Skip to content

King of Gods 505

King Of Gods

บทที่ 505 ความจริงของประวัติศาสตร์

“…จ้าวลัทธิมารจันทราชาดที่เป็นผู้สูงศักดิ์เช่นเดียวกันได้ฟื้นตัวแล้ว เวลากระทั่งรวดเร็วกว่าที่คิด”

จากคำข่มขู่ของเจ้าหอโครงกระดูก จ้าวเฟิงก็รู้สึกเคลือบแคลงสงสัย

ในใจของเด็กหนุ่มเริ่มคาดเดา อย่าได้บอกข้าเชียวว่าช่วงเวลาของลัทธิมารจันทราชาดกำลังจะทำให้ทวีปตกอยู่ในความวุ่นวาย?

“ท่านจ้าวลัทธิได้ครอบครองมรดกจันทราชาดแล้ว พลังของลัทธิย่อมฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว เมื่อมีความแข็งแกร่งมากขึ้นก็ย่อมตอบโต้ทวีปบุปผาคราม เรื่องนี้สำหรับคนระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด…”

เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยอย่างมั่นใจ

จ้าวเฟิงเค้นเสียงเย็น กระตุ้นการเคลื่อนไหวของ ‘เมล็ดใจทมิฬ’ ในร่างของเจ้าหอโครงกระดูกด้วยดวงตาเทพเจ้า สร้างสัญญาณเตือนให้กับดวงวิญญาณที่กำลังจะพังทลาย กลิ่นอายความตายเข้มข้นครอบคลุมร่างของมันอย่างกะทันหัน สร้างความหวาดผวาหวั่นเกรงอย่างมากให้แก่มันจนไม่กล้าที่จะพลั้งปากเอ่ยอันใดไปอีก

“เกี่ยวกับเรื่องของลัทธิมารจันทราชาด คนระดับสูงของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ก็จะต้องปวดหัวอยู่แล้ว พวกเราทำเพียงแค่ป้องกันพื้นที่ของเราก็เพียงพอ”

สภาพจิตใจของจ้าวลัทธิหงกลับมาสงบนิ่ง เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบต่ำ

เถี่ยหมัวเองก็ผงกศีรษะเห็นด้วย ลัทธิโลหะเลือดแค่ต้องคอยดูแลอาณาจักรนภาแห่งนี้เท่านั้น

จ้าวเฟิงเองก็มีท่าทีผ่อนคลายไม่ใส่ใจ

เขาคือหัวหน้าสาขาของลัทธิโลหะเลือด รับผิดชอบพื้นที่สาขาพันธารา ทำให้ไม่ต้องเคร่งเครียดมากนัก

ในทางกลับกัน ทางแคว้นเมฆา ทั้งยังแคว้นใหญ่และสิบสามแคว้นก็ได้มีจ้าวเฟิงควบคุมสถานการณ์ให้แล้ว

ทว่า

คำพูดต่อมาของจ้าวลัทธิหงได้ทำให้จ้าวเฟิงแทบเซ

“จ้าวเฟิง เป็นเพราะความสามารถที่ยอดเยี่ยมของเจ้า จ้าวลัทธิผู้นี้ตัดสินใจได้สองเรื่อง เรื่องแรกคือจะแต่งตั้งให้เจ้ากลายเป็นรองจ้าวลัทธิโลหะเลือด”

รองจ้าวลัทธิโลหะเลือด

หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ ไม่รู้ว่าควรจะตระหนกหรือดีใจ กระทั่งมีความรู้สึกระวนกระวายเข้ามาปะปน ลัทธิโลหะเลือดในอาณาจักรนภานั้นนับเป็นขั้วอำนาจที่น่าพรั่นพรึง ใช้วิธีการอำมหิจโหดเหี้ยมปราบไปทั่วหล้า

การที่สามารถมาเป็นรองจ้าวลัทธิของขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ตัวคนหนึ่งเหนือกว่าคนนับหมื่น ทั้งยังมีคนอีกหลายล้านในอาณาจักร มันนับเป็นตัวตนที่เขาทำได้เพียงแหงนมองในตำนาน

ไม่รอให้จ้าวเฟิงเอ่ยตอบรับ เถี่ยหมัวก็แย้มยิ้มเจิดจ้าออกมา:”ยินดีด้วย.. รองจ้าวลัทธิจ้าว”

จ้าวลัทธิหงเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เป็นจ้าวลัทธิ อาจกล่าวได้ว่ามีพลังที่แข็งแกร่งและคำพูดที่ทรงพลัง แม้ว่าจ้าวเฟิงจะคิดขึ้นมาได้กะทันหัน ทว่าก็คงไม่เอ่ยปฏิเสธ ยามที่ได้มีตำแหน่งเป็นรองจ้าวลัทธิ อำนาจของเขาก็จะมากขึ้น ย่อมมีส่วนช่วยเหลือในการฝึกตนในระดับหนึ่ง ไม่ต้องเอ่ยเลยว่ามันคือความหวังดีของจ้าวลัทธิหง มันย่อมไม่ดีหากจ้าวเฟิงเอ่ยปฏิเสธไป

“ขอบคุณท่านจ้าวลัทธิหงอย่างมาก”

จ้าวเฟิงไม่ยินดียินร้าย ยอมรับไปอย่างเงียบๆ

นัยน์ตาของจ้าวลัทธิหงปรากฏความประหลาดพาดผ่าน ชัดเจนว่าจ้าวเฟิงไม่ได้ตื่นเต้นกับตำแหน่งรองจ้าวลัทธิมากนัก

เหตุผลที่เขาเลื่อนขั้นจ้าวเฟิงนั้น ส่วนมากมาจากความยอมรับและสำนึกบุญคุณของจ้าวเฟิง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าต้องการจะใช้มันช่วยโน้มน้าวใจอีกฝ่ายอยู่บ้าง

“หงเกอ การตัดสินใจที่สองของท่าน อย่าได้บอกข้าว่า…”

เถี่ยหมัวอดที่จะคาดเดาถึงบางอย่างไม่ได้

การตัดสินใจที่สอง?

จ้าวเฟิงพลันปรากฏท่าทีกระตือรือร้นขึ้น จ้าวลัทธิหงผู้นี้คือผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เป็นสมาชิกของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ พลังอำนาจไม่ได้ยิ่งใหญ่ธรรมดา

ในอดีต จ้าวลัทธิหงได้มอบของสองสิ่งให้แก่เด็กหนุ่มตระกูลจ้าว เปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเขาไป จ้าวเฟิงรู้สึกได้เล็กๆ ว่าการตัดสินใจที่สองนี้คงมีความสำคัญไม่น้อย

“ข้าวางแผนว่าจะใช้สหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือเจ้าให้ได้ครอบครองตำแหน่งพิเศษ ได้ก้าวเข้าสู่เวทีที่แท้จริงของโลกนี้”

ความสุขสมใจบนใบหน้าของจ้าวลัทธิหงปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ก้าวเข้าสู่เวทีที่แท้จริงของโลกนี้?

ใจของจ้าวเฟิงสะท้าน ปรากฏม่านหมอกบางอย่างขึ้น

“หงเกอ อย่าได้บอกข้าว่าท่านจะอนุญาตให้เขาเข้าสู่เบื้องหลังของสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์…”

สีหน้าของเถี่ยหมัวเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง

จ้าวเฟิงอดที่จะตื่นตกใจไม่ได้ จากสีหน้าและบทสนทนาของสองยักษ์ใหญ่แห่งลัทธิแล้ว มันไม่ยากที่จะรับรู้ว่า ‘โอกาส’ นี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก

“คงต้องเอ่ยขอคำชี้แนะจากท่านจ้าวลัทธิ”

จ้าวเฟิงอดที่จะสงสัยไม่ได้

จ้าวลัทธิหงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม:”จ้าวเฟิง เจ้าได้เข้าไปในมรดกต่างแดน คงจะรู้ว่าทวีปบุปผาครามนั้นไม่ใช่ทวีปจริงๆ โลกที่เราอยู่เป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ในความว่างเปล่าอันไพศาล ทวีปบุปผาครามจริงๆ แล้วคือดินแดนบุปผาคราม ความจริงแล้วเป็นเพียงแค่ดินแดนเกาะเล็กๆ ในทะเลความว่างเปล่านี้”

“ข้ารู้”

จ้าวเฟิงผงกศีรษะ ไม่แปลกใจ

ในซากปรักหักพังสือเฉิง เขาและศิษย์ของสำนักจันทร์กระจ่างเคยได้พูดคุยกัน

ตั้งแต่อดีตกาลเก่าแก่ในตำนาน หลังจากที่ทวีปรกร้างแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นนับแสนล้าน แต่ล่ะเศษเสี้ยวฝุ่นเหล่านั้นก็ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็นดินแดนเกาะ เป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับทวีปบุปผาคราม

“ดินแดนบุปผาครามของเรานั้นเป็นเพียงแค่ดินแดนเกาะเล็กๆ ในท้องทะเลความว่างเปล่า ใกล้ๆ ยังมีดินแดนเกาะอีก 5-6 เกาะ ทว่าดินแดนเกาะเหล่านี้ถูกครอบครองโดยสำนักระดับสองดาว นั่นคือสามตำหนักเซียน”

จ้าวลัทธิหงเอ่ยขึ้น

สามตำหนักเซียนระดับสองดาว

ร่างกายและจิตใจของจ้าวเฟิงสั่นสะท้าน ไม่คิดว่าเบื้องหลังของทวีปบุปผาครามจะยังมีเงาของ ‘สำนักระดับสองดาว’ ครอบคลุมอยู่

นอกจากนั้น ‘สามตำหนักเซียน’ชื่อนี้ได้ทำให้จ้าวเฟิงรู้สึกคุ้นเคยยิ่งนัก

ทันใดนั้น คำพูดไม่กี่คำก็ได้ปรากฏขึ้นในสมองของจ้าวเฟิง ‘ตำหนักเซียนทั้งสามไม่อาจเคลื่อนไหวออกจากดินแดนแห่งฝุ่นได้ ในสองสามวันที่ผ่านมา มันกระทั่งล่อลวงกองกำลังระดับหนึ่งดาวมาจนกระทั่งแทบจะทำลาย ‘คำสาปสุสานร้อยหลุมศพ’ ลงได้ บัดนี้ พลังของค่ายกลเคลื่อนย้ายแทบจะหมดสิ้นลง… ข้ารับใช้ผู้นี้จะออกไปก่อน…’

ในยามนี้ จ้าวเฟิงจึงเข้าใจในความหมายของคำเหล่านี้อย่างชัดเจน

แน่นอนว่า

กลุ่มอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สร้าง ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ ขึ้นมาพยายามที่จะโจมตีครอบครองทวีปบุปผาคราม ทว่าสุดท้ายแล้วได้ถูกขัดขวางโดยสามตำหนักเซียน

กองกำลังนั้นคงเกี่ยวข้องกับลัทธิมารจันทราชาด

“ข้าจะบอกความจริงกับเจ้าอีกครั้ง หลายร้อยปีก่อน ลัทธิมารจันทราชาดครอบครองไปทั่วทั้งทวีป สิบยอดสำนักร่วมมือกัน นำโดยสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ร่วมกับความช่วยเหลือของสามตำหนักเซียนและสำนักระดับสองดาวอีกทั้งสำนักต่อสู้ด้วย”

จ้าวลัทธิหงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็แทบจะอุทานออกไป:”… นี่คือความจริงของประวัติศาสตร์เช่นนั้นหรือ?”

เขาไม่เคยคิดเลยว่าลัทธิมารจันทราชาดในอดีตที่ครอบครองไปค่อนทวีป ในช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นจะมีความจริงที่สั่นคลอนฟ้าดินเช่นนี้เป็นเบื้องหลัง

“ใช่แล้ว ทวีปบุปผาครามในอดีตคือสนามรบของสำนักระดับสองดาว สุดท้ายแล้วสามตำหนักเซียนเป็นฝ่ายชนะ สำนักระดับสองดาวอีกสำนักอยู่ค่อนข้างห่างออกไป สุดท้ายแล้วจึงล้มเหลว”

เถี่ยหมัวราวกับรู้ความลับนี้จึงเอ่ยเสริมขึ้น

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตื่นตะลึงอย่างมาก มิคาดว่าที่นี่จะเป็นเพียงสนามรบของสำนักระดับสองดาว

“จ้าวสำนัก ที่ท่านเอ่ยเรื่องนี้ เกี่ยวกับสามตำหนักเซียนกับข้า อย่าได้บอกว่า…”

หัวใจของจ้าวเฟิงกระตุกวูบ พลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้น

“ฮี่ฮี่ ใช่แล้ว ข้าวางแผนที่จะแนะนำเจ้ากับสามตำหนักเซียน นี่คือโอกาสที่เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรของทวีปเฝ้ารอ เพราะข้าคือสมาชิกหลักของพันธมิตรแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้มีอำนาจในการเสนอชื่อ”

จ้าวลัทธิหงเอ่ย

เข้าร่วมสำนักระดับสองดาว… สามตำหนักเซียน

หัวใจของจ้าวเฟิงพลันเต้นถี่รัวขึ้น

ในซากปรักหักพังสือเฉิง เขาและเหล่าอัจฉริยะต่างแดนเหล่านั้นได้ปะทะกัน ทำให้เขาเข้าใจในความน่ากลัวของสำนักระดับสองดาวเป็นอย่างดี

ทั่วทั้งทวีปบุปผาคราม ในดินแดนที่หลากหลาย รวมทั้งสำนักระดับหนึ่งดาวจำนวนมาก กลุ่มอำนาจและราชวงศ์ต่างๆ ล้วนเป็นข้ารับใช้ของ ‘สามตำหนักเซียน’

“รองจ้าวลัทธิจ้าว ข้าเชื่อว่าด้วยพรสวรรค์ความสามารถของท่าน การเข้าร่วมสามตำหนักเซียน หรือกระทั่งการเป็นศิษย์หลักของสำนักคงไม่ใช่เรื่องยาก”

เถี่ยหมัวเอ่ยอย่างยั่วเย้า

ครั้งนี้ ทวีปบุปผาครามได้เข้าสู่ช่วงเวลาสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

จ้าวเฟิง ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ของทวีปคนนี้จะเข้าร่วมสามตำหนักเซียนไม่นับเป็นเรื่องลำบากแต่อย่างใด

“เมื่อข้าเข้าร่วมสำนักระดับสองดาว ข้าก็จะสามารถไปยังต่างแดน ก้าวเข้าสู่เวทีที่แท้จริงของโลกใบนี้… แต่ว่า”

ความคิดของจ้าวเฟิงพลันแปรเปลี่ยนไป

ด้วยเหตุผลบางอย่าง จิตใจของจ้าวเฟิงพลันรู้สึกวูบโหวง

“จ้าวลัทธิหง ขอบคุณสำหรับความหวังดีของท่านมาก เกี่ยวกับการเข้าร่วมสามตำหนักเซียน ยามนี้ข้าคงยังไม่อาจตัดสินใจได้”

จ้าวเฟิงสูดลมหายใจลึก

อันใดนะ

พวกจ้าวลัทธิหงทั้งสองสีหน้าพลันนิ่งค้าง มองไปยังจ้าวเฟิงอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา พวกเขาคิดว่าโอกาสเช่นนี้ จ้าวเฟิงย่อมตอบรับโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

มิคาดว่าจ้าวเฟิงจะยังปฏิเสธ อย่างน้อยในระยะเวลาสั้นๆ อีกฝ่ายก็ไม่อาจตัดสินใจได้

“จ้าวเฟิง เจ้าสามารถนำไปพิจารณาดูก่อนได้ อย่างน้อยข้าก็ยังต้องรออีกหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น ต้องรอให้ไอสวรรค์ฟื้นฟูเสียส่วนมากก่อนจึงจะไปยังสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์”

จ้าวลัทธิหงผิดหวังเล็กๆ ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยถามถึงเหตุผล

ชั่วครู่ต่อมา

จ้าวเฟิงและเถี่ยหมัวได้ออกจากตำหนักใต้ดินด้วยกัน

เถี่ยหมัวอดที่จะสงสัยไม่ได้:”รองจ้าวลัทธิจ้าว โอกาสทองเช่นนั้น ท่านยังต้องพิจารณาดูอีกหรือ?”

จ้าวเฟิงถอนหายใจ ไม่คิดที่จะอธิบาย

ที่เขาไม่อาจตอบรับโอกาสนี้ได้ในทันทีเป็นเพราะสองเหตุผล:

หนึ่งในเหตุผลคือซากปรักหักพังสือเฉิง

จ้าวหยูเฟ่ยยังอยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิง อย่างที่ปราชญ์ลิ่วอูอ่านดวงชะตาเอาไว้ ดูเหมือนว่าจะโชคร้ายมากกว่าโชคดี

จ้าวเฟิงไม่อาจละเลยจ้าวหยูเฟ่ยได้ นอกจากนั้น เขายังต้องดำเนินแผนการร้อยศพ ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ทำให้ต้องกลับเข้าไปในซากปรักหักพังสือเฉิง

หากสามารถฝึกฝนใน ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ได้ ผลของมันไม่มีทางด้อยไปกว่าสำนักระดับสองดาว กระทั่งได้ผลดีกว่า

เหตุผลที่สองคือคู่หมั้นของเขา หลิวฉินซิน

หากสุดท้ายแล้วยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าหลิวฉินซินยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว จ้าวเฟิงย่อมยากที่จะทำใจให้สงบได้

เขากระทั่งวางแผนในระยะยาว เมื่อมีความแข็งแกร่งในระดับหนึ่งแล้วจะเดินทางไปยังต่างแดน ค้นหา ‘มรดกเซียนพิณสวรรค์’ นั้น

เหตุผลทั้งสองทำให้จ้าวเฟิงไม่อาจเข้าร่วมสามตำหนักเซียนได้ง่ายๆ

เมื่อเข้าร่วมสำนักระดับสองดาวมันย่อมีกฎเกณฑ์จำนวนมากของสำนัก เหมือนเช่นถูกมัดมือมัดเท้า สูญเสียอิสระ

หลังจากผ่านไปหลายวัน

ลัทธิโลหะเลือดได้ปรากฏรองจ้าวลัทธิคนใหม่ขึ้นมา สร้างความตื่นตะลึงให้กับพื้นที่ต่างๆ ของอาณาจักรนภา

แรกเริ่มเป็นลัทธิโลหะเลือดที่สั่นสะท้านไปทั่ว มันเป็นที่รู้กันดีว่าผู้ควบคุมลัทธิโลหะเลือดในยามนี้คือรองจ้าวลัทธิเถี่ยหมัว

ทว่าบัดนี้ ลัทธิโลหะเลือดได้ถือกำเนิด ‘รองจ้าวลัทธิ’ คนใหม่ขึ้นมา มันนับเป็นคลื่นลูกใหญ่ที่สาดกระทบอาณาจักรนภาอย่างรุนแรง

จากข่าวลือ ผู้จัดการเรื่องนี้คือ ‘จ้าวลัทธิหง’ ที่จำศีลมานานหลายปี

เรื่องนี้ได้สร้างความวุ่นวายไปทั่วทั้งอาณาจักรนภา กระทั่งเพียงพอในการสร้างความตื่นตัวให้กับสำนักขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งในทวีปเหนือจำนวนมาก

หากข่าวลือนี้ไม่ผิดพลาด ลัทธิโลหะเลือดฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ กระทั่งสำนักอันดับหนึ่งของทวีปเหนือ ‘สำนักเทียนหยวน’ ก็ยังต้องตื่นตัว

หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน

ในโถงใหญ่อันโอ่โถงของฐานหลักลัทธิโลหะเลือด

“คารวะรองจ้าวลัทธิจ้าว”

ยอดฝีมือระดับสูงของลัทธิโลหะเลือดด้านล่างทั้งสองฝั่งค้อมคำนับลงอย่างพร้อมเพรียงกัน ร่างจำนวนมากในบริเวณนั้นมีพลังฝึกตนต่ำที่สุดคือขั้นมนุษย์แท้ พวกเขาบางคนคือยอดฝีมือของฐานหลัก บางคนก็เป็นยักษ์ใหญ่ของสาขา

ในตำแหน่งที่ใกล้จ้าวเฟิงหน่อยคือเตี๋ยเย่และเจียงซานเฟิง

บัดนี้เตี๋ยเย่และเจียงซานเฟิงได้กลายมาเป็นมือขวามือซ้ายของจ้าวเฟิง เป็นคนระดับสูงของลัทธิโลหะเลือด

เมื่อคารวะเสร็จสิ้น ทั่วทั้งโถงก็ตกสู่ความเงียบงัน

จ้าวเฟิงที่นั่งอยู่บนแท่นสูงดวงตาทั้งสองปิดสนิท ไม่ได้เอ่ยขึ้นในทันที

หลังจากกลายมาเป็นรองจ้าวลัทธิ นี่คือการจัดการงานของลัทธิเป็นครั้งแรก

ที่กลายมาเป็นเขานั้นเป็นเพราะเถี่ยหมัวเพิ่งจะเดินทางออกจากฐานหลักเพื่อกวาดล้างปลาซิวปลาสร้อยของลัทธิมารจันทราชาดที่ก่อความวุ่นวาย

เบื้องล่าง

ผู้คนเงียบงัน บางคนปรากฏความอึดอัดไม่สบายใจ มองขึ้นไปยังเด็กหนุ่มเรือนผมสีน้ำเงินบนแท่นสูง

โดยปกติแล้ว คนมาใหม่มักจะยึดติดกับกฎมากกว่าปกติ

บัดนี้ การประชุมของลัทธิโลหะเลือดได้ถูกจ้าวเฟิงจัดการชั่วคราว คนระดับสูงจำนวนมากของลัทธิโลหะเลือดไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าเบื้องหน้ามีสิ่งใดเฝ้ารอพวกเขาอยู่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version