บทที่ 555 ผลของการดูแคลนศัตรู
ในวินาทีความเป็นความตายของเจ้าหอโครงกระดูก จ้าวเฟิงได้เรียกใช้วิชา ‘เคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ วินาทีก่อนที่ ‘ไอมีดโลหะเวหา’ ครั้งที่สองกำลังจะฟาดฟันลงยังร่างของเจ้าหอโครงกระดูก ก็โดนพลังดวงตาที่เป็นประหนึ่งระลอกน้ำวนกึ่งโปร่งแสงดูดกลืนเข้าไป
สวบ!
นัยน์ตามองเห็นไอใบมีดสีเงินหายไปกลางอากาศ
บริเวณเขตนทีมรกต ดวงตาของพวกผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นทั้งสี่จ้องเขม็ง
การโจมตีที่รุนแรงมากพอจะปลิดชีพของเจ้าหอโครงกระดูกโดนจ้าวเฟิงจัดการให้หายไปกลางอากาศเสียเฉยๆ
ฟู่!
เจ้าหอโครงกระดูกผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอก ภายในใจยังคงมีความตกอกตกใจหลงเหลืออยู่
โชคดีที่จ้าวเฟิงยื่นมือเข้าช่วย มิฉะนั้นถึงแม้ว่าในร่างของเขามีอาวุธชั้นพิภพปกป้องร่างกาย ก็ยังยากจะหนีพ้นจากภัยครั้งนี้ได้
ในเวลาเดียวกัน เขาอดมองจ้าวเฟิงด้วยอาการสับสนว้าวุ่นไม่ได้
ในเวลานี้จ้าวเฟิงไม่อาจสูญเสียเขาไปได้ ไม่ว่าอย่างไรกำลังของเจ้าหอโครงกระดูกคนเดียวก็สามารถประมือกับผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น ลู่เทียนอี้ เย่หยานหยู และ
จงหว่านเอ๋อร์ได้
“ถ้าหากว่าจ้าวเฟิงตายไป ข้าก็ไม่มีหวังอะไรแล้ว” เจ้าหอโครงกระดูกตั้งสติ ไม่กล้าวอกแวกอีก
ในเวลาเดียวกัน เหตุการณ์ก็เกิดเปลี่ยนแปลงขึ้นฉับพลัน
ตอนที่เจ้าหอโครงกระดูกพ้นจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานนี้เอง
“แปลกเสียจริง ไม่มีพลังมิติใดแต่กลับใช้พลังที่คล้ายกับการเคลื่อนย้ายมิติได้ ความสามารถในการย้ายสิ่งของลึกล้ำนัก” คิ้วของปรมาจารย์อิ๋นคงขมวดมุ่น
ใจของเขาสั่นระรัวอย่างฉับพลัน ความรู้สึกอันตรายทะลักเข้ามา
ปรมาจารย์อิ๋นคงจับกลิ่นอายมิติเก่าแก่ที่แปลกประหลาดได้
“เคลื่อนย้าย…กลางอากาศ”
ระลอกพลังดวงตากึ่งโปร่งแสงมีน้ำวนหมุนวนภายใน ก่อนที่จะไปปรากฏอยู่กลางอากาศเบื้องหน้าปรมาจารย์อิ๋นคง
ฟู่ วูบ!
‘ไอมีดโลหะเวหา’ ที่หายไปปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน พลังทั้งหมดตรงดิ่งไปฟาดฟันปรมาจารย์อิ๋นคง
“อ๊าก…” ปรมาจารย์อิ๋นคงร้องโหยหวน เลือดบนร่างสาดกระจายลงบนพื้น
เกิด…เกิดเรื่องอะไรขึ้น!
ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นกับพวกลู่เทียนอี้หน้าถอดสีด้วยความหวาดกลัว พวกเขาแทบไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ผลัวะ!
โลกภายนอก บนยอดเขาเทียมฟ้าเกิดระลอกความไม่สงบอย่างรวดเร็ว
“ไอมีดโลหะเวหาที่หายไปนั่น ทำไมเมื่อปรากฏอีกครั้งถึงฟันบนร่างของปรมาจารย์อิ๋นคงได้”
“นี่…นี่มันเคล็ดวิชาอะไรกัน” ขนาดผู้สูงศักดิ์เหมือนกันบางส่วนยังมีสีหน้าตื่นตระหนก
สามราชันปราณเทวะใบหน้าถอดสี แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เหล่าคนอดย้อนคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ได้
อย่างแรก ‘ไอมีดโลหะเวหา’ รอบที่สองตรงดิ่งไปที่ร่างของเจ้าหอโครงกระดูก เห็นชัดว่าต้องการสังหารฝ่ายตรงข้ามให้ถึงแก่ชีวิต
แต่ว่าในเวลาสำคัญนั้น จ้าวเฟิงได้ใช้พลัง ‘เคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ นำเอา ‘ไอมีดโลหะเวหา’ หายวับไป
พูดให้ชัดเจนอีกหน่อยคือ ไอใบมีดนั้นย้ายเข้าไปยังอีกมิติหนึ่ง นั้นก็คือมิติดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิง
แล้วหลังจากนั้นก็เป็นจุดเปลี่ยน
‘ไอมีดโลหะเวหา’ ที่หายไปย้อนกลับมาอีกครั้ง แล้วตรงดิ่งไปโจมตีปรมาจารย์
อิ๋นคงอย่างรวดเร็วและเหนือความคาดหมาย
ในเวลานั้นปรมารจารย์อิ๋นคงกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับหลักการ ‘การเคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ ของจ้าวเฟิง อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงระดับนี้
สำหรับการชะล่าใจศัตรูในครั้งนี้ ปรมาจารย์อิ๋นคงได้รับบทเรียนที่แสนสาหัสนัก
ผลัวะ! พลั่ก!
ร่างของปรมาจารย์อิ๋นคงร่วงลงบนพื้น บาดแผลตั้งแต่ทรวงอกยาวไปถึงบริเวณขาลึกจนเห็นกระดูก ขาข้างหนึ่งของเขาขาดออกจากร่าง
“อ๊าก” ปรมาจารย์อิ๋นคงกัดฟันทนความเจ็บ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและแค้นเคือง
ถ้าหากว่าเขาไม่ประมาทศัตรู เตรียมพร้อมตั้งรับอย่างรอบคอบ ด้วยพรสวรรค์ทางสายเลือดของเขากับการสัมผัสปฏิกิริยาของมิติ เมื่อจ้าวเฟิงใช้วิชาเคลื่อนย้ายกลางอากาศ อย่างน้อยมีโอกาสถึงห้าสิบส่วนที่เขาจะหลบได้พ้น
เสียดายก็แค่ตั้งแต่เริ่มจนจบ เขามองสถานการณ์อย่างผู้ที่มั่นใจว่าจะได้ชัยชนะ
“เหอะเหอะ นับว่าเป็นเกียรติของท่านยิ่งนักที่ได้ทดสอบพลัง ‘เคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ ของข้าเป็นครั้งแรก” จ้าวเฟิงเอ่ยยิ้มๆ
ในตอนแรกสุด เขาเข้าใจในพลังของวิชา ‘เคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ เพียงแค่การย้าย ‘สิ่งของ’ เท่านั้น
แต่ว่าต่อมา จ้าวเฟิงก็พบว่าสิ่งของที่ถูกดูดซึมเข้าไปภายในมิติดวงตาซ้ายยังสามารถ ‘ย้าย’ ออกมาได้อีก
ดังนั้นเคล็ดวิชาเคลื่อนย้ายกลางอากาศนี้จึงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นภายหลังจัดการเรื่อง ‘เถาวัลย์มารทมิฬ’ เสร็จสิ้น
จ้าวเฟิงสำเร็จในวิชา ‘เคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ ก่อนที่กองทัพของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นจะลักลอบเข้ามาเสียอีก
“เจ้าหนุ่ม ข้าดูแคลนเจ้ามากไป” นัยน์ตาทั้งคู่ของปรมาจารย์อิ๋นคงแดงก่ำ แต่กลับฝืนกล้ำกลืนความเกรี้ยวกราดและจิตสังหารที่ไร้ขีดสุด ไม่ได้ผลีผลามลงมือปลิดชีพในทันที
ข้อแรก หากจะให้บรรลุเป้าหมาย เขายังต้องจับเป็นจ้าวเฟิง
ข้อสอง ร่างของปรมาจารย์อิ๋นคงบาดเจ็บสาหัสแล้วยังต้องเสียขาไปข้างหนึ่ง
พรึ่บ! ปรมาจารย์อิ๋นคงแบกขาข้างที่ขาด ก้าวเพียงก้าวเดียวก็เข้าไปอยู่ภายในเขตนทีมรกต
“ปรมาจารย์อิ๋นคง” ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นรีบร้อนเข้ามาประคองเขาแล้วทำการรักษา
“ปรมาจารย์อิ๋นคงผู้นี้ช่างหลักแหลม…” สีหน้าของจ้าวเฟิงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ที่จริงเขาเองก็กำลังพิจารณา ‘ไอมีดโลหะเวหา’ ซึ่งเป็นท่าไม้ตายของปรมาจารย์อิ๋นคง
ไอใบมีดนั้นคือพลังประเภทหนึ่งของอัจฉริยะสายเลือดด้านมิติที่หลอมรวมและฉีกแยกอากาศได้
ด้วยเหตุนี้ การป้องกันธรรมดาจึงต้านทานพลังของไอมีดโลหะเวหาได้ไม่มากนัก ทั้งยังยากจะหลบหลีกด้วยเช่นกัน
เสียดายก็เพียงแต่จ้าวเฟิงไม่มีพลังดวงตาประเภทมิติ ต่อให้เข้าใจปรุโปร่งในหลักการของมัน ก็ไม่อาจจะลอกเลียนแบบได้
แต่ไม่ใช่ว่าจ้าวเฟิงจะไม่ได้อะไรจากสิ่งนี้
ใบมีดโลหะเวหานี้กับวิชาเคลื่อนย้ายกลางอากาศของเขา ล้วนแต่มีลักษณะเฉพาะของศาสตร์มิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้หลักการมิติทำให้เกิดเรื่อง ‘เหนือความคาดหมาย’ ขึ้น
“สายเลือดดวงตาของเจ้าเด็กนี่แปลกประหลาดเสียจริง ขนาดการโจมตีแบบมิติยังเคลื่อนย้ายได้” ปรมาจารย์อิ๋นคงนั่งขัดสมาธิ ในใจตระหนกสงสัย เวลาดังกล่าวผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นก็ยังคงจดจ่อกับการรักษาบาดแผลและต่อขาให้กับเขา
จ้าวเฟิงจะปล่อยให้พวกเขาบรรลุจุดหมายได้อย่างไร
“มรดกอาวุธชั้นพิภพ หอกจักรพรรดิเหมันต์!”
จ้าวเฟิงค่อยๆ ยื่นมือออกมา รวบรวมพลังสายเลือด เงาของหอกเหมันต์สีฟ้าในมือกลายเป็นรูปร่างอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่เรียกใช้รูปร่างที่แท้จริงของ ‘หอกจักรพรรดิเหมันต์’ ร่วมกับค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป จ้าวเฟิงก็มั่นใจว่าสามารถทำลายเขตนทีมรกตเพื่อขัดขวางการรักษาบาดแผลของปรมาจารย์อิ๋นคงได้
“คุกโลหะเวหา” นัยน์ตาสีเงินลึกล้ำของปรมาจารย์อิ๋นคงสาดพลังดวงตามิติที่ไร้รูปร่างออกมา แล้วเล็งเป้าหมายไปที่จ้าวเฟิง
หืม?
ร่างของจ้าวเฟิงจู่ๆ ก็แข็งทื่อ ประหนึ่งโดนอากาศจากทั้งสี่ทิศคุมขังไว้ในปราการ ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนตกลงในบ่อโคลนที่ยากจะหลุดพ้นได้
วูบ!
เงาหอกเหมันต์สีฟ้าที่ปรากฏขึ้นในมือของเขาแตกกระจายไปอย่างรวดเร็ว
“เป็นวิชาดวงตามิติที่ล้ำลึกยิ่งนัก ตรงดิ่งไปกักขังจ้าวเฟิงไว้ในพื้นที่เล็กๆ นั่น” เจ้าหอโครงกระดูกพูดไม่ออก
“ทำลาย…” จ้าวเฟิงดิ้นรนสุดกำลัง แต่กลับพบว่าเพียงแค่จะพูดจาก็เห็นได้ชัดว่ายากเย็นเป็นอย่างมาก
“เจ้าหนุ่ม ไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะดิ้นรน คุกมิติของข้าหลอมรวมใช้อากาศผืนนั้น ทำให้มันกลายเป็นกับดักที่แข็งกล้า สิ่งมีชีวิตภายในจะถูกกักขังไว้จนสูญเสียความสามารถในการควบคุมตนเอง” ปรมาจารย์อิ๋งยิ้มเยาะเย้ย
ด้วยพลังของผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น ใช้เวลาเพียงแค่สิบช่วงลมหายใจก็สามารถต่อขาที่ขาดของเขาได้
ถึงแม้ว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัส ยากที่จะรักษาให้หายได้ในเวลาสั้นๆ แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องรบทั้งที่ขาขาด
แต่ว่า
“…สิ่งมีชีวิตภายในจะถูกกักขังไว้จนสูญเสียความสามารถในการควบคุมตนเอง” ปรมาจารย์อิ๋นคงเพิ่งจะเอ่ยจบ
เมี้ยว เมี้ยว
แมวขโมยสีเทาเงินขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่งปรากฏบนบ่าของจ้าวเฟิง แล้วยังโยนเหรียญทองแดงโบราณเล่นอย่างสบายอารมณ์
“อะ…อะไร” รอยยิ้มบนใบหน้าปรมาจารย์อิ๋นคงค้างแข็งไปชั่วขณะหนึ่ง
นี่เหมือนลากเขาออกมาตบหน้า เพราะเขาเพิ่งคุยโวโอ้อวดไปว่าบริเวณที่โดน ‘คุกโลหะเวหา’ ปกคลุม สิ่งมีชีวิตในนั้นจะสูญเสียอิสระในการควบคุมตนเอง แต่ว่าตอนนี้เจ้าแมวตัวนี้กลับกระโดดโลดเต้นร่าเริงเสียอย่างนั้น
“แมวขโมยตัวน้อย?”
จ้าวเฟิงรู้สึกแปลกใจอยู่หลายส่วน ร่างกายของเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ด้วยโดนพลังมิติที่ไร้ซึ่งขีดจำกัดขัดขวางและพันธนาการไว้
ทว่าเจ้าแมวขโมยตัวน้อยกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไร
แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง เจ้าแมวขโมยก็มีความสามารถข้ามมิติ ซ้ำยังเข้าออกมิติเก็บของตามอำเภอใจมานานแล้ว
“ลอบสังหารและหลบหลีกงั้นรึ?” รูม่านตาของปรมาจารย์อิ๋นคงหดเล็กลง อดจะมองหยั่งเชิงเจ้าแมวขโมยตัวน้อยไม่ได้
วูบ!
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยหายไปจากจุดเดิมที่มันเคยอยู่ ในอากาศหลงเหลือไว้เพียงแต่เส้นสีเทาเงิน
โครม สวบ!
เส้นสีเทาเงินกลุ่มนั้นเสมือนแทงทะลุผ่าน ‘คุกโลหะเวหา’ จนเป็นรูเล็กๆ
จ้าวเฟิงจึงสัมผัสได้ว่าแรงกดดันเบาบางลงในฉับพลัน
เมี้ยว เมี้ยว
เจ้าแมวขโมยตัวน้อยลาก ‘กริชลึกลับ’ สีเข้มดุจเงาชิ้นหนึ่ง ยามที่มันขยับไปมาก็จะเกิดเป็นเงามืดที่มีกลิ่นอายลึกล้ำเกินจะคาดเดาขึ้น
“ปีกวายุอัสนี”
เบื้องหลังของจ้าวเฟิงปรากฏปีกวายุอัสนีสีเขียวม่วง เมื่อโบกสะบัดอย่างรวดเร็ว ลำแสงสีม่วงผุดขึ้นหมุนวนรอบๆ ก่อนจะปล่อยกลิ่นอายทำลายล้างออกมา
พรึ่บ สวบ!
ปีกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงขยับเต็มแรง ทำลายท่าไม้ตายควบคุมอย่าง ‘คุกโลหะเวหา’ ที่ปรมาจารย์อิ๋นคงภูมิใจหนักหนาลง
อย่างแรก แมวขโมยตัวน้อยทำให้เกิดรูโหว่เล็กๆ บนพื้นผิวของ ‘คุกโลหะเวหา’
อย่างที่สอง เดิมที ‘ปีกวายุอัสนี’ ที่สมบูรณ์ของจ้าวเฟิงมีพลังสับเปลี่ยนเคลื่อนย้าย อีกทั้งยังมีพลังทำลายล้างของวายุอัสนีสีม่วงแฝงอยู่ด้วย
“ทำลาย!”
ปีกวายุอัสนีของจ้าวเฟิงสาดพลังสายฟ้าลงบนฟากฟ้าเหนือ ‘เขตนทีมรกต’ เขาเรียกเงาหอกจักรพรรดิเหมันต์มาไว้ในมือ ก่อนจะโจมตีไปที่เขตระลอกน้ำแวววาว
จ้าวเฟิงมิได้ใช้รูปลักษณ์ที่แท้จริงของหอกจักรพรรดิเหมันต์เพื่อหยุดการเข้าขัดขวางของปรมาจารย์อิ๋นคง
ถึงแม้จะทำเช่นนี้ ด้วยพลังฝึกตนของเขา แค่พลังสายเลือดดวงตาพัฒนาไปอีกระดับ เงาหอกจักรพรรดิเหมันต์ระเบิดพลังเหมันต์บรรพกาล ก็รุนแรงมากพอจะต่อกรผู้สูงศักดิ์ได้แล้ว
พลังเสวียนอ้าวเหมันต์ของหอกจักรพรรดิเหมันต์ทำให้ระลอกน้ำเป็นประกายของเขตนทีมรกตค่อยๆ แข็งตัวขึ้นทีละน้อย
พรึ่บ!
เจ้าหอโครงกระดูกโบกสะบัดธงสีดำ กระตุ้นพลังค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป มืออีกข้างหนึ่งเรียกเงากระดูกขนาดใหญ่ที่มีแสงสีม่วงดำแข็งกล้าหมุนวนรอบๆ ออกมา
‘เขตนทีมรกต’ ที่โดนแช่แข็งจนแตกร้าวแล้วจึงพังทลายในที่สุด
ฮู่!
พลังของค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาปปกคลุมกัดกร่อนปรมาจารย์อิ๋นคงและพวกผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้น
พลังคำสาปที่ไร้รูปร่างก็แทรกซึมเข้าไปในร่างตามบาดแผลของปรมาจารย์อิ๋นคงด้วย
เดิมทีปรมาจารย์อิ๋นคงบาดเจ็บหนักมากอยู่แล้ว ยิ่งถูกพลังคำสาปที่น่าสะพรึงกับปราณศพเข้ากัดกร่อนอีก เหงื่อเย็นๆ จึงผุดขึ้นตามหน้าผาก ทนไม่ไหวจนต้องร้องโอดครวญ
“คลื่นมีดมิติ!” สีหน้าของปรมาจารย์อิ๋นคงขรึมลงแล้ววาดมือข้างหนึ่งอย่างรุนแรง
วิ้ง!
เกิดเป็นคลื่นใบมีดสีเงินไร้เสียงไร้กลิ่นขึ้นกลางอากาศ ไอใบมีดแต่ละอันทะลวงผ่านอากาศเป็นรัศมีหลายจั้ง โดยเล็งเป้าตรงไปที่จ้าวเฟิง
“นี่คือกระบวนท่าที่ใช้สังหารยักษ์ศิลาในคราวที่แล้ว” ใจจ้าวเฟิงพลันหนักอึ้งเมื่อสัมผัสได้ถึงความอันตราย
ในครั้งนี้ปรมาจารย์อิ๋นคงไม่ได้ใช้ไอมีดโลหะเวหาเพียงอย่างเดียว
“วิชา ‘เคลื่อนย้ายกลางอากาศ’ ของเจ้าหนุ่มผู้นี้จัดการสิ่งของชิ้นเล็กๆ ได้ทีละชิ้นเท่านั้น แต่การโจมตีในวงกว้างเช่นนี้ของข้า หากเขาอยากจะเคลื่อนย้ายกลางอากาศคงยากกว่าหลายเท่าตัว” แววตาปรมาจารย์อิ๋นคงสว่างวาบ
อาณาบริเวณของคลื่นใบมีดค่อนข้างกว้าง วงที่ใหญ่ที่สุดน่าจะครอบคลุมรัศมีสิบจั้งได้
ยักษ์ศิลาที่มีพลังป้องกันแข็งแกร่งกว่าจ้าวเฟิงหลายเท่ายังพินาศไปเพราะกระบวนท่านี้ นับประสาอะไรกับคนธรรมดาอย่างฝ่ายนั้นกันเล่า
“กระบวนท่านี้สูญพลังไปมากนัก” ปรมาจารย์อิ๋นคงรู้สึกว่าพลังสายเลือดของตนเองลดลงอย่างรวดเร็ว
“เคลื่อนย้ายการโจมตีในวงกว้างกลางอากาศไม่ได้”
จ้าวเฟิงที่เผชิญกับภัยอันตรายในระดับนี้รีบกระตุ้นพลังสายเลือด เรียกใช้เสวียนอ้าวเหมันต์ของหอกจักรพรรดิเหมันต์
“จิตวิญญาณเทพวารี!”
ทั้งร่างของจ้าวเฟิงสาดชั้นลำแสงดุจมหาสมุทรลึกล้ำออกมา ปรากฏเป็นภาพแปลกประหลาดที่บิดเบี้ยวทับซ้อนกัน
วิ้ง!
ลำแสงวารีสีน้ำเงินเข้มได้หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายเขา ทั้งร่างพลิ้วไหวประดุจของเหลว ระลอกน้ำกระเพื่อมเป็นวงคลื่น
คลื่นมีดมิติเหล่านั้นเหมือนทะลวงผ่านร่าง ‘มนุษย์วารี’ ราวกับโยนก้อนหินลงในทะเลลึก ไม่เกิดผลอันใดทั้งสิ้น
“กระบวนท่านี้…..” ผู้อาวุโสสุ่ยอวิ้นที่อยู่ไม่ไกลตกใจจนพูดไม่ออก