Skip to content

King of Gods 506

King Of Gods

บทที่ 506 ชัดเจน

ในโถงหลักลัทธิโลหะเลือด

จ้าวเฟิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นสูงของจ้าวลัทธิเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า

ในยามนี้ เสียงของเจียงซานเฟิงก็ได้ดังขึ้นเตือน:”ท่านรองจ้าวลัทธิ ตามธรรมเนียมแล้ว ฐานหลักลัทธิโลหะเลือดจะมีการประชุมลัทธิทุกเดือน ท่านจำเป็นต้องเอ่ยให้คนอื่นๆ เอ่ยถึงเรื่องสำคัญ ในเวลาเดียวกันท่านก็ต้องตัดสินใจ…”

คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากันเล็กๆ ยกมือขึ้นลูบหน้าผาก

ในเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หากเขาไม่ได้ปิดด่านฝึกตนก็จะรวบรวมทรัพยากรวัสดุมาสร้างกองทัพ

ในช่วงเวลานี้ จ้าวเฟิงเองก็เคยได้ลงมือเข้าร่วมกำจัดสาวกลัทธิมารจันทราชาดที่หลงเหลืออยู่ครั้งนี้ ทว่ายามที่เขาออกไปถึงสถานที่ก็เหลือเพียงแค่ปลาซิวปลาสร้อย ทำให้รู้สึกผิดหวังมากนัก

“เริ่มได้”

สายตาของจ้าวเฟิงกวาดมองเหล่าคนระดับสูงของลัทธิมารโลหะเลือดในโถงหลัก ในเสี้ยววินาทีนั้นราวกับมีแรงกดดันที่มองไม่เห็นประการหนึ่งครอบคลุมโถงหลัก แม้ว่าพวกเขาจะไม่จงใจส่งประสาทสัมผัสจิตวิญญาณออกไป ผู้ฝึกตนขั้นมนุษย์แท้และขั้นผู้วิเศษแท้ทั่วไปก็รู้สึกกระวนกระวายไม่สบายใจ

ดวงวิญญาณของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งเพียงใด มันกระทั่งเข้าใกล้ระดับของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด เมื่อเทียบกับเถี่ยหมัวแล้วมีเพียงแต่จะแข็งแกร่งกว่า ไม่ด้อยกว่า

“เป็นสายตาที่น่าหวาดกลัวนัก เกือบจะทำให้จิตใจของข้าพังทลายแล้ว”

“แรงกดดันพลังจิตของรองจ้าวลัทธิจ้าวคนใหม่นี้ เมื่อเทียบกับรองจ้าวลัทธิเถี่ยหมัวแล้วยังดูจะแข็งแกร่งกว่า…”

คนระดับสูงจำนวนมากในโถงหลัก ยามที่ถูกสายตาของจ้าวเฟิงกวาดผ่าน จิตใจก็พลันสั่นสะท้าน

ข้อมูลตำนานของรองจ้าวลัทธิจ้าวคนใหม่ผู้นี้ พวกเขาเคยได้ยินมาบ้าง

หลบหนีการแต่งงานจากเมืองหงหู จับฉินหวางเฟยเป็นตัวประกัน กวาดล้างสาขาพันธารา ได้รับคำชื่นชมในงานชุมนุมเซียนมังกร กลายเป็นผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้คนใหม่… และสุดท้ายแล้วยังสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนขั้นนายเหนือแท้ของอาณาจักรได้อีกหลายคน กระทั่งสามารถคร่าชีวิตของจ้าวตำหนักฉินเจี่ยนได้ด้วยตนเอง

เกียรติยศมากมายเหล่านั้น ทั้งยังมีวาสนาของดาราที่กำลังรุ่งโรจน์ในยุคสมัยนี้ แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งอาณาจักรก็ไม่อาจหาคนที่สองได้

เมื่อกวาดตามองทั่วทั้งอาณาจักรนภา จ้าวเฟิงนับเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่ที่มีพลังอำนาจเพียงพอจะสั่นคลอนไปทั้งแปดทิศได้

“เกิดอันใดขึ้น พวกเจ้าไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยหรือ? เช่นนั้นก็เยี่ยมมาก นายเหนือผู้นี้ก็กำลังจะต้องเดินทางไกล…”

จ้าวเฟิงแย้มยิ้มอย่างร่าเริง มองไปยังผู้คนที่นั่งทื่อ เตรียมตัวที่จะแยกตัวจากไป

ทั้งเวลาของงานน้ำชาเซียนมังกรก็ใกล้เข้ามาทุกที

จ้าวเฟิงเองก็ต้องการเข้าร่วมหาความสนุก อยากจะสัมผัสถึงพลังของ ‘สายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีป’ นั้น

“รองจ้าวลัทธิช้าก่อน”

“ข้ากับคนอื่นๆ มีเรื่องสำคัญ…”

เหล่าคนระดับสูงในบริเวณนั้นพลันลนลาน ส่งเสียงเรียกอย่างเร่งรีบ

เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่มองหน้ากัน เผยสีหน้าแปลกประหลาดออกมา เมื่อมองจากท่าทีของจ้าวเฟิงแล้ว เด็กหนุ่มตระกูลจ้าวดูพร้อมที่จะสลัดทุกคนออกไปได้ทุกขณะ ไม่ว่าอย่างไรก็จะเป็นอิสระไร้ซึ่งข้อผูกมัด

“รองจ้าวลัทธิจ้าว จากการตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสาวกลัทธิมารจันทราชาดที่เหลือรอด เหตุผลที่ล้มเหลวนั้น ผู้น้อยมั่นใจว่าในลัทธิโลหะเลือดได้มีสายลับสาวกลัทธิมารจันทราชาดระดับสูงในบรรดาคนระดับสูงของเรา…”

ผู้คุ้มครองขั้นผู้วิเศษแท้ผู้หนึ่งค้อมคำนับพร้อมเอ่ยขึ้น

มีสายลับ?

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ในโถงหลักก็ปรากฏเสียงซุบซิบดังขึ้น

“หลังจากที่ลัทธิมารจันทราชาดในอดีตพ่ายแพ้หลบหนีไป สาวกจำนวนมากของลัทธิที่หลงเหลือก็กระจัดกระจายอยู่ทั่วทวีป บางส่วนกระทั่งแทรกซึมเข้าไปในขั้วอำนาจน้อยใหญ่”

คิ้วของจ้าวเฟิงมุ่นเข้าหากัน ความเป็นไปได้นี้สูงจริงๆ

จากการตรวจสอบการเคลื่อนไหวของสาวกที่หลงเหลือของลัทธิมารจันทราชาดก่อนหน้า เขาเองก็ได้เข้าร่วม ค้นพบฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของลัทธิมาร ทว่าผลคือคนทั้งหลายได้สละฐานที่มั่นไปแล้ว หลงเหลือเพียงแค่ปลาซิวปลาสร้อยเป็นคนแก่ คนอ่อนแอ คนที่เจ็บป่วย และคนพิการเท่านั้น

ไม่ว่าจะเป็นแคว้นเมฆาหรืออาณาจักรนภาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์นี้ไปได้

ในแคว้นเมฆา จ้าวเฟิงได้ใช้วิธีการเหวี่ยงแหอย่างง่ายๆ

ทว่าในอาณาจักรนภา พื้นที่ของมันใหญ่โตเกินไป อย่างน้อยก็ใหญ่กว่าแคว้นเมฆาอยู่หลายสิบเท่า นอกจากนั้นยังมีขั้วอำนาจน้อยใหญ่ ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนวุ่นวาย

ในระหว่างที่ผู้คนถกเถียงเกี่ยวกับ ‘สายลับ’ จ้าวเฟิงนั้นไม่ออกความเห็น

ดวงตาเทพเจ้าของเขาเข้าใจทุกเศษเสี้ยวการเคลื่อนไหว มีพลังลึกลับในการควบคุมส่งผลต่อจิตใจ

ผู้คนที่ถูกดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกวาดมองจะรู้สึกราวกับจิตใจถูกทิ่มแทง

“สอง สาม…” มุมปากของจ้าวเฟิงเหยียดออกเป็นรอยยิ้มเย็นชา

เขาไม่ได้มีเพียงแค่ดวงตาเทพเจ้าที่มีวิชาพลังจิตลวงตา ทว่ายังมียักษ์ใหญ่ระดับเจ้าหอของลัทธิมารจันทราชาดอยู่ใน ‘ประคำหมื่นวิญญาณ’ ด้วย

จ้าวเฟิงจดจำผู้คนที่ถูกเขาทะลวงผ่านจิตใจไปอย่างเงียบๆ ตระหนักได้ว่าเหล่า ‘คนน่าสงสัย’ เหล่านี้ล้วนเป็นคนระดับสูง

“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน”

จ้าวเฟิงโบกมือ หยุดการถกเถียงเรื่องนี้ไว้

จากนั้นเรื่องอื่นๆ จึงได้ถูกเอ่ยต่อจ้าวเฟิง

“หัวหน้าสาขาฉื่อเย่เกษียณเพราะความชรา ทำให้ยามนี้ตำแหน่งว่างอยู่ ในบรรดาสมาชิกทั้งหมด ต้องรบกวนให้ท่านรองจ้าวลัทธิตัดสินใจ”

รองหัวหน้าสาขามองดูด้วยสายตาคาดหวัง มีท่าทีกระวนกระวาย

“กลุ่มคนของตำหนักฉินเจี่ยนไร้ผู้นำ สาขาของข้าพยายามที่จะชักจูงคนเหล่านั้นในพื้นที่ของข้า ทว่าได้ปะทะกับราชวงศ์และการขัดขวางของตระกูลหลิวหลัก…”

หัวหน้าสาขาที่ค่อนข้างมีอายุผู้หนึ่งถอนหายใจ

“บัดนี้สถานการณ์ของอาณาจักร ตำหนักฉินเจี่ยนเหลือเพียงแค่ชื่อแล้ว ผู้อาวุโสหลักตระกูลหลิวเองก็ตายไปแล้ว นับว่ายามนี้ลัทธิโลหะเลือดของเราได้เปรียบ ผู้น้อยแนะนำว่าเราควรรวมพลังกันกวาดล้างพวกที่ต่อต้าน พยายามยึดอำนาจอีกครั้ง”

“กวาดล้างพวกที่ต่อต้าน พยายามยึดอำนาจอีกครั้ง”

ครั้งนี้เหล่าคนระดับสูงที่ทะเยอทะยานหลายคนช่วยกันตอบรับ

ผู้ที่เอ่ยคำว่า ‘กวาดล้างพวกที่ต่อต้าน พยายามยึดอำนาจอีกครั้ง’ ออกมาคือผู้อาวุโสของฐานหลัก พลังฝึกตนสูงถึงขั้นผู้วิเศษแท้ระดับสูง

“หึ พยายามยึดอำนาจอีกครั้ง? เรื่องนี้สำหรับลัทธิโลหะเลือดในยามนี้ไม่ใช่เรื่องยากเย็น ทว่าสถานการณ์ในยามนี้ อันตรายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ยังคงเป็นลัทธิมารจันทราชาด”

จ้าวเฟิงเค้นเสียง มองไปยังผู้อาวุโสของฐานหลักที่ทะเยอทะยาน

ในเสี้ยววินาทีนั้น สายตาจำนวนมากได้เบนตามรองจ้าวลัทธิ จ้องมองไปยังผู้อาวุโสผู้นั้น

“ผู้อาวุโสคนนั้นพลันรู้สึกถึงความผิดพลาด บนหน้าผากปรากฏหยาดเหงื่อเย็นเยียบ

“ใครก็ได้ นำตัวเขามาให้ข้า”

จ้าวเฟิงออกคำสั่งเสียงแผ่ว

สิ้นเสียง เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ที่อยู่ข้างๆ ก็ลงมือในเสี้ยววินาที กดร่างของผู้อาวุโสคนนั้นลงที่พื้น

ในโถงหลัก ยอดฝีมือทั้งหลายเผยสีหน้าหวาดกลัวและงุนงงออกมา

“รองจ้าวลัทธิจ้าว แม้ว่าท่านจะเป็นรองจ้าวลัทธิก็ไม่อาจลงโทษข้าได้อย่างไร้เหตุผล มิเช่นนั้นจะนับว่ายุติธรรมได้อย่างไร?”

ผู้อาวุโสของฐานหลักไม่กล้าที่จะต่อต้าน ทว่ากลับส่งเสียงประท้วงออกมาอย่างน่าสงสาร

“ยังจะกล้ามาผายลมไร้สาระ ในยามที่ลัทธิมารจันทราชาดกำลังจะหวนคืนมายังพยายามจะสร้างสงครามภายในอาณาจักร เจ้าคิดอันใดอยู่ในใจกัน”

ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงพลันระเบิดพลังจิตออกมาอย่างไม่ออมมือ กระแทกไปยังร่างของผู้อาวุโสฐานหลักผู้นั้นดัง ‘เปรี้ยง’ ดวงวิญญาณของเขาสั่นสะท้าน แนวป้องกันจิตใจพังทลายลงในเสี้ยววินาที ในคำพูดเต็มไปด้วยช่องว่าง

เหล่าคนระดับสูงอดที่จะตระหนักขึ้นในทันทีไม่ได้

หากอาณาจักรนภาเกิดสงครามภายใน ผู้ใดกันที่จะได้ประโยชน์มากที่สุด? มิใช่ว่ามันชัดเจนหรือว่าเป็นลัทธิมารจันทราชาดที่กำลังจะหวนกลับมา

จากนั้น

จ้าวเฟิงไม่จำเป็นแม้แต่จะใช้เนตรใจวิญญาณ ปล่อยให้ผู้อาวุโสของฐานหลักที่จิตใจแหลกสลายผู้นั้นขายตนเอง เปิดเผยสถานะ ‘สายลับลัทธิมาร’ ออกมา

ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งนาที จ้าวเฟิงก็จับสายลับลัทธิมารได้หนึ่งคน เหล่าคนระดับสูงต่างมองไปยังจ้าวเฟิงด้วยความหวาดผวา แน่นอนว่าเหตุผลที่จ้าวเฟิงมั่นใจว่าเป็นคนผู้นี้เป็นเพราะก่อนหน้าเขาใช้ดวงตาเทพเจ้าอ่านใจ ค้นพบถึงส่วนที่น่าสงสัยอยู่บางประการ

ในเวลาอีกครึ่งชั่วยามที่เหลือ

สมาชิกจำนวนมากในโถงหลักของลัทธิโลหะเลือดรู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจ

‘สายลับ’ 2-3 คนได้ถูกจ้าวเฟิงจับออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนมากเป็นเพราะสายเลือดดวงตาที่มองเห็นทุกอย่างในจิตใจ แน่นอนว่าเหล่าสายลับที่แฝงตัวอยู่ในบรรดาคนนับสิบนี้ไม่ได้เป็นสาวกที่หลงเหลือของลัทธิมารจันทราชาดเสียทั้งหมด กว่าครึ่งมาจากฝั่งราชวงศ์

หลังจากผ่านไปหลายวัน

ฐานหลักลัทธิโลหะเลือดก็เย็นลง เหล่า ‘สายลับ’ ที่เร่าร้อนได้ถูกกำจัดจนหมด

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฝีมือการ ‘ตรวจสอบแม้ส่วนที่เล็กที่สุด’ ของรองจ้าวลัทธิคนใหม่ โดยไม่รู้ตัว อำนาจของจ้าวเฟิงได้ครอบคลุมไปทั่วทั้งฐานหลักของลัทธิโลหะเลือด

ในเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันก็บั่นคอของคนระดับสูงไปหลายคน นับว่าน่าพรั่นพรึงจนต้องเปลี่ยนสีหน้า นี่ยังเป็นเหตุผลให้ยามที่จ้าวเฟิงมองไปที่ใด เหล่าคนระดับสูงก็จะแสดงความหวาดกลัวออกมา

ในเสี้ยวพริบตา

จ้าวเฟิงก็จัดการทำความสะอาดฐานหลักลัทธิโลหะเลือดครั้งใหญ่ คนระดับสูงต่ำล้วนถูกกำจัดในเวลาครึ่งเดือน สุดท้ายในวันนี้ รองจ้าวลัทธิเถี่ยหมัวจึงกลับมา ค้นพบว่าบรรยากาศในฐานหลักกดดันเคร่งเครียด กลิ่นอายดูดุดันโหดเหี้ยมกว่าในอดีต

เถี่ยหมัวชะงักไป หลังจากที่รู้ความจริงจึงอุทานออกมาอย่างตกใจและชื่นชม ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี

การกระทำนี้ของจ้าวเฟิงได้กวาดล้างเอาพวกหนอนบ่อนใส้ของฐานหลักลัทธิโลหะเลือดออกไปจนหมดสิ้น ผลของมันดีกว่าการฆ่าศัตรูนับสิบนับร้อยเท่า

ค่ำคืนนั้น

จ้าวเฟิงไปเจอกับเถี่ยหมัว คนทั้งสองพบกันในตำหนักที่มืดหม่นแห่งหนึ่ง

“ข้าจำต้องเดินทางไกลในตอนนี้ เรื่องที่เหลือคงต้องลำบากศิษย์พี่เถี่ยแล้ว”

จ้าวเฟิงเอ่ย

หลังจากที่เถี่ยหมัวกลับมา เขาก็มีความรู้สึกโล่งอกสบายใจ

ดวงตาเทพเจ้าของเขามีความสามารถในการเข้าใจเจตนาของผู้คนในระดับหนึ่ง ตราบเท่าที่พลังฝึกตนของอีกฝ่ายต่ำกว่าเขาก็ยากที่จะหลบรอดไปโดยใช้ดวงได้

ดังนั้นแล้ว ในระหว่างที่จ้าวเฟิงกำลังลงมือกวาดล้างนั้นจึงคล่องแคล่วรวดเร็ว ทว่านี่ไม่ใช่หนทางที่เขาต้องการ

“โอ้? ดูเหมือนว่าเจ้าจะไปเข้าร่วมงานน้ำชาเซียนมังกรครั้งนี้แน่ๆ”

เถี่ยหมัวไม่จำเป็นต้องคิดมาก

จะอย่างไรเขาเองก็เคยเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนมังกร ทว่าตำแหน่งของเขาต่ำกว่าจ้าวเฟิง

จ้าวเฟิงผงกศีรษะพร้อมรอยยิ้ม เขาต้องการที่จะไปดูว่าเหล่าผู้ถูกเลือกที่ออกมาจากมรดกต่างแดนเหล่านั้นพัฒนาไปเช่นไรบ้าง ทั้งยังมีผู้ครอบครองมรดกสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปอย่าง ‘โอรสสวรรค์สามตา’ ที่สร้างความสนใจให้เขาเล็กๆ อยู่อีกด้วย

“ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า แม้กวาดตามองไปทั่วทั้งทวีปในยามนี้ ในบรรดาคนรุ่นใหม่คงมีเพียงแค่หยูเทียนฮ่าวที่ควรค่าแก่การเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้า ทว่าเจ้าจำต้องระวังตัวยามที่เผชิญหน้ากับโอรสสวรรค์สามตาผู้นั้น”

เถี่ยหมัวเอ่ยเตือน

“โอ้? โอรสสวรรค์สามตา?”

จ้าวเฟิงเผยสีหน้าสนใจออกมาเล็กน้อย

“โอรสสวรรค์สามตาคือผู้ที่ได้ครอบครองอันดับหนึ่งในงานชุมนุมเซียนมังกรสองครั้งติดก่อนหยูเทียนฮ่าว อายุมากกว่า 50 ปี หากจะพูดตามตรงไม่นับว่าอยู่ในฐานะของอัจฉริยะรุ่นใหม่แล้ว นอกจากนั้นเขายังได้ถูกแนะนำจากสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ให้เข้าร่วมสามตำหนักเซียนมาหลายปีแล้ว ทุกวันนี้เขากลายเป็นผู้คุมกฎของสามตำหนักเซียน…”

เถี่ยหมัวเอ่ยอย่างเชื่องช้า

สามตำหนักเซียน?

ดวงตาของจ้าวเฟิงส่องประกายวาวโรจน์ ไม่คิดว่าโอรสสวรรค์สามตาจะเป็นผู้คุมกฎของ ‘สามตำหนักเซียน’ สำนักระดับสองดาว

“‘แสงสวรรค์สามตา’ ของเขาเป็นที่เลื่องลือว่าทำลายกฎนับหมื่น ทำลายการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดได้ เพราะเช่นนั้นมันจึงเป็นมรดกสายเลือดดวงตาที่แข็งแกร่งที่สุด เมื่อเวลามาถึง บางทีเขาอาจจะไม่สนใจถึงความห่างอายุ ยั่วยุประลองตัดสินกับเจ้า เพราะว่าโอรสสวรรค์สามตากับปิงเว่ยเซียนจื่อเหมือนจะเป็นคู่หมั้นกัน”

เถี่ยหมัวรู้สึกเป็นกังวลเล็กๆ

ระหว่างจ้าวเฟิงกับหยูเทียนฮ่าว โอกาสแพ้ชนะอาจจะอยู่ที่ครึ่งต่อครึ่ง

ทว่าโอรสสวรรค์สามตาผู้นี้ไม่ได้อยู่ในช่วงวัยเดียวกัน ไม่ต้องเอ่ยเลยว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสำนักระดับสองดาว

“เป็นเช่นนั้นเอง มิคาดว่าโอรสสวรรค์สามตาและปิงเว่ยเซียนจื่อจะเป็นคู่หมั้นกัน”

จ้าวเฟิงอึ้งตะลึงอยู่ในใจ

เกี่ยวกับลักษณะของสายเลือดดวงตาของโอรสสวรรค์สามตา เถี่ยหมัวได้เอ่ยแจงกับจ้าวเฟิงทีล่ะอย่าง

จ้าวเฟิงไม่ประมาท ตั้งใจฟัง

“ขอบคุณศิษย์พี่เถี่ยมาก แต่แม้ว่าโอรสสวรรค์สามตาผู้นั้นจะไม่ลงมือ ก็คงเป็นข้าเองที่อยากจะท้าประลองเขา”

ในน้ำเสียงของจ้าวเฟิงปรากฏความมั่นใจอย่างมาก

ในดินแดนน้ำแข็งที่ห่างไกล หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีเดินเคียงข้างกันในตำหนักที่เต็มไปด้วยลวดลายของหิมะและน้ำแข็ง

“…สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงนั่นมีลักษณะหลายแบบ มีทั้งพลังลวงตา การยิงลำแสง และพลังในการแช่แข็ง”

ปิงเว่ยเซียนจื่อเอ่ยถึงรายละเอียด

ข้างกายนางคือชายหนุ่มผมทองสีหน้าเย็นชา บนหลังสะพายดาบเล่มหนึ่ง ที่หน้าผากปรากฏ ‘ดวงตาที่สาม’ ที่ปิดสนิท ไม่อาจมองเห็นสิ่งใด

“เว่ยเม่ยสบายใจเถอะ สายเลือดดวงตาเซียนของข้าได้ตื่นขึ้นสู่ระดับที่สามแล้ว ผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขอบเขตแก่นก่อกำเนิดในโลกใบนี้ไม่อาจต่อต้านสายเลือดดวงตาของข้าได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version