Skip to content

King of Gods 536

King Of Gods

บทที่ 536 การทะลวงขั้นและก้าวแรกของค่ายกลหุ่นเชิดศพ

สองวันหลังจากนั้น

จ้าวเฟิงก็ปลีกตัวจากภารกิจซ่อมแซมรอยโหว่ของมิติซากปรักหักพัง

เจ้าหอโครงกระดูกรับหน้าที่กำกับการซ่อมแซมรอยโหว่ จัดเตรียมสถานที่ รวมไปถึงการสร้างค่ายกลต่างๆ อีกทั้งเจ้าแมวขโมยก็ทำหน้าที่เป็น ‘ผู้ควบคุม’ ที่ดี คอยรับผิดชอบในการสื่อสารและกำกับเจ้าพวกฝูงอสูรให้ทำงานอย่างขันแข็ง

ในขั้นล่างสุดก็คือแรงงานของเหล่าสัตว์อสูร ตั้งแต่ระดับบนลงล่าง ทั้งหน้าที่กำกับจัดแจง ตรวจตรา ไปจนถึงแรงงาน ล้วนสามัคคีสอดประสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

สิบวันจากนั้น

จำนวนแรงงานอสูรเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยกว่าตัว ส่วนมากอสูรเหล่านั้นล้วนแต่มีสติปัญญาค่อนข้างสูงส่ง

ภายใต้การวางแผนของเจ้าหอโครงกระดูก เหล่าอสูรทั้งหลายเริ่มลงมือสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดมหึมาภายในมิติซากปรักหักพังนี้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยและเป็นขั้นเป็นตอน จ้าวเฟิงเพียงต้องกำกับดูแล หลังจากทั้งหมดเป็นไปอย่างที่ต้องการแล้วเขาก็รู้สึกผ่อนคลายยิ่งขึ้น

ถึงอย่างไรเจ้าหอโครงกระดูกก็เป็นถึงหนึ่งในหัวเรือใหญ่ของลัทธิมารจันทราชาด ยามที่ลัทธิยังคงรุ่งโรจน์ เขาก็เคยดูแลจัดการสิ่งต่างๆ จำนวนทหารผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีมากกว่านี้ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

วิหารสามชั้น

ทั้งหมดนี้ล้วนแต่อยู่ในสายตาของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง นางพึงพอใจเป็นอย่างมากกับผลซึ่งเกิดขึ้นจากเหล่าข้ารับใช้ที่จ้าวเฟิงนำเข้ามาภายในมิติด้วย

แต่ทว่าจ้าวเฟิงเองก็ไม่ลืมใช้ประโยชน์จากคุณค่าที่เหลืออยู่ของเจ้าหอโครงกระดูก

เจ้าหอโครงกระดูกยังต้องหาเวลาว่างมาสร้าง ‘หุ่นเชิดศพต้องสาป’ เช่นเคย

ยังดีที่เมื่อส่งเหล่าแรงงานอสูรไปจัดการขุดนู่นนี่แล้ว ตอนนี้เขาจึงไม่ต้องคอยกังวลเรื่องทรัพยากรอีกต่อไป

ส่วนเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงจะเป็นผู้คอยตอบคำถามของเจ้าหอโครงกระดูกยามสงสัยเกี่ยวกับเรื่องราวของมิติซากปรักหักพังแห่งนี้

จนต่อมา เรื่องการซ่อมแซมรอยรั่วของมิติซากปรักหักพัง เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงจึงแนะนำไปที่เจ้าหอโครงกระดูกโดยตรงเสียเป็นส่วนใหญ่

ส่วนจ้าวเฟิง สิ่งเดียวที่เขาต้องทำนั่นคือจัดการหาแรงงานเหล่าอสูร

จนเวลาล่วงเลยมาครึ่งเดือน จำนวนของแรงงานสัตว์อสูรค่อยๆ เพิ่มขึ้นเป็นสองสามร้อยตัว ล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในขอบเขตจิตวิญญาณแท้จริงทั้งหมด แต่ว่านี่ก็ยังไม่ใช่การทุ่มเทพลังทั้งหมดที่เขามี

ด้วยเพราะในมิติซากปรักหักพังเดิมทีก็มีความเสี่ยงมากอยู่แล้ว สัตว์อสูรเหล่านี้จะค่อยๆ หายไปตามเวลาที่ผ่านไป

ในช่วงเวลานี้จ้าวเฟิงจึงเพียงต้องคอยหาแรงงานสัตว์อสูรมาเพิ่มเติมก็เท่านั้น

ในที่สุด วันนี้จ้าวเฟิงก็หาสัตว์อสูรมาจนครบห้าร้อยตัวแล้ว เขาจึงเริ่มปิดด่านฝึกตน

ภายในซากปรักหักพังสือเฉิง สภาวะไอสวรรค์ถือว่าเป็นเลิศ ทั้งจิตวิญญาณและสำนึกรู้ของจ้าวเฟิงก็นับได้ว่าแข็งแกร่ง ความเร็วในการฝึกตนจึงมากกว่าที่ทวีปบุปผาครามหลายเท่าตัว

ใช้เวลาเพียงสองเดือน การฝึกตนของจ้าวเฟิงก็สามารถทะลวงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงเรียบร้อย!

“ภายในมิติซากปรักหักพังสือเฉิงนี้ ผลของการฝึกตนไม่ธรรมดาจริงๆ หากอยู่ทวีปบุปผาครามแล้วข้าต้องการจะทะลวงผ่านทางตันนี้ น่าจะต้องใช้เวลาราวๆ หนึ่งปีเลยทีเดียว” บนใบหน้าของจ้าวเฟิงเต็มไปด้วยความปิติยินดี

การทะลวงผ่านขั้นของจ้าวเฟิงย่อมอยู่ในสายตาของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง

“วิญญาณและขอบเขตจิตวิญญาณของจ้าวเฟิงผู้นี้ฝึกตนได้ไวและรุดหน้าเหลือเกิน ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้การฝึกตนของเขายิ่งว่องไวมากกว่าเดิมยามกลับมาที่ซากปรักหักพังสือเฉิง” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงออกจะประหลาดใจ

เมื่อหันมามองจ้าวหยูเฟ่ย นางนำจ้าวเฟิงได้ไม่เท่าไหร่ก็โดนตามทันเสียแล้ว

“สถานการณ์ของจ้าวหยูเฟ่ยกลับตรงกันข้ามกับเขาเสียเหลือเกิน ฝึกตนแต่กลับพบขีดจำกัดของขอบเขตทางจิตวิญญาณ” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงส่ายหัวน้อยๆ

จ้าวหยูเฟ่ยกลมกลืนเข้ากับไอสวรรค์เป็นอย่างมาก มีคุณสมบัติการฝึกตนที่เป็นยอด ถ้าหากนางมีขอบเขตจิตวิญญาณเช่นเดียวกับจ้าวเฟิงล่ะก็ อย่างน้อยๆ ตอนนี้น่าจะไปถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดไปแล้ว

เสียงดายก็เพียงแต่ในโลกนี้ไม่มีสายเลือดที่สมบูรณ์แบบ จ้าวเฟิงเองก็เช่นกัน ขอบเขตจิตวิญญาณและการรับรู้เข้าใจล้ำหน้ากว่าคนธรรมดา แต่ว่าการปรับตัวให้เข้ากับไอสวรรค์เป็นเหมือนกับอัจฉริยะทั่วไป ไม่ได้มีอะไรโดดเด่น

“ถ้าหากเขาและหยูเฟ่ยแต่งงานร่วมเรียงเคียงหมอนแล้วฝึกวิชาคู่ คงจะพัฒนาไปด้วยกัน…” ใจของเศษซากวิญญาณสือเฉิงเกิดความคิดนี้ขึ้นมา แต่ทว่าเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ที่แสนจะธรรมดาไม่มีอะไรแอบแฝงของจ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟ่ยแล้ว นางก็ต้องถอนหายใจ

 

หลังจากทะลวงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงได้แล้ว จ้าวเฟิงยังไม่มีความจำเป็นต้องแข็งแกร่งขึ้น เขาจึงออกจากการฝึกตนในทันที

เวลานี้ เหล่าแรงงานสัตว์อสูรห้าร้อยตัวที่ใช้งานอยู่ก่อนที่เขาจะไปฝึกตนสูญสลายไปครึ่งหนึ่ง จนบัดนี้เหลืออยู่เพียงสองร้อยกว่าตัวเท่านั้น จ้าวเฟิงจึงต้องเริ่มหามาเพิ่มเติม

“นายเหนือแท้ระดับสูง? จากนายเหนือแท้ระดับต่ำมาจนถึงระดับสูง เขาใช้เวลายังไม่ถึงสองปีเลย?” หัวใจของเจ้าหอโครงกระดูกหนักอึ้ง

ถ้าหากเป็นนายเหนือแท้ระดับสูงธรรมดา เจ้าหอโครงกระดูกก็คงมองราวเป็นมดปลวก

แต่ลึกๆ แล้วเขารู้ว่าพลังนายเหนือแท้ของจ้าวเฟิงแข็งแกร่งและล้ำหน้ากว่าคนทั่วไปไม่รู้กี่เท่า

พลังฝึกตนของจ้าวเฟิง ทุกๆ ความก้าวหน้าล้วนแต่ยิ่งทำให้เจ้าหอโครงกระดูกอยากหลุดพ้นจากการควบคุมของจ้าวเฟิงมากทุกที หรือหวังว่าจะเกี่ยวพันกับเขาน้อยลงสักหน่อยก็ยังดี

และในวันนี้ จ้าวเฟิงทะลวงถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงไปแล้ว แหล่งกำเนิดจิตวิญญาณเมื่อเปรียบกับยามอดีตยิ่งสมบูรณ์พร้อม เต็มครบ พลังในทุกด้านก็พัฒนาไปมาก

ไม่กี่วันจากนั้น การไล่หาเหล่าแรงงานสัตว์อสูรมาเพิ่มเติมก็เสร็จสิ้น จ้าวเฟิงกลับมาแบกรับหน้าที่พ่อบ้านของมิติแห่งนี้อีกครั้ง เขาตรวจสอบทั่วทุกบริเวณเพื่อยืนยันว่าเจ้าหอโครงกระดูกไม่ได้ซ่อนลูกไม้อะไรไว้

“นายท่าน หลายเดือนที่เข้ามาในมิติซากปรักหักพังสือเฉิงนี้ แผนการร้อยศพลุล่วงไปแล้วกว่ายี่สิบส่วนจากร้อยส่วน” เจ้าหอโครงกระดูกรายงานสรุปเจื้อยแจ้ว

ยี่สิบในร้อย เช่นนั้นก็เท่ากับว่าสร้างหุ่นเชิดศพต้องสาปได้ยี่สิบร่าง

“ดีมาก” จ้าวเฟิงผงกศีรษะเล็กน้อย รู้สึกพึงพอใจ หลังจากเข้ามาภายในซากปรักหักพังสือเฉิงแล้วอะไรๆ ก็ดูจะว่องไวขึ้นไปหมด

“อีกทั้งสิ่งที่ต้องใช้ในการสร้างส่วนประกอบต่างๆ ของ ‘ร้อยศพต้องสาป’ ผู้อาวุโสสือเฉิงล้วนแต่จัดเตรียมไว้ให้พวกเราแล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกอธิบาย

ไม่นาน ซากปรักหักพังสือเฉิงก็ถ่ายทอดเนื้อความมาในหัวของจ้าวเฟิง จ้าวเฟิงก็จัดการคัดลอกข่าวคราวนั้นโดยใช้ดวงตาเทพเจ้า

“ค่ายกลร้อยศพต้องสาป? หุ่นเชิดศพที่ถูกสร้างโดยกรรมวิธีพิเศษ นำมาสร้างเป็นค่ายกลแล้วจะก่อให้เกิดเป็นพลังคำสาปที่ไม่อาจจับต้องได้” จ้าวเฟิงค่อยๆ ทำความเข้าใจ

เพราะว่าทรัพยากรหลักร่างศพที่เขาจะนำมาสร้างเป็น ‘กองทัพร้อยหุ่นเชิด’ ล้วนแต่มาจากศพของบรรดานายเหนือแท้ที่ ‘แดนต้องห้ามร้อยหลุมศพ’ ซึ่งมีพลังคำสาปอยู่ในนั้น เช่นนั้นหากต้องการจะสร้างค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปก็มิได้เป็นเรื่องยากเย็นมากนัก

“จำนวนของหุ่นเชิดศพยิ่งมาก พลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปก็ยิ่งแข็งกล้า ถ้าหากมีหุ่นเชิดศพของนายเหนือแท้อยู่ในค่ายกลร้อยร่าง ผู้สูงศักดิ์ล่วงล้ำเข้าไปเพียงครึ่งก้าวก็ไม่อาจจะกลับออกมาได้อีก” ในแววตาของจ้าวเฟิงมีความลิงโลดแฝงอยู่

ในตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าข้างกายของเขามีพลังรบถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด หลังจากที่เจ้าหอโครงกระดูกเข้าสู่ภายในมิติสือเฉิงแล้ว พลังในการฟื้นฟูก็รวดเร็วขึ้นกว่าก่อนมาก

ถ้าหากสามารถสร้างแผนการร้อยศพได้เรียบร้อย แล้วจัดการสร้างเป็นค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป ถึงแม้จะเป็นผู้สูงศักดิ์ในขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็นับว่ายากนักที่จะจัดการได้

เพียงชั่วพริบตา เวลาสองเดือนก็ผ่านไป ในช่วงนี้จ้าวเฟิงแบ่งเวลาเอาไปสร้างค่ายกลด้วยหุ่นเชิดศพที่มีอยู่ในมือ

ขวับ ขวับ ขวับ!

หุ่นเชิดศพต้องสาปสิบห้าร่างถูกวางไว้ตามจุดที่กำหนดไว้ของค่ายกล ในรัศมีร้อยจั้งเกิดเป็นหมอกควันสีเทาหนาแน่น แล้วกลิ่นอายของหุ่นเชิดศพที่แข็งแกร่งก็ปิดล้อมพื้นที่แห่งนั้นทันที

คมมีดวายุอัสนี!

จ้าวเฟิงเรียกพายุอัสนีสีเขียวเข้มขนาดใหญ่ในมือ แล้วฟาดฟันลงไปในกลุ่มหมอกควันสีเทาเข้มนั้นเกิดเป็นเสียงแซ่ดแซ่ด พลังที่ส่งลงไปค่อยๆ อ่อนแรงลงในกลุ่มควัน

ฟู่!

รอยแยกสีดำปรากฏบนหมอกควันสีเทาเข้มนั้นอย่างชัดเจน ควันสีดำลอยกรุ่นเบาๆ นั่นหมายความว่าการโจมตีของจ้าวเฟิงถูกดูดหายลงไป

หลังจากนั้น กลุ่มหมอกควันนั้นกระเพื่อมน้อยๆ รอยแยกก็สมานแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว

“การโจมตีของข้าครั้งนี้ถึงแม้ว่าไม่ได้ใช้พลังวายุอัสนีสีม่วงก็ตาม แต่ว่าก็มากพอจะสังหารนายเหนือแท้ระดับต่ำธรรมดาได้ ทำร้ายนายเหนือแท้ระดับสูงให้บาดเจ็บสาหัสได้” บนใบหน้าของจ้าวเฟิงมีแววปิติ จากนั้นเขาจึงเพิ่มพลังโดยผสานวายุอัสนีสีม่วงลงไป

พลั่ก ฟู่!

ในครั้งนี้ กลุ่มหมอกควันสีเทาเกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงจนเคลื่อนไหวยวบยาบ แต่ว่าความเร็วในการฟื้นฟูยังคงมั่นคงสม่ำเสมอ

“ยินดีด้วยนายท่าน ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปเบื้องต้นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว พลังเมื่อครู่มากพอที่จะสะเทือนถึงขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดเลยทีเดียว” เจ้าหอโครงกระดูกที่มองอยู่ไกลๆ ภายในแววตาเต็มไปด้วยความสับสน

นึกถึงตอนแรกสุด เขาผู้เป็นถึงเจ้าหอจันทราชาด ยามที่รุ่งโรจน์ถึงขีดสุดยังไม่กล้ามีหุ่นเชิดศพขั้นนายเหนือแท้ในมือมากมายขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องสร้างค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปเลย

หากยังเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ล่ะก็ ต้องการเพียงหุ่นเชิดศพต้องสาปในขั้นนายเหนือแท้อีกยี่สิบร่าง ก็น่าจะแข็งแกร่งมากพอสังหารผู้ที่อยู่ต่ำกว่าขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดได้

พรึ่บ!

จ้าวเฟิงโบกธงสีดำในมือเพียงหนึ่งครั้ง หุ่นเชิดศพสิบห้าร่างก็ถูกเก็บเข้าไปในประคำหมื่นวิญญาณ

จากนั้น เขาเรียก ‘หุ่นเชิดศพพิษเงาทมิฬ’ ทั้งสองร่างออกมา

ภายหลังจากที่เข้ามายังซากปรักหักพังสือเฉิง ทรัพยากรแสนจะอุดมสมบูรณ์ จ้าวเฟิงนำมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับหุ่นเชิดศพทั้งหลาย

ยามนี้ หุ่นเชิดศพพิษเงาทมิฬทั้งสองร่างมีพลังการรบเทียบเท่ากับนายเหนือแท้ระดับสูงทั่วไป เมื่อเพิ่มพิษศพน่าพรั่นพรึงแล้วแฝงตัวอยู่ในค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป พลังสังหารนั้นมากมายจนไม่อาจคาดคะเนได้

ยิ่งไปกว่านั้น ภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป พลังของหุ่นเชิดศพล้วนแต่เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน

ในวันนี้หลังจากการฝึกตน จ้าวเฟิงก็ได้ไปตรวจตรารอยโหว่และรอยร้าวต่างๆ ภายในมิติสือเฉิงตามกิจวัตรที่ทำเป็นประจำ

เหตุเพราะรอยโหว่ในมิติสือเฉิงมากมายเกินไป ดังนั้นรอยร้าวเล็กๆ ตามรายละเอียดที่ได้มาทั้งหลาย แม้แต่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงผู้เป็นเจ้าของมิตินี้ยังไม่อาจสัมผัสได้

นั่นอาจเป็นเพราะว่าเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงอยู่ในสภาวะอ่อนแอที่สุด จึงไม่สามารถควบคุมอะไรในมิตินี้ได้อีกแล้ว

“หืม?” จ้าวเฟิงเดินทางไปยังหุบเขาลี้ลับ ใช้ดวงตาเทพเจ้ามองกวาดยังค่ายกลฟื้นฟูด้านล่าง แล้วจึงพบสัญญาณความผิดปกติบางอย่าง

หุบเขาลี้ลับ

มีรอยโหว่ขนาดใหญ่จุดหนึ่งในพื้นที่นี้ เจ้าหอโครงกระดูกจึงได้เตรียมค่ายกลฟื้นฟูไว้นานแล้ว โดยทำตามวิธีการที่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงชี้แนะกับรอยโหว่ในพื้นที่ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนไอสวรรค์ในฟ้าดิน

เพียงแต่การฟื้นฟูรอยโหว่ขนาดใหญ่ต้องใช้เวลามาก ก็เหมือนกับการรักษาผู้ป่วยอาการหนัก จะหายได้เลยในชั่วครู่ยามก็ไม่อาจง่ายดายแบบนั้น

จากสถานการณ์ที่เห็นตรงหน้า รอยโหว่ที่มีขนาดใหญ่นี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการฟื้นฟูตามปกติ นับได้ว่าสำเร็จไปได้เกือบครึ่งทางแล้ว

“ไม่ใช่สิ! รอยโหว่ขนาดใหญ่เช่นนี้ ถึงแม้ว่าสร้าง ‘ค่ายกลผนึกไอสวรรค์’ แล้ว แต่ไอสวรรค์หมุนเวียนรุนแรงเกินไป พลังชีวิตก็แข็งแกร่งอย่างที่คาดไม่ถึง” ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมองพื้นที่นี้จนปรุโปร่งอย่างรวดเร็ว

ตามหลักการแล้ว รอยโหว่ในจุดที่ยังฟื้นฟูไม่เสร็จสิ้น ไอสวรรค์พลังฟ้าดินไม่น่าจะหมุนเวียนรุนแรง และพลังชีวิตไม่ควรจะแข็งแกร่งเช่นนี้

“จ้าวเฟิง…ระวัง! มีพลังภายนอกกำลังกัดกร่อนรูโหว่นั่น” เสียงของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงดังขึ้นในหัว เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินคำพูดดังกล่าวหัวใจก็เต้นรัว

วินาทีถัดมา เขาก็พบว่าไอสวรรค์ฟ้าดินในบริเวณของช่องโหว่ ระดับการหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นเท่าสองเท่า กลิ่นอายพลังชีวิตเพิ่มขึ้นทันใด

“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน ทำไมจึงไม่เคยสัมผัสได้มาก่อน?” สีหน้าของจ้าวเฟิงเคร่งเครียด

เจ้าหอโครงกระดูกเมื่อได้ยินก็ร้อนรนเอ่ยขึ้นว่า “นี่ถือว่าไม่ปกติจริงๆ รอยโหว่แห่งนี้ยังไม่ได้ซ่อมแซมจนเรียบร้อยดี ไม่น่าจะมีการหมุนเวียนของไอสวรรค์กับพลังชีวิตที่แข็งแกร่งแบบนี้” ดวงตาสีแดงในเบ้าตาของเจ้าหอโครงกระดูกสั่นระริก

คนทั้งสองไม่อาจอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้

“เพราะว่าเมื่อก่อนพลังจากภายนอกนั้นก็เพียงแค่ล่องลอยอยู่บริเวณรอยโหว่เท่านั้น ไม่ได้กัดกร่อนทำลายอะไร ในทางกลับกัน มันกลับ ‘เสริมสร้าง’ แล้วจากนั้นก็ ‘หลอมรวม’กับพื้นที่นั้น” ในน้ำเสียงของเจ้าหอโครงกระดูกเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม

ที่แท้เป็นเช่นนี้

จ้าวเฟิงเข้าใจในทันที เหตุการณ์เช่นนี้จะต้องเป็นเพราะสามสำนักใหญ่พยายามรุกล้ำเข้ามาในมิติซากปรักหักพังสือเฉิงด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง แต่ทว่ากลอุบายของทั้งสามสำนักลึกล้ำนัก พวกเขาไม่ได้เข้าโจมตีที่รอยโหว่ด้วยเพราะอาจโดนค้นพบได้โดยง่าย กลับกันพวกเขาใช้ไอสวรรค์บริสุทธิ์และพลังชีวิตค่อยๆ เสริมสร้างพื้นที่แห่งนี้

วิธีการเช่นนี้มิได้ใช้การโจมตีเลยแม้แต่น้อย แล้วยังทำให้จ้าวเฟิงและคนอื่นๆ เข้าใจว่าเป็นผลของการวางค่ายกลฟื้นฟูอีกด้วย เมื่อรอไปอีกนิด สำนักทั้งสามก็จะรุกล้ำเข้ามาในพื้นที่นี้ได้ด้วยพลังภายนอกที่ส่งมาหล่อเลี้ยงพื้นที่ดังกล่าว

แต่ละย่างก้าวของแผนการนี้ราวกับการต้มกบในน้ำอุ่น ทำให้เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงรวมไปถึงเจ้าหอโครงกระดูกค่อยๆ รู้สึกคุ้นชินจนกลายเป็นเรื่องธรรมดาไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version