Skip to content

King of Gods 523

King Of Gods

บทที่ 523 ความเคลือบแคลงของผู้สูงศักดิ์

จ้าวเฟิงกลับมาถึงเร็วกว่าเหล่าจินไท่จื่อและเหล่าอัจฉริยะคนอื่นอยู่เล็กน้อย

เจียงซานเฟิงและเตี๋ยเย่ก็ยังกลับมาไม่ถึงสาขาหลักของลัทธิโลหะเลือด

เมื่อเท้าของจ้าวเฟิงเพิ่งแตะพื้นนั่นเอง รองจ้าวลัทธิโลหะเลือดเถี่ยหมัวก็รีบร้อนเข้ามาหาเนื่องด้วยได้ยินข่าว

“งานน้ำชาเซียนมังกรครั้งนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” เถี่ยหมัวเอ่ยถาม

ก่อนหน้านี้เถี่ยหมัวได้เล่าเรื่องสายเลือดเนตรเซียนของตระกูลจินหยางให้จ้าวเฟิงฟังเพื่อรับมือกับโอรสสวรรค์สามตา

“เก็บเกี่ยวได้ไม่น้อยเลย”

มุมปากของจ้าวเฟิงยกขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้ม แล้วจึงเล่าเรื่องราวที่เผชิญในงานน้ำชาเซียนมังกรอย่างรวบรัด

เมื่อเถี่ยหมัวได้ยินเรื่องราวทั้งหมดแล้วก็เอ่ยอย่างลิงโลดว่า”คิดไม่ถึงเลยว่าฉายาสายเลือดดวงตาผู้แข็งแกร่งที่สุดในทวีปจะเปลี่ยนเจ้าของเพราะเจ้า”

จ้าวเฟิงฉับพลันคิดได้ว่าผู้นำตระกูลจินหยางทั้งสองตามไล่ล่าสังหารตนแล้วจึงโดนผู้อาวุโสจี้ซากำจัดทิ้ง

เรื่องนี้ควรหรือไม่ควรบอกเถี่ยหมัวกัน?

ในชั่วขณะที่จ้าวเฟิงกำลังลังเลอยู่ก็มีเสียงเรียกดังขึ้น”จ้าวเฟิง เถี่ยหมัว” ท่านจ้าวลัทธิหงเอ่ยเรียก จิตใจของจ้าวเฟิงหวั่นเกรงขึ้นมาเล็กน้อย การกลับมาในครั้งนี้ของตัวเองเกือบจะมองข้ามผู้นำที่แท้จริงของลัทธิโลหะเลือดไปเสียแล้ว

เวลาผ่านไปสักครู่

ภายในตำหนักใต้ดิน จ้าวเฟิงและเถี่ยหมัวได้มาพบกับจ้าวลัทธิหงที่นั่งอยู่บนเตียงนอน ใบหน้าของเขามีสีแดงเล็กน้อย ลมหายใจลึกล้ำ

ทุกลมหายใจเข้าออกราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นศูนย์กลางการไหลเวียนของไอสวรรค์ ความสามารถเช่นนี้แข็งแกร่งกว่าคนระดับขั้นนายเหนือแท้ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

“จ้าวเฟิง คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะประลองชนะโอรสสวรรค์สามตาแล้วชิงสมญาสายเลือดดวงตาผู้แข็งแกร่งที่สุดในทวีปอันทรงเกียรตินี้มาได้” สีหน้าของจ้าวลัทธิหงเต็มไปด้วยความชื่นชม

ทั้งจ้าวลัทธิและรองจ้าวลัทธิล้วนชมจ้าวเฟิงไม่ขาดปากด้วยความพึงพอใจอย่างมาก

พูดได้ว่า ชายหนุ่มอ่อนวัยตรงหน้าคนทั้งสองนี้คือผู้ถูกเลือกที่มีพรสวรรค์สายเลือดแข็งแกร่งเป็นที่หนึ่งของทวีป ต่อให้เป็นสิบยอดสำนักแห่งทวีปก็ต้องทุ่มเทกำลังกายใจและทรัพยากรมากมายจึงจะสร้างอัจฉริยะชั้นยอดเช่นนี้ได้

“จ้าวลัทธิหง ท่านมีเรื่องอะไรจะสั่งอีกหรือไม่?” จ้าวเฟิงมองสังเกตอย่างถี่ถ้วน แล้วจึงพบว่าบาดแผลของจ้าวลัทธิหงสมานไปมากแล้ว ไอสวรรค์เองก็ได้ฟื้นตัวแล้วไม่น้อย

ทันทีที่ผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดผู้นี้ปรากฏกายสู่สายตาชาวอาณาจักรนภาก็จะไม่มีคำครหาใดอีก

“พลังของข้าในตอนนี้ฟื้นคืนมาพอประมาณแล้ว อีกไม่กี่เดือนน่าจะไปสหพันธ์แดนศักดิ์สิทธิ์ได้ แล้วเรื่องเมื่อคราวก่อนเจ้าคิดไปถึงไหนแล้ว” จ้าวลัทธิหงถามพลางหัวเราะเบาๆ

เรื่องเมื่อคราวก่อน?

จ้าวเฟิงพลันรู้สึกเย็นวาบเมื่อคิดออกว่าเรื่องนั้นคือเรื่องใด

“จ้าวเฟิง การเข้าร่วมสามตำหนักเซียนสำหรับเจ้าและลัทธิโลหะเลือดแล้วล้วนแต่มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เจ้าต้องเข้าใจว่าเมืองชิงหัวและเกาะเล็กเกาะน้อยในละแวกทั้งหลาย มีผู้ควบคุมพื้นที่เหล่านี้ก็คือสามตำหนักเซียน” เถี่ยหมัวเอ่ยเตือน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จ้าวเฟิงรู้สึกสับสนลังเลอยู่เล็กน้อย

จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวมองหน้ากัน

“จ้าวเฟิง เจ้ามีความลำบากใจอะไรปกปิดไว้รึเปล่า?” จ้าวลัทธิหงเอ่ยถาม จ้าวเฟิงเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไร จึงเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ‘หลิวฉินซิน’ ให้ฟัง

เมื่อได้ยินจ้าวเฟิงกล่าวอธิบายจบ จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวก็อดตกใจไม่ได้ หากพูดตามหลักการหลิวฉินซินก็ถือได้ว่าเป็นคู่หมั้นหมายของจ้าวเฟิงแล้ว

ในภายภาคหน้าหากจะเข้าไปยังต่างแดนเพื่อตามหามรดกเซียนพิณสวรรค์ ข้ออ้างนี้ก็ถือว่าฟังขึ้น

“จ้าวเฟิงผู้นี้ช่างให้ความสำคัญกับความรู้สึกนัก…” จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวมองตากัน ภายในใจรู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่เล็กน้อย

ในความเป็นจริง จ้าวเฟิงไม่อาจตัดสินใจได้โดยพลการว่าต้องการจะเข้าร่วมกับสามตำหนักเซียนหรือไม่ ทั้งยังมีอีกเหตุผลสำคัญประการหนึ่งนั่นก็คือจ้าวหยูเฟ่ยและซากปรักหักพังสือเฉิง

อีกทั้งหลังจากที่จ้าวเฟิงได้รับคำชี้แนะจากปราชญ์ลิ่วอูแล้วจึงเกิดความสนใจ ‘แปดเนตรเทพเจ้า’ ในตำนานขึ้นมา ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้จ้าวเฟิงไม่อาจรั้งอยู่ที่ลัทธิใดนานๆ เนื่องจากจะมีข้อจำกัดมากมาย

“จ้าวเฟิง การตัดสินใจของเจ้าพวกเราจะไม่แทรกแซง แต่ว่าก่อนที่เจ้าจะออกไปยังต่างแดนต้องมีพลังที่เพียงพอ นั่นคืออย่างน้อยๆ เจ้าต้องทะลุไปถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก่อนจึงเหมาะสมที่จะจากไป” จ้าวลัทธิหงกล่าวเตือน

“ขอบคุณจ้าวลัทธิที่แนะนำ” จ้าวเฟิงตื้นตันใจจึงรีบเอ่ยกล่าวขอบคุณ

จ้าวลัทธิหงและเถี่ยหมัวล้วนแต่ไม่อยากให้จ้าวเฟิงออกไปเผชิญอันตรายที่ต่างแดน ในทางกลับกันการอยู่ที่สำนักระดับสองดาวจะเหมาะกับการเติบโตของเขามากกว่า

เพียงแต่ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เคารพการตัดสินใจของจ้าวเฟิง

ผู้ที่เอาชนะผู้ถูกเลือกของทวีปมาหลายสมัย ทางที่เขาเดินบางทีอาจจะไม่เหมือนกับผู้ใดก็เป็นได้

ถัดจากนั้น จ้าวลัทธิหงเล่าเรื่องราวต่างๆ ของต่างแดนให้จ้าวเฟิงฟัง

“ทฤษฎีว่าไว้ หากไปถึงขั้นนายเหนือแท้จะสามารถเดินข้ามผ่านทะเลความว่างเปล่าและไปสู่ต่างแดนได้ นี่คือมาตรฐานที่ต่ำที่สุด!”

จ้าวลัทธิหงหยุดชะงักไป

ขั้นนายเหนือแท้?

จ้าวเฟิงใจเต้น ทั่วทั้งอาณาจักรนภาผู้ที่สามารถไปถึงขั้นนายเหนือแท้ก็มีอยู่เพียงน้อยนิด โดยปกติแล้วเมืองที่แข็งแกร่งก็จะมีนายเหนือแท้อยู่เพียงแค่คนสองคน นี่หมายความว่าโลกทรรศน์ของคนส่วนมากถูกจำกัดไว้นั่นเอง

ทั้งนี้นายเหนือแท้เองยังถือว่าเป็นระดับที่ต่ำที่สุด

“หากเจ้าอยู่ในขั้นนายเหนือแท้ธรรมดาแล้วเดินทางไปที่ต่างแดนจะมีความเสี่ยงค่อนข้างมาก ความเสี่ยงจะลดลงเล็กน้อยหากเจ้าไปถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด อีกอย่างคือผู้ไปถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดที่ต่างแดนก็มีน้อยมาก นับได้ว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่ง จึงสามารถออกไปท่องโลกต่างแดนได้อย่างสบายใจ” จ้าวลัทธิหงอธิบาย

 

ในความเป็นจริงผู้สูงศักดิ์ในทวีปมักจะไปที่เกาะอื่นๆ อยู่บ่อยครั้ง แต่ว่าคนในขั้นนายเหนือแท้กลับไม่ได้ออกไปไหนง่ายๆ นอกเสียจากว่าจะมีผู้สูงศักดิ์นำทาง ดังเช่นจ้าวลัทธิหงที่เมื่อยามในยุครุ่งโรจน์ก็มักจะไปที่ดินแดนเกาะรอบๆ ทวีปบุปผาคราม

สามวันต่อจากนั้น

จ้าวลัทธิหงออกจากการฝึกตนในระยะเวลาสั้นๆ ด้วยความแข็งแกร่งจากการฝึกตนในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิด นั่นสามารถเขย่าโลกให้สั่นสะเทือนได้เลยทีเดียว!

เวลาเพียงครึ่งเดือน ข่าวนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วอาณาจักรนภา คนระดับสูงทุกฝ่ายล้วนแต่หวาดผวา

วันหนึ่งจ้าวลัทธิหงเข้าไปพระราชวังเพื่อถวายเคารพราชา ฉินหวางเฟย รวมไปถึงผู้อาวุโสของราชวงศ์ด้วยตนเอง

คนของราชวงศ์อาณาจักรนภาเงียบสงบ ไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ใด

“นับจากวันนี้เป็นต้นไปจ้าวลัทธิหงจะเป็นราชครูของอาณาจักรนี้ ลัทธิโลหะเลือดเป็นลัทธิอันดับหนึ่งของแคว้น หากผู้ใดจองหองกับพวกเขาเท่ากับว่าเป็นศัตรูของราชวงศ์”

นี่เป็นการตัดสินใจที่ต้องทำอย่างเสียไม่ได้ของราชาแห่งอาณาจักรนภา

เมื่อผู้สูงศักดิ์ปรากฏกายออกมา แปดขั้วอำนาจของอาณาจักรนภาคือหนึ่งราชวงศ์ สามสำนัก สี่ชนเผ่าก็ไม่มีเสียงคัดค้านอีกเลย ลัทธิโลหะเลือดในตอนนี้ได้กลายเป็นขั้วอำนาจอันดับหนึ่งของแคว้นไปแล้วโดยไม่ต้องสงสัย

แต่ถึงจ้าวลัทธิหงจะยังไม่ออกจากการฝึกตน ลัทธิมีเพียงแค่จ้าวเฟิงและเถี่ยหมัวก็กดดันเหล่าราชวงศ์มากพออยู่แล้ว

ตอนนี้เมื่อผู้สูงศักดิ์กลับมา ระดับความแข็งแกร่งระหว่างลัทธิโลหะเลือดกับสำนักระดับหนึ่งดาวนับว่าไม่ไกลอีกแล้ว เพียงแค่ขาดคุณสมบัติบางด้านไปก็เท่านั้น

แต่เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้อยู่ในความสนใจของจ้าวเฟิงเลยแม้แต่นิดเดียว เขาออกจากสาขาหลักของลัทธิโลหะเลือดไปตามหาสถานที่ลับเพื่อฝึกตนเมื่อสิบวันที่แล้ว

ครึ่งเดือนหลังจากจ้าวลัทธิหงออกจากการจำศีลฝึกตน

ชิ้ง!

กลุ่มแสงสดใสตระการตาพุ่งจากฟ้าลงมายังฐานหลักของลัทธิโลหะเลือด

ไอพลังแข็งแกร่งที่ไม่อาจประมือได้ทำให้คนทั้งลัทธิรู้สึกตื่นตระหนก แม้กระทั่งรองจ้าวลัทธิเถี่ยหมัวก็กดดันอยู่ไม่น้อย

“เป็นผู้ใดกัน!” ยอดฝีมือในลัทธิโลหะเลือดได้สติจึงตั้งแถวแล้วมองไปยังชายหนุ่มเรือนผมสีดำบนฟ้า

“หยูเทียนฮ่าว!” เจียงซานเฟิงเอ่ยเสียงต่ำ ยังมีอีกหลายคนที่รู้ถึงสถานะของผู้มาเยือน

ชายหนุ่มผมดำผู้นั้นคือหยูเทียนฮ่าวผู้ที่รีบเร่งมาจากเมืองศักดิ์สิทธิ์จินหยาง

“จ้าวเฟิงอยู่หรือไม่?” หยูเทียนฮ่าวกวาดตามองผ่านด้วยสีหน้านิ่งสงบ แต่จิตใจของคนเหล่านั้นราวกับโดนโจมตีอย่างรุนแรงจนไม่อาจเผชิญหน้ากับเขา

แม้แต่ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเถี่ยหมัวก็มิอาจทนรับความกดดันจากเจตนาแรงกล้าในสายตาของหยูเทียนฮ่าวได้

“หยูเทียนฮ่าวผู้นี้แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้มากนัก!” เถี่ยหมัวลอบหวั่นวิตก

“หยูเทียนฮ่าวเจ้ามาผิดเวลาแล้ว จ้าวลัทธิจ้าวเพิ่งจากไปเมื่อสิบวันก่อน บอกไว้ว่าจะไปตามหาที่เงียบๆ เพื่อฝึกตน” เจียงซานเฟิงตอบแบบแกนๆ

“เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?” หยูเทียนฮ่าวตัดสินใจจะอยู่รอที่ลัทธิโลหะเลือดสักระยะหนึ่ง

ถ้าหากพลาดโอกาสในครั้งนี้ ต่อไปเกรงว่าจะหาโอกาสประลองกับจ้าวเฟิงยากแล้ว

“หยูเทียนฮ่าว? เจ้าคือบุตรชายของหยูซิงเฉินใช่ไหม?”

น้ำเสียงชราเต็มแฝงความใจดีดังขึ้นในหัวของหยูเทียนฮ่าว

“ผู้สูงศักดิ์!” หยูเทียนฮ่าวหน้าตึง ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ย”หลานเทียนฮ่าวเคารพผู้อาวุโสหง”

ที่ทวีปบุปผาคราม ผู้สูงศักดิ์ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดมีอยู่ไม่กี่คนจึงล้วนแต่รู้จักมักคุ้นกัน เมื่อลัทธิโลหะเลือดมีผู้สูงศักดิ์คอยดูแลอยู่ หยูเทียนฮ่าวจึงสงบปากคำและรออยู่ที่นี่อย่างเงียบๆ

ณ ตำหนักใต้ดิน

“พี่หง หยูเทียนฮ่าวผู้นี้ไม่ได้มาดี มองทั้งแผ่นดินนี้แล้วมีเพียงเขาที่สามารถเขย่าตำแหน่งของจ้าวเฟิงได้ เกรงว่านี่จะเป็นการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งอัจฉริยะอันดับหนึ่งของแผ่นดิน” ชายผมแดงเถี่ยหมัวมีความกังวลใจ

เจ้าลัทธิหงเองก็มีสีหน้าหนักใจ พยักหน้าแล้วเอ่ยว่า”ในบรรดาผู้สูงศักดิ์ของทวีป บิดาของหยูเทียนฮ่าวนับได้ว่ามีพลังที่กล้าแข็ง แล้วไหนจะยังปูมหลังของตระกูลหยูที่ขนาดสามตำหนักเซียนยังยำเกรงอีก”

“พี่หงคิดว่าหากหยูเทียนฮ่าวประมือกับจ้าวเฟิง ใครจะมีโอกาสชนะมากกว่ากัน?”

เถี่ยหมัวถามอย่างเป็นกังวล

“ถ้าหากหยูเทียนฮ่าวไม่ได้กระตุ้นพลังสายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทานมาสู้กับจ้าวเฟิงล่ะก็ จะมีโอกาสชนะเพียงสี่ส่วนเท่านั้น เพราะระดับของขอบเขต จิตวิญญาณ และสายเลือดดวงตาจ้าวเฟิงแข็งแกร่งนัก แต่ถ้าหากว่าหยูเทียนฮ่าวผู้นั้นใช้สายเลือดสวรรค์ไร้เทียมทานในตำนาน โอกาสชนะก็จะมีห้าถึงหกส่วน…” จ้าวลัทธิหงเอ่ยอย่างครุ่นคิด

ในฐานะที่เป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ประสาทสัมผัสทางดวงตาของจ้าวลัทธิหงช่างกว้างไกลและมองได้ทะลุปรุโปร่งนัก หากไม่เช่นนั้นแล้ว ในครั้งแรกที่เขาพบจ้าวเฟิงก็คงจะไม่ยอมมอบ ‘จิตวิญญาณเหมันต์’ และชิ้นส่วนบันทึกหมิงถงให้กับเด็กหนุ่ม

เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปแล้วสิบกว่าวัน

“เหอะเหอะ จ้าวลัทธิหงสบายดีหรือไม่…”

เสียงดังมาจากท้องฟ้า เป็นเสียงของชายชราในชุดคลุมสีขาวผู้มีไอเซียนท่านหนึ่ง ในวินาทีที่ชายชราร่อนลงมา ไอสวรรค์ทั่วฟ้าดินเกิดพลังประหลาด แล้วฉับพลันค่อยๆ ไหลตามนักพรตผู้นี้มาอย่างนุ่มนวลราวสายน้ำ

การเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดนี้มีเพียงบุคคลในขั้นผู้วิเศษแท้ขึ้นไปไม่กี่คนเท่านั้นที่สัมผัสได้

ณ สาขาหลักลัทธิโลหะเลือด ในห้องรับแขกห้องหนึ่ง

“ผู้สูงศักดิ์มาปรากฏตัวอีกท่านแล้ว!” หยูเทียนฮ่าตื่นเต้น”ฮ่าฮ่าฮ่า! ท่านนักพรตไป๋หยุนหรือนี่? ไม่พบกันหลายร้อยปี ท่านมีเวลาว่างมาแวะที่บ้านข้าแล้วงั้นสิ?”

ชายชราผมแดงคิ้วเข้มท่านหนึ่งปรากฏตัวด้วยความเร็วแสงออกมาต้อนรับชายชราในชุดขาว

ชายชราผู้ที่รีบร้อนออกมาจะเป็นใครอื่นนอกจากจ้าวลัทธิหง

ส่วน ‘นักพรตไป๋หยุน’ เคยปรากฏตัวที่งานชุมนุมเซียนมังกรแล้ว

“นักพรตไป๋หยุน! ผู้อาวุโสแห่งสำนักเทียนหยวน!”

ภายในลัทธิโลหะเลือดมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มองตัวตนของนักพรตไป๋หยุนออก หนึ่งในนั้นก็คือเถี่ยหมัว

ไม่นานนักนักพรตไป๋หยุนและจ้าวลัทธิหงก็มานั่งพูดคุยในตำหนักรอง ด้านข้างยังมีรองจ้าวลัทธิเถี่ยหมัวด้วย

“นักพรตไป๋หยุน เจ้ามาที่ลัทธิโลหะเลือดของข้าคงไม่ใช่แวะผ่านมานั่งเล่นหรอกกระมัง”

สายตาของเจ้าลัทธิหงเป็นประกาย คนทั้งสองเป็นระดับขั้นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิด แค่ไปมาหาสู่รู้จักกันแต่ไม่นับว่าสนิทสนม ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถือเป็นคนรู้จักกันธรรมดา

“ที่ข้ามาครั้งนี้เพราะอยากจะพบจ้าวเฟิง” นักพรตไป๋หยุนเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อม

พบจ้าวเฟิง?

จ้าวลัทธิหงและรองจ้าวลัทธิโลหะเลือดสบตากันแวบหนึ่งประหนึ่งส่งสัญญาณว่า…ทำไมถึงมาอีกคนแล้ว?

หยูเทียนฮ่าวผู้นั้นอยู่ที่ลัทธิโลหะเลือดยังไม่ทันได้จากไป ตอนนี้ก็มีผู้สูงศักดิ์มาอีกคนแล้ว?

ชายผมแดงเถี่ยหมัวคิดวนไปมาเล็กน้อย แล้วจึงนึกเจตนาที่นักพรตไป๋หยุนมาที่นี่ออก

มิน่าล่ะ

“เดิมทีในงานเลี้ยงเซียนมังกร ณ เมืองศักดิ์สิทธิ์ จ้าวเฟิงและหยูเฟ่ยลูกศิษย์ข้าหายไปในมรดกต่างแดนนิรนามด้วยกัน…” นักพรตไป๋หยุนบอกถึงเจตนาที่มาที่นี่อย่างรวดเร็ว

ทั้งหมดนี้ล้วนสมเหตุสมผลในด้านของความรู้สึก

นักพรตไป๋หยุนต้องการมาถามจ้าวเฟิงด้วยตนเองเกี่ยวกับข่าวคราวที่แน่ชัดของจ้าวหยูเฟ่ย

“…จ้าวเฟิงได้โอกาสกลับมาอย่างปลอดภัย ส่วนลูกศิษย์ข้าผู้นั้นจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข่าวคราวใด ถึงแม้ว่าเทียนอี้ได้นำข่าวมาบอกแต่ข้าก็ยังมีข้อสงสัยอยู่”

นักพรตไป๋หยุนเอ่ยเสียงเย็น พลังแห่งประสาทสัมผัสทั้งห้าราวกับพุ่งทะลุทุกคนในสาขาหลักของลัทธิโลหะเลือด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version