ส่องประกายสีน้ำเงินระยิบระยับ มีพลังทะลุทะลวงเข้าแช่แข็งดวงวิญญาณ
ในยามนี้
‘ครืนนน’
ในฝ่ามือของเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินพลันปรากฏ ‘เงาหอกสีฟ้าเย็น’ โปร่งใสขึ้น เมื่อ ‘เงาหอกสีฟ้าเย็น’ นั้นปรากฏขึ้น บรรยากาศรอบด้านก็พลันสั่นไหวเล็กๆ
บรรยากาศเย็นยะเยือกอย่างน่าพรั่นพรึงไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึง มันได้โอบล้อมไปทั่วบริเวณ ไอสวรรค์ถูกแช่แข็งในเสี้ยววินาที กลิ่นอายที่น่าพรั่นพรึงนี่เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ต้องรู้สึกทรมาน
“ในที่สุดก็สามารถใช้หอกจักรพรรดิเหมันต์ได้ในรูปแบบของเศษเสี้ยวพลัง หากเป็นก่อนที่ดวงตาเทพเจ้าจะวิวัฒนาการ พลังสายเลือดของข้าย่อมไม่อาจดูดกลืนได้ถึงระดับนี้”
จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก รู้สึกยินดีอย่างไม่อาจอธิบายเป็นคำพูดได้
ในยามนี้
ในฝ่ามือของได้ปรากฏ ‘เงาหอกสีฟ้าเย็น’ ที่เป็นเงาที่แตกหักของอาวุธวิเศษชั้นพิภพ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ขึ้น
เรื่องน่ายินดีที่การทะลวงขั้นนี้นำมาไม่ได้ด้อยไปกว่าการที่ดวงตาเทพเจ้าวิวัฒนาการแม้แต่น้อย
ผ่านไปครึ่งลมหายใจ
เงาที่แตกหักของอาวุธชั้นพิภพในมือของจ้าวเฟิงจางหายไปอย่างกะทันหันสีหน้าของเด็กหนุ่มปรากฏความเหนื่อยล้าขึ้นเล็กๆ ก่อนจะปิดเปลือกตาลง
ในมิติในดวงตาซ้าย
ทะเลสาบขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายจ้าง เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังดวงตาสีน้ำเงินเข้มราวกับน้ำในทะเลสาบ ผิวน้ำราบเรียบ
เมื่อความคิดของจ้าวเฟิงเริ่มเคลื่อนไหว ใจกลางทะเลสาบสีน้ำเงินเข้มนั้นก็ปรากฏน้ำวนขนาดเล็กขึ้นก่อนจะขยายไปทั่วทั้งทะเลสาบ
ดังนั้น หลังจากที่จ้าวเฟิงกลับมายังแคว้นเมฆา การวิวัฒนาการของดวงตาเทพเจ้าก็เสร็จสมบูรณ์ในที่สุด
ในยามนี้ พลังดวงตาในมิติในดวงตาซ้ายได้อยู่ในรูปลักษณ์ของ ‘น้ำในทะเลสาบ’ ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 14.5 จ้าง
นอกจากนั้น
ในซากปรักหักพังสือเฉิงในอดีต ดวงตาเทพเจ้ายังได้ดูดกลืนเปลี่ยนแปลงแก่นแท้จิตวิญญาณพฤกษา พลังที่หลงเหลืออยู่ของแก่นแท้วิญญาณได้ถูกดูดกลืนไปจนหมดหลังจากการเปลี่ยนแปลงนี้
หรือมิเช่นนั้น พลังดวงตาในรูปลักษณ์ของทะเลสาบในยามนี้ย่อมไม่มีขนาดถึง 14.5 จ้าง
ในยามนี้
จ้าวเฟิงไม่แน่ใจนักว่าดวงวิญญาณของตนเองขยายขึ้นจนอยู่ในระดับใด แต่เขามั่นใจว่าเมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดอย่าง ‘ลู่เทียนอี้’ แล้วมีเพียงแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่ด้อยกว่า
ครืนนน
แขนทั้งสองข้างของจ้าวเฟิงกางออก เบื้องหลังปรากฏเงาวายุอัสนีส่องสว่างระยิบระยับ กลับกลายเป็น ‘ปีกวายุอัสนี’ กึ่งโปร่งใส