Skip to content

King of Gods 535

King Of Gods

บทที่ 535 ท่านพ่อบ้าน

ชั้นสามของวิหารสือเฉิง

หลังจากทักทายปราศรัยกันแล้ว ในที่สุดจึงเข้าสู่เรื่องเป็นการเป็นงาน

“ท่านผู้อาวุโสสือเฉิง พวกท่านส่งข้อความแจ้งให้ข้าเข้ามายังซากปรักหักพังสือเฉิง มิทราบว่ามีอะไรให้ข้ารับใช้งั้นหรือ?”

วาจาของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความเกรงอกเกรงใจ ในน้ำเสียงมีแววของความเคารพพินอบพิเทาด้วย

อย่างไรก็ตามแต่ เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงยามมีชีวิตอยู่เป็น ‘เซียนจื่อเย่’ อย่างเต็มสภาพ นางเคยอยู่ในขั้นเหนือกว่าสุดยอดราชันในขอบเขตปราณเทวะเสียด้วยซ้ำ

อีกทั้งครั้งก่อนที่จะจากไปครานั้น เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงได้ช่วยเหลือเขาไว้หลายอย่าง

ไม่ว่าจะเป็นโล่มังกรหยก หอกจักรพรรดิเหมันต์ หรือประคำหมื่นวิญญาณ ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความช่วยเหลือที่ได้รับจากเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง

“จ้าวเฟิง ในขณะนี้ซากปรักหักพังสือเฉิงยังไม่ได้มีภยันอันตรายใดๆ ก็จริง แต่ว่ามีภัยเงียบแฝงอยู่บ้าง นอกมิติของซากปรักหักพัง สำนักระดับสองดาวสามสำนักมีราชาในขอบเขตปราณเทวะคุมสำนักอยู่ตลอด บางครายังเชิญปรมาจารย์ด้านค่ายกลผู้ปราดเปรื่องมาด้วย และไม่หยุดที่จะทำลายพลังของมิติซากปรักหักพังนี้…” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงสาธยาย

สถานการณ์ของซากปรักหักพังสือเฉิงมีเค้าลางของความวุ่นวายลอยมาแต่ไกล

ประการแรกคือ ‘สถานการณ์คร่าวๆ’ ของมิติซากปรักหักพัง

มรดกมิติซากปรักหักพังสือเฉิงแห่งนี้มีพื้นที่รัศมีกว้างใหญ่เกินกว่าแปดพันลี้

มิติที่มีผู้ควบคุมดูแลเพียงคนเดียวแล้วมีรัศมีถึงแปดพันลี้ สำหรับยอดมือแล้วนับว่าเป็นเรื่องที่ยากเกินจินตนาการ

ต้องรู้ก่อนเลยว่า ภายในพื้นที่ธรรมดาของซากปรักหักพังสือเฉิงมีสภาพแวดล้อมปราณจิตวิญญาณเป็นสิบเท่าของทวีปบุปผาคราม ส่วนพื้นที่พิเศษตรงใจกลางก็เป็นร้อยเท่าของทวีปบุปผาคราม

ภายในมิติมีพื้นที่ส่วนน้อยนิดที่ยังคงมีสภาพภูมิศาสตร์เช่นเดิม จึงมีของล้ำค่าต่างๆ ซุกซ่อนอยู่ เรียกได้ว่าจำนวนมากมายมหาศาลจนไม่อาจนับได้

จุดนี้เมื่อคราวก่อนที่จ้าวเฟิงเข้ามาภายในซากปรักพังสือเฉิงได้สัมผัสมาแล้วด้วยตนเอง

นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีเหล่าอสูรหายากหลากหลายชนิด พวกที่ฝึกตนถึงขั้นขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงมีเป็นร้อยพันตัว หรือแม้กระทั่งอสูร ‘ระดับผู้สูงศักดิ์’ ที่มีอยู่น้อยนิดในสภาวะจำศีล รวมไปถึงเหล่าสัตว์อสูรโบราณบางชนิดที่พบเจอได้เฉพาะภายในมิติเท่านั้น นับได้ว่าเป็นมูลค่าที่ไม่อาจประมาณได้

“หยูเฟ่ยได้กลายเป็นผู้สืบทอดของมิติซากปรักหักพังนี้ โอกาสสำคัญเช่นนี้แม้แต่เหล่าอัจฉริยะเซียนมังกรยังไม่อาจคาดคิดได้” ในใจจ้าวเฟิงปลื้มปิติ

ในบรรดาอัจฉริยะที่เข้าสู่มรดกต่างแดน ผู้ที่มีโอกาสมากที่สุดกลับไม่ใช่ผู้ถูกเลือกผู้ไร้คู่ต่อสู้ทั้งห้า แต่เป็นจ้าวหยูเฟ่ย

“‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ที่เจ้าเห็นอยู่ในตอนนี้เป็นผลจากความทรุดโทรมหลังผ่านไปหมื่นปี ทั้งขนาดอาณาเขตก็ล้วนแต่หดเล็กลง เมื่อหมื่นปีก่อนในยามยุครุ่งโรจน์มันแข็งแกร่งกว่านี้มากนัก…” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงทอดถอนใจ

ใจจ้าวเฟิงกระตุกวูบ มิติสือเฉิงในตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่อ่อนแอและตกต่ำที่สุดแล้ว? นึกภาพไม่ออกเลยว่าซากปรักหักพังสือเฉิงในยามรุ่งโรจน์จะมีลักษณะเช่นไร

 

“ขอบังอาจถามผู้อาวุโสสือเฉิง ในมิติซากปรักหักพังนี้มีภัยอะไรแอบซ่อนอยู่ แล้วข้าสามารถช่วยอะไรได้บ้าง?” จ้าวเฟิงเอ่ยปากถามอย่างสงสัย

“พลังของข้าเหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว เนื่องด้วยอายุ เวลา และปัจจัยภายนอกต่างๆ เคลื่อนไหวไม่หยุดเหมือนสายน้ำไหล ตอนนี้ยังต้องช่วยเหลือหยูเฟ่ยสร้างแกนกลางของซากปรักหักพัง ทว่าข้าไม่สามารถควบคุมอะไรในมิตินี้ได้แล้ว” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงทอดถอนใจอีก

นางเอ่ยต่อว่า “ถ้าหากในยุครุ่งโรจน์พลังของข้าเทียบเท่าได้กับ ‘เทพเซียน’ ของมิติแห่งนี้ เพียงห้วงความคิดเดียวของข้าก็ทำให้ภูเขาถล่มทะเลปั่นป่วนได้” ในยามรุ่งโรจน์นางคงจะสามารถควบคุมทุกอย่างภายในซากปรักหักพังไว้ในกำมือ

“ผู้อาวุโสสือเฉิง ในขณะนี้ท่านควบคุมมิติซากปรักหักพังนี้ได้มากน้อยเพียงใด?” แววตาจ้าวเฟิงเป็นประกายยามถามประเด็นสำคัญ

“ตอนนี้เหลือเพียงแค่มีประสาทสัมผัสสามารถสอดส่องทั่วทั้งมิติ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็ไม่อาจหลบหนี ‘ดวงตา’ ของข้าได้ แต่ว่ารอยร้าวบางจุดมีขีดจำกัดบางอย่างที่ข้าทำไม่ได้” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น

จ้าวเฟิงได้ยินเช่นนั้นจึงผงกศีรษะสองสามที สถานการณ์นี้คราวก่อนที่เขาเข้ามาถึงก็พอจะรู้อยู่บ้าง เท่ากับว่าเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง ‘ควบคุม’ อะไรในมิติซากปรักหักพังสือเฉิงนี้ไม่ได้แล้ว

อย่างเดียวที่พอทำได้ก็คือ ‘สอดส่ายสายตา’ ในทุกซอกทุกมุมของซากปรักหักพังนี้

“ตอนนี้ภายในมิติซากปรักหักพังมีอสูรจำนวนมากที่ไม่ยอมฟังคำสั่งข้า นึกถึงในยามก่อน เพียงห้วงความคิดของข้าก็ตัดสินความเป็นความตายของพวกมันได้แล้ว ต่อให้เป็นราชาแห่งขอบเขตปราณเทวะบุกเข้ามายังมิติแห่งนี้ก็ไม่อาจจะต้านทานอะไรข้าได้” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ

จ้าวเฟิงอดตกใจไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเหตุผลที่ทำให้นางรีบร้อนหา ‘ผู้สืบทอด’ นั่นเป็นเพราะว่านางกำลังจะสูญสลายนั่นเอง

“จ้าวเฟิง!” แล้วเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงก็เอ่ยต่อ “พลังที่หลั่งไหลออกไปของมิติซากปรักหักพังนี้ไม่ค่อยมั่นคงนัก จะต้องเป็นเพราะรอยโหว่กับรอยแตกร้าวที่นับวันยิ่งมีมากขึ้น ข้าและหยูเฟ่ยไม่มีเวลาปลีกตัวไป จึงต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”

ในที่สุดจ้าวเฟิงก็เข้าใจ ‘หน้าที่’ ของตนเองแล้ว

พูดง่ายๆ หน่อยคือเขาเป็น ‘พ่อบ้าน’ ที่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเชิญมาจัดการเก็บกวาดเรื่องราวภายในมิติซากปรักหักพังนี้

ภายในที่แห่งนี้ รอยโหว่และรูรั่วทั้งหลายเหล่านั้นจะทวีความไม่มั่นคงของมิติมากขึ้นทุกวัน

หรือเรียกได้ว่ารอยโหว่และรอยร้าวเหล่านี้คือ ‘จุดบุกทะลวง’ ของสำนักระดับสองดาวสามสำนักนั่นเอง

“แน่นอนว่าเพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะยกทรัพยากรมากมายภายในมิติซากปรักพังนี้ให้เจ้าไว้ใช้แล้วกัน” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงยิ้มแย้ม

“ไม่มีปัญหา” จ้าวเฟิงตกปากรับคำ เขาเพียงแต่เป็น ‘พ่อบ้าน’ ที่ดีของมิติซากปรักหักพังนี้ ก็สามารถซึมซับเอาสภาพแวดล้อมสำหรับฝึกตนอันเป็นเลิศอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ และยังได้ทรัพยากรอันทรงคุณค่าที่หาได้ยากยิ่งอีก

มากไปกว่านั้นเขาและจ้าวหยูเฟ่ยมีความสัมพันธ์กันแบบเพื่อนสมัยเด็กที่เติบโตมาด้วยกัน

แน่นอนว่านี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเลือกที่จะเชื่อใจเขา

“สวรรค์…นี่คือขนมแป้งสอดไส้หล่นลงมาจากฟ้า[1]งั้นหรือไร” เจ้าหอโครงกระดูกผู้อยู่ภายในประคำหมื่นวิญญาณตาโตอ้าปากค้าง เบื้องหลังของจ้าวเฟิงมีมิติซากปรักหักพังขนาดใหญ่เช่นนี้ จึงไม่แปลกใจที่เขาแทบไม่เป็นกังวลเรื่องทรัพยากรของ ‘แผนการร้อยศพ’ เลย

ครึ่งชั่วยามจากนั้น จ้าวเฟิงก็พอเข้าใจสถานการณ์ของมิติซากปรักหักพังในระดับหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังไปเฉยๆ เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงจึงให้ ‘ซากวิหาร’ ทำการหลอมรวมเข้ากับชั้นส่วนลึกของมิติอีกครั้ง

สวบ!

ร่างของจ้าวเฟิงอันตรธานหายไปปรากฏบนร่างของหอคอยพฤกษาปีศาจ ซากวิหารนั้นหายไปแล้ว

“แป้งสอดไส้ที่หล่นลงมาจากฟ้างั้นรึ? ใต้ฟ้าผืนนี้มีอะไรที่ได้มาเปล่าด้วยหรือ?” จิตใจของจ้าวเฟิงสงบลงช้าๆ

เมื่อดูจากผิวเผินแล้ว เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเลือกเขา คล้ายว่าเขาได้ขนมแป้งสอดไส้ที่หล่นลงมาจากฟ้า ทว่าภัยอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่มิน่าใช่เรื่องใหญ่โตธรรมดาทั่วไป

ทันทีที่สำนักสองดาวทั้งสามส่งยอดฝีมือเข้ามายังมิติซากปรักหักพังนี้ จ้าวเฟิงก็ต้องเป็นแกนนำหลัก

“ตามที่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงกล่าวไว้ ในมิติซากปรักหักพังนี้มีรอยโหว่รอยร้าวเกือบร้อย แต่รูโหว่ที่มีขนาดใหญ่ซึ่งสามารถส่ง ‘ผลร้าย’ มีประมาณสองสามแห่ง” ในหัวของจ้าวเฟิงปรากฏ ‘แผนภาพ’ ของช่องโหว่และจุดอ่อนของมิติซากปรักหักพังอย่างรวดเร็ว

ช่องโหว่ที่ปรากฏบนแผนภาพโดยส่วนมากมีรอยร้าวที่สามารถก่อให้เกิดปัญหาหรือภัยต่างๆ ได้

“เกือบร้อยแห่งเลยทีเดียว” เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จ้าวเฟิงก็รู้สึกปวดหัวแทบจะทันที

การอุดรอยโหว่ที่ผุพังต่างๆ อาจจะส่งผลไปถึงพลังเสวียนอ้าวที่สูงส่งและล้ำลึก หรือยิ่งไปกว่านั้นอาจส่งผลไปถึงค่ายกลของมิติด้วย

นับว่ายังพอโชคดีที่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงมีวิธีการซ่อมแซมให้ไว้หมดแล้ว ไม่ต้องให้จ้าวเฟิงลำบากในเรื่องนี้

ที่ได้กล่าวไปในข้างต้น เรื่องที่จ้าวเฟิงหนักใจนั่นคือ ‘รอยโหว่’ ขนาดใหญ่สามแห่ง

รอยโหว่ขนาดใหญ่ทั้งสามนี้อาจนำมาซึ่งอันตรายใหญ่หลวง มันอาจจะกลายเป็นทางทะลวงเข้ามาของสำนักทั้งสาม หนึ่งในนั้นก็คือรอยโหว่จากหุบเขาลี้ลับแห่งนี้ อีกทั้งบังเอิญที่หอคอยพฤกษาปีศาจอยู่ตรงใจกลางของหุบเขาพอดี

“เจ้ามนุษย์? พวกเราต้องร่วมมือกันอีกครั้งหนึ่งในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้เลยหรือ?” หอคอยพฤกษาปีศาจหัวเราะเสียงดัง จ้าวเฟิงเม้มปากแล้วจึงเริ่มซ่อมแซมรอยโหว่ขนาดใหญ่ในพื้นที่แห่งนี้

รอยโหว่ปกติแล้วจะหมายถึงว่ามิติของพื้นที่นั้นอ่อนพลังลง ไอสวรรค์เกิดการแตกร้าวฉีกขาดจึงส่งผลให้ไม่อาจหมุนเวียนพลังได้หรือขาดหายไป

ถ้าหากว่าซ่อมแซมไม่ทันเวลาแล้วรอยโหว่นั้นยิ่งขยายใหญ่ขึ้น อาจจะส่งผลกระทบไปถึงการโคจรของทั้งมิติด้วย

พูดให้เข้าใจง่ายหน่อยก็เปรียบเอากับร่างของมนุษย์ หากบางอวัยวะเกิดป่วยหรือติดเชื้อขึ้นมาก็ต้องการการรักษา ‘วิธีการรักษา’ ที่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเสนอขึ้นมาหลักๆ เลยคือการขุดผลึกเริ่มต้น และใช้พลังส่วนนอกเพื่อสร้างไอสวรรค์ฟ้าดิน

กรรมวิธีนั้นรวมไปถึงการสร้างค่ายกลผนึกไอสวรรค์หรือค่ายกลฟื้นฟูประเภทต่างๆ เพื่อซ่อมแซม เพิ่มเติม และขุดลอก

ถึงขนาดที่ว่ามีบางจุดที่จ้าวเฟิงจะต้องลงมือทำด้วยตนเอง ดังเช่นการกระตุ้นและนำทางพลังไอสวรรค์

การซ่อมแซมในวันแรกทำให้จ้าวเฟิงเหนื่อยสายตัวแทบขาด

ก่อนที่จะจัดการเตรียมค่ายกลฟื้นฟูต้องขุดเอาผลึกเริ่มต้นหรือไม่ก็ผลึกพิเศษบางชนิด

อีกทั้งนี่เป็นเพียงการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุดด้วย

“ออกมา” จ้าวเฟิงโบกมือครั้งหนึ่ง แล้วจึงเอาเจ้าหอโครงกระดูก หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬสองร่าง กับเจ็ดร่างหุ่นเชิดศพต้องสาปออกมา

“นายท่าน นี่ท่าน…” เจ้าหอโครงกระดูกเอ่ยอย่างสงสัย

“จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะต้องช่วยข้าซ่อมแซมรอยโหว่ของมิติซากปรักหักพังนี้ รวมไปถึงขุดเอาพวกทรัพยากรประเภทผลึกต่างๆ เพื่อมาสร้างค่ายกล…” จ้าวเฟิงแจกแจง

จ้าวเฟิงตัดสินใจนำหุ่นเชิดศพที่แข็งแกร่งเหล่านี้มาใช้งาน แต่ว่าพวกมันทำได้แค่เพียงงานหยาบเท่านั้น งานละเอียดที่ต้องการความปราณีตนั้นทำได้ไม่ดีนัก

“จ้าวเฟิง เจ้าต้องการให้ข้าผู้เป็นถึงเจ้าหอลัทธิมารจันทราชาดมาเป็นแรงงานทาสให้เจ้า? หรือว่าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าช่วยสร้าง ‘แผนการร้อยศพ’ ให้บรรลุแล้วงั้นรึ?” เจ้าหอโครงกระดูกตัดพ้อ

“งานหลักของเจ้าคือการสร้างหุ่นเชิดศพต้องสาป แต่ว่าก็ยังมีบางเรื่องที่ต้องการให้เจ้าควบคุมบ้าง” จ้าวเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ

เจ้าหอโครงกระดูกผ่านโลกมามาก เข้าใจปรุโปร่งในหลักการของค่ายกลต่างๆ แล้วด้วยพลังของผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดของเขา การชี้แนะต่างๆ จึงมิด้อยไปกว่าจ้าวเฟิงเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าก็อย่าแอบขี้เกียจ!” จ้าวเฟิงยื่นมืออีกข้างออกมา จึงปรากฏเจ้าแมวขโมยตัวน้อยสีเทาเงินที่กำลังนอนหลับอยู่

เมี้ยว เมี้ยว!

เจ้าแมวชูกรงเล็บเป็นการประท้วง

มันไม่โปรดปรานการทำงานหนักที่ต้องใช้แรงงานพวกนี้มากนัก

“ไม่ เจ้าทำหน้าที่ตรวจตรา” จ้าวเฟิงคว้าเอาเจ้าแมวขโมยขึ้นมา แล้วบินไปยังจุดต่างๆ ของซากปรักหักพังสือเฉิง

ครึ่งเดือนหลังจากนั้น

จ้าวเฟิงและเจ้าแมวขโมยบินทะลุอากาศกลับมา เนื้อตัวทั้งสองมอมแมม เบื้องหลังมีฝุ่นควันโขมง เจ้าหอโครงกระดูกมองแล้วจึงอ้าปากค้าง

เห็นกองทัพอสูรขนาดใหญ่ที่โครมครามตามหลังจ้าวเฟิงมา เงาเล็กใหญ่มีหลายสิบเงา ในขบวนนั้นล้วนแต่เป็นอสูรที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริง

สัตว์อสูรทั้งหลายมีทั้งประเภทลิง ตัวนิ่ม และมีช้างขนาดมหึมาด้วย เมื่อเทียบกับมนุษย์ที่ร่างกระจ้อยร่อยแล้วสัตว์อสูรเหล่านั้นใหญ่โตราวภูเขาทีเดียว

สัตว์อสูรเหล่านี้ล้วนแต่ถูกจ้าวเฟิงควบคุมไว้จนหมดสิ้น

สวบ! สวบ! สวบ! เจ้าลิงอสูรจำนวนกว่าสิบตัวคว้าเอาจอบเสียมแล้วเริ่มขุดผลึกประเภทต่างๆ อย่างรวดเร็ว

พวกตัวนิ่มรับหน้าที่ในการขุดร่องใต้ดิน

ส่วนพวกช้างตัวใหญ่รับผิดชอบถางป่าเพื่อสร้างทางเดินบนเขา

หนึ่งในบรรดาสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดอย่าง ‘ช้างสีทอง’ มีขนาดใหญ่ราวสี่สิบห้าสิบจ้าง พลังของมันสูงเทียมขั้นนายเหนือแท้ระดับสุดยอด นับว่าอยู่ในขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ใช้เพื่อคุ้มกันด้วยยากที่จะทะลวงผ่านไปได้

ตึง ตัง! เจ้าช้างสีทองตัวใหญ่นี้วิ่งชนเขาทันทีโดยการควบคุมของจ้าวเฟิง

“เจ้า…เจ้าเป็นนักฝึกสัตว์งั้นรึ?” เจ้าหอโครงกระดูกตะลึงค้าง มีเพียงนักฝึกสัตว์เท่านั้นจึงจะมีความสามารถในขั้นฝึกสัตว์อสูรขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ แล้วยังกำกับเหล่าสัตว์วิเศษมากมายในเวลาเดียวกันให้ทำงานต่างๆ อีก

“จ้าวเฟิงผู้นี้นับว่าฉลาดหลักแหลมนัก สามารถฝึกสัตว์อสูรมากมายให้ทำงานที่ต้องใช้แรงเหล่านี้แทนเขา” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงผู้อยู่ในวิหารสามชั้นอดเย็นสะท้านในอกมิได้

 

[1] โชคหล่นทับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version