บทที่ 559 ห้วงฝันบรรพกาล
ทะเลความว่างเปล่า บนยอดเขาเทียมฟ้า
เงาฝูงชนของทั้งสามสำนักยืนแข็งค้างอยู่เป็นเวลานาน ยากที่จะสงบใจลงได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาสำคัญช่วงสุดท้าย พลังมรณะของ ‘คำสั่งล่าสังหาร’ ยังไม่อาจพรากวิญญาณของจ้าวเฟิงออกจากร่างได้
“สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงมีที่มาจากไหนกันแน่ มันสามารถต่อต้าน ‘เนตรมรณะ’ ได้ด้วย” ยอดฝีมือของสามสำนักยังเต็มไปด้วยความสงสัย
หลังจากที่ประลองพัวพันกับจ้าวเฟิงไม่หยุด คนทั้งหลายจึงค้นพบว่า พลังที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวคนหนุ่มผู้นี้ราวกับว่าไม่มีขอบเขตและจุดสิ้นสุดใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงตาซ้ายลึกลับข้างนั้นซึ่งมีปริศนาที่ไม่สามารถแก้ได้
ฝูงชนยิ่งสงสัยมากขึ้นอีก สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงจะใช่ทายาทของสายเลือดเนตรเทพเจ้าประเภทใดรึไม่?
ราชันในขอบเขตปราณเทวะทั้งสามล้วนแต่คิดไม่ตก
จากเหตุผลทั้งหมดที่ปรมาจารย์อิ๋นคงเคยสรุปไว้ในครั้งก่อน สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงไม่ใช่หนึ่งในมรดกแปดเนตรเทพเจ้าใดๆ
“สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิง บางทีอาจจะเป็นการแปรผันของมรดกเนตรเทพเจ้าประเภทใดประเภทหนึ่ง มิฉะนั้นไม่น่าจะขัดขืนพลังที่ทะยานผ่านฟ้าของ ‘เนตรมรณะ’ ได้”
“มีอีกความน่าจะเป็นหนึ่ง ถ้าหากมรดกสายเลือดของจ้าวเฟิงเกี่ยวข้องกับรายชื่อหมื่นเผ่าพันธุ์โบราณ เขาสามารถต่อกรกับผู้สืบทอดมรดกเนตรมรณะก็ไม่นับว่าแปลกอะไร ในเมื่อพลังของเนตรมรณะข้ามผ่านอากาศมา ร่างจริงของเนตรนั้นต่างกันมากราวฟ้ากับดิน” ราชันปราณเทวะทั้งสามถกเถียงกันอย่างลับๆ
คนรุ่นหลังระดับนายเหนือแท้คนหนึ่งต้านทานพลังดวงตาที่แหวกอากาศมาของ ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ ได้ ช่างน่ากลัวจับขั้วหัวใจอย่างมาก ต่อให้เป็นราชันปราณเทวะธรรมดาก็ไม่แน่ว่าจะรับมือการไล่ล่าของ ‘คำสั่งล่าสังหาร’ ได้
วิ้ง~
ทันใดนั้น ‘ภาพเงา’ ที่ปรากฏบนยอดเขาเทียมฟ้าค่อยๆ อ่อนแสงลงกลายเป็นภาพสั่นไหวเลือนราง ภาพเงาที่แสดงเหตุการณ์ภายในซากปรักหักพังสือเฉิงมองเห็นไม่ชัดเจนอีกแล้ว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” ในพื้นที่นั้นมีความอลหม่านเกิดขึ้น ผู้คนจ้องไปที่ปรมาจารย์ศาสตร์ค่ายกลเป็นตาเดียวกัน
“เพราะเหตุผลไม่ปกติบางอย่าง การเชื่อมต่อของค่ายกลย้ายมิติกำลังจะถูกตัดขาดแล้ว ประกอบที่กับรอยโหว่รอยร้าวของซากปรักหักพังสือเฉิงถูกซ่อมแซมจนเสร็จ” ปรมาจารย์ค่ายกลท่านหนึ่งเอ่ยอธิบาย
จากนั้นไม่นาน ภาพเงาที่ปรากฏบนยอดเขาเทียมฟ้าก็มืดสนิท
เหล่าคนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
จากวินาทีนี้เป็นต้นไป สามสำนักไม่อาจรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในซากปรักหักพังสือเฉิงอีกแล้ว ความน่าจะเป็นที่จะทะลวงเข้าไปในมิติสือเฉิงลดลงจนต่ำสุด
“เหอะเหอะ” ผู้อาวุโสในขั้นขอบเขตแก่นก่อกำเนิดหัวเราะ “ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถยึดครอง ‘ซากปรักหักพังสือเฉิง’ ได้ในขณะนี้ แต่ว่ามีจุดหนึ่งที่ยืนยันได้แน่นอนคือ จ้าวเฟิงนั่นจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย”
จ้าวเฟิงจะต้องตายอย่างแน่นอน
เมื่อฝูงชนได้ยินดังนั้นก็พลันลิงโลด คนบางส่วนยังไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ว่าราชันปราณเทวะทั้งสามผงกศีรษะแสดงทีท่าเห็นด้วย
“ตามตำนานว่าไว้ว่า ถ้าหาก ‘ตราสั่งมรณะ’ ไม่อาจสังหารเป้าหมายให้ตายได้ ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ ซึ่งเป็นนายของมันจะลงมือด้วยตนเอง พันกว่าปีก่อน จักรพรรดิองค์หนึ่งก็โดนจักรพรรดิแห่งความตายไล่ล่าสังหารจนตาย” เฉิงเยว่เซียนกูเอ่ยยิ้มๆ
ในสถานการณ์ปกติทั่วไป ตราสั่งมรณะสามารถสังหารยอดฝีมือจำนวนมาก ขนาดที่ว่าราชันปราณเทวะบางส่วนยังยากจะหนีรอดไปได้
แน่นอนว่าถ้าหาก ‘ตราสั่งมรณะ’ ไม่อาจสังหารเป้าหมายได้ พลังมรณะก็จะยังคงอยู่ต่อไป จนถึงวันนี้ ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครโดนไล่ล่าจากจักรพรรดิแห่งความตายแล้วยังมีชีวิตอยู่รอด
“ใช่แล้ว ในเมื่อเป็นถึงบุคคลในขั้นจักรพรรดิ แล้วยังมี ‘เนตรมรณะ’ ในครอบครองอีก เราสามสำนักในตอนนี้ยังไม่มีจักพรรดิในขอบเขตปราณเทวะเลยแม้แต่คนเดียว” ราชันปราณเทวะอีกสองคนก็เห็นด้วย
จักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะมีพลังยิ่งใหญ่เกินกว่าราชันธรรมดา
ปรมาจารย์อิ๋นคงผู้นั้นมี ‘คำสั่งล่าสังหาร’ เพราะว่าปู่ของเขาเคยช่วยเหลือจักรพรรดิแห่งความตาย จึงทำให้ฝ่ายหลังติดค้างหนี้บุญคุณ
“แน่นอนว่าจักรพรรดิแห่งความตายอยู่ภายใน ‘ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ที่ถูกปกครองอีกแห่ง ห่างไกลจาก ‘ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ของเราทางนี้และดินแดนหมู่เกาะเทียนหลูอย่างหาที่เปรียบไม่ได้”
“ดูแล้วจ้าวเฟิงคนนั้นน่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน”
บนยอดเขาเทียมฟ้า มีเสียงถอนหายใจ เงาผู้คนยิ่งน้อยลงทุกที
ซากปรักหักพังสือเฉิง หุบเขาลี้ลับ
จ้าวเฟิงยืนอยู่บนพื้นดินจุดเดิม เรือนผมสีน้ำเงินโบกสะบัด ภายในดวงตาซ้ายยังหลงเหลือกลิ่นอายดั้งเดิมจากยุคบรรพกาลที่ทำให้ภูติผีเทพเซียนล่าถอยไปหมด
“เอ๊ะ! ทางเชื่อมต่อระหว่างสามสำนักและซากปรักหักพังสือเฉิงโดนทำลายไปแล้ว หรือเป็นเพราะผลจากการปะทะกันของดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงกับเนตรมรณะ?” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงรู้สึกประหลาดใจ
หลังจากนี้เป็นต้นไป หากทั้งสามสำนักต้องการจะทะลวงเข้าไปในมิติสือเฉิงอีกครั้งก็เป็นเรื่องยากมากขึ้นแล้ว
ในเวลาเดียวกัน เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงกับเจ้าหอโครงกระดูกค้นพบการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติบนร่างของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงยืนอยู่บนพื้น ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท ไม่ขยับเขยื้อนเป็นเวลานาน
แต่กลิ่นอายพลังจากยุคโบราณที่ทะลักออกมาจากดวงตาซ้ายของเขาก็ยังทำให้ทั้งมิติซากปรักหักพังสั่นไหว
ในมิติดวงตาซ้าย ระลอกน้ำพลังดวงตาสีน้ำเงินเข้มราวมหาสมุทร ค่อยๆ ขยายรัศมีเป็นวงกว้างราวยี่สิบห้ายี่สิบหกจั้งหลังจากถูกกระตุ้นก่อนหน้านี้
เนื่องจากพลังดวงตาถูกใช้หมดไปเป็นจำนวนมากในครั้งก่อน ถึงแม้ทะเลสาบพลังดวงตาจะขยายออกเป็นบริเวณกว้าง แต่ว่าสายธารที่ทะลักออกมาก็เหลือเพียงเบาบาง ใจกลางของทะเลสาบพลังดวงตา น้ำวนลึกลับนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเล็กน้อย
จ๋อม จ๋อม~
กลิ่นอายบรรพกาลเบาบางทะลักออกมาจากใจกลางของน้ำวนลึกลับ น้ำวนที่ไม่ได้มีรูปร่างอะไรกลับมีตัวตนดำรงอยู่จริง
จ้าวเฟิงค่อยๆ นำสตินึกคิดของเขาดิ่งลงไปภายในน้ำวนอย่างระมัดระวัง
สวบ!
จิตใต้สำนึกของจ้าวเฟิงฉับพลันก็มืดสนิทลง
ในวินาทีถัดมา ทั้งตัวเขาประหนึ่งเข้าไปอยู่ในสภาวะคล้ายความฝัน
ในความฝัน
จ้าวเฟิงยืนอยู่บนแผ่นดินเก่าแก่เวิ้งว้าง กลิ่นอายทั้งหมดที่อบอวลในที่แห่งนี้ช่างเก่าแก่เหลือเกิน เพียงแค่ยืนในจุดนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงแรงกดมหาศาลที่ถาโถมเข้ามา ทั้งร่างกายและดวงวิญญาณล้วนแต่ได้รับพลังหนักหนาที่ไม่อาจจะคาดเดาได้
แน่นอนว่ากลิ่นอายฟ้าดินในที่แห่งนี้ไม่อาจเอา ‘ไอสวรรค์ฟ้าดิน’ ในโลกแห่งความเป็นจริงมาเปรียบเทียบได้ ถึงขนาดที่ว่าทุกฝุ่นละอองในอากาศคล้ายมีพลังลึกล้ำไร้ขอบเขตแฝงอยู่
หนึ่งช่วงลมหายใจ…สองช่วงลมหายใจ…สามช่วงลมหายใจ
อ๊าก!
จ้าวเฟิงทนต่อไม่ไหวจนกระอักเลือดออกมา
ยามอยู่ในห้วงความฝันบรรพกาลแห่งนี้ เขารู้สึกว่าตนไม่สามารถอยู่รอดได้หลายช่วงลมหายใจ อีกทั้งความรู้สึกบางอย่างบอกกับเขา นี่เป็นเพราะการดำรงอยู่ของเนตรเทพเจ้าช่วยขจัดการสะท้อนกลับจากผืนแผ่นดินแห่งนี้ เสมือนเป็นเกราะคุ้มกันอย่างหนึ่ง ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้พลังของเขาแข็งแกร่งกว่านี้สิบเท่า ร่างก็อาจจะระเบิดจนสูญสลายได้
“ทนไม่ไหวแล้ว…” เบื้องหน้าของเขามืดสนิท แล้วจึงหายวับออกจากแผ่นดินบรรพกาลราวห้วงฝันนั้น
พรึ่บ!
สตินึกคิดของจ้าวเฟิงย้อนกลับมาในโลกของความเป็นจริงพร้อมสีหน้าอ่อนล้า
มุมปากของเขามีคราบเลือดที่ยังอุ่นไหลลงเป็นทาง
“อะ…อะไรกัน!”
จ้าวเฟิงหน้าถอดสี เอื้อมมือแตะคราบเลือดที่บริเวณมุมปาก หรือเป็นเพราะดินแดนห้วงฝันเก่าแก่เมื่อครู่ไม่ใช่โลกมายางั้นหรือ?
“ที่สุดแล้ว แผ่นดินบรรพกาลใน ‘ห้วงความฝัน’ มันดำรงอยู่ในรูปแบบใดกันแน่? ข้าอยู่ในที่แห่งนั้นแค่สามช่วงลมหายใจยังทนไม่ได้เลย” ใจจ้าวเฟิงสั่นระรัวอย่างรุนแรง
ถ้าหากว่าแผ่นดินบรรพกาลแห่งนั้นมีตัวตนอยู่จริง ก็จะต้องเป็นมิติระดับสูงหาใดเปรียบเลยทีเดียว
จ้าวเฟิงถึงขนาดสงสัยว่าแผ่นดินบรรพกาลในมิติห้วงฝันกับดินแดนเก่าไกลโพ้นมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่?
ในเวลาอันสั้นก็ทำให้จ้าวเฟิงอ่อนแอลงมากจนไม่กล้าเข้าไปในน้ำวนลึกลับนั่นอีกครั้ง ถ้าหากว่าแผ่นดินบรรพกาลดำรงอยู่จริงๆ สิ่งมีชีวิตภายในนั้นอยากจะสังหารจ้าวเฟิงไม่ใช่ว่าง่ายดายเพียงกระดิกปลายนิ้วเท่านั้นหรือ?
จะอย่างไร บาดแผลที่จ้าวเฟิงได้รับจากภายในมิตินั้นกับในมิติความเป็นจริงก็สอดคล้องกันอยู่แล้ว?
นี่ช่างยากเกินจะจินตนาการถึง!
สำหรับแผ่นดินบรรพกาลในความฝัน จ้าวเฟิงเรียกมันว่า ‘ห้วงฝันบรรพกาล’
ห้วงฝันบรรพกาลเป็น ‘ของสิ่งใหม่’ ที่ปรากฏขึ้นภายในมิติดวงตาเทพเจ้าหลังโดนไล่ล่าจาก ‘เนตรมรณะ’
“รอคราวหลังมีเวลาว่างค่อยสำรวจ ‘ห้วงฝันบรรพกาล’ แล้วกัน” จ้าวเฟิงรวบรวมสติ
สิ่งที่เร่งด่วนคือจ้าวเฟิงยังต้องจัดการแก้ไขปัญหาในร่างของเขาด้วย
‘ตราสั่งมรณะ’ นั้นล้มเหลวในการพรากวิญญาณออกจากร่างของจ้าวเฟิง มันทำตามคำสั่งไม่สำเร็จ แต่กลับไม่ ‘ยอมวางมือ’
ทุกครั้งที่จ้าวเฟิงปิดดวงตาสงบจิตใจ จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังดวงตาที่ไร้รูปร่างจาก ‘เนตรมรณะ’ ภายในดวงวิญญาณ มันเลือนรางประหนึ่งวิญญาณชั่วร้ายที่เกาะติดอยู่
สายเลือดดวงตาของจ้าวเฟิงกับวิญญาณได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน ขอเพียงแค่เขากระตุ้นสายเลือดดวงตา ก็จะทำให้พลังของ ‘เนตรมรณะ’ แข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จ้าวเฟิงคิดหาวิธีต่างๆ มากมาย แต่ไม่สามารถทลายกลิ่นอายพลังนั้นให้หายไปได้
ขั้นพลังดวงตาของเขาไม่อาจเทียบกับ ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ ได้เลย คนทั้งสอง หนึ่งเป็นขั้นนายเหนือแท้ อีกคนเป็นจักรพรรดิในขอบเขตปราณเทวะ เดิมทีก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว ไม่อาจจะเปรียบเทียบกันได้ เหนือสามสวรรค์ในขอบเขตจิตวิญญาณที่แท้จริงขึ้นไปมีขอบเขตแก่นก่อกำเนิด ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดแบ่งออกเป็น ขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับต่ำและขอบเขตแก่นก่อกำเนิดระดับสูง เหนือขอบเขตแก่นก่อกำเนิดก็ยังมีขอบเขตปราณเทวะ ขอบเขตปราณเทวะแบ่งเป็นราชันธรรมดากับจักรพรรดิสูงสุด
จากตรงนี้จะเห็นได้เลยว่า จ้าวเฟิงและจักรพรรดิแห่งความตายห่างกันอยู่หลายขั้นทีเดียว
“จ้าวเฟิง! ทางที่ดีเจ้าอย่าได้กระตุ้นใช้พลังสายเลือดดวงตาเลย ทุกครั้งที่เจ้าใช้มันจะกระตุ้นให้ปฏิกิริยาที่มีกับจักรพรรดิแห่งความตายแข็งกล้ามากยิ่งขึ้น” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยเตือน
ในใจจ้าวเฟิงหนักอึ้ง หน้านิ่วคิ้วขมวด ด้วยระดับขั้นของเขายังไม่สามารถทะลวงเข้าไปในกลิ่นอายพลังที่ใจกลางดวงวิญญาณได้
“ผู้อาวุโสสือเฉิง มีวิธีใดบ้างหรือไม่?” จ้าวเฟิงทำได้มากที่สุดก็เพียงแค่หันไปขอความช่วยเหลือจากเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง ไม่ว่าอย่างไร เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงผู้นี้ยามรุ่งโรจน์ก็เป็นขอบเขตเทวาเร้นลับที่ยากจะคาดเดาพลังได้
“ข้าเป็นแค่ก้อนพลังของเศษเสี้ยวจิตวิญญาณ ขนาดพลังหนึ่งส่วนในหมื่นส่วนยามรุ่งโรจน์ก็ยังไม่มีเลย ข้าทำได้เพียงลองช่วยเจ้าปิดผนึกกลิ่นอายพลังมรณะนี้” เศษเสี้ยววิญาณสือเฉิงยิ้มอย่างขมขื่น
นางในตอนนี้เป็นประดุจตะเกียงที่ไร้น้ำมัน กำลังจะแตกสลาย ถ้าหากมีพลังมากพอคงไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากคนนอกอย่างจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงนั่งขัดสมาธิ ไม่นานนัก พลังของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงที่กระจัดกระจายในอากาศก็พุ่งตรงดิ่งเข้าภายในจิตวิญญาณของตน
สองสามช่วงลมหายใจถัดมา
เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงทอดถอนใจ พลังเศษเสี้ยววิญญาณโดนบางอย่างสะท้อนกลับมา
“จ้าวเฟิง ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่สามารถปิดผนึกกลิ่นอายพลังนี้ได้ อย่างน้อยๆ ต้องให้ขั้นราชันปราณเทวะที่ปรุโปร่งในศาสตร์แห่งวิญญาณเป็นผู้ลงมือ” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยอย่างอ่อนล้า
“ไม่มีวิธีใดแล้วจริงหรือ?” ใจจ้าวเฟิงพลันหนักอึ้ง
ตามที่เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงบอก ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ จะมาตามกลิ่นอายพลังมรณะ ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องมาเยือนด้วยตนเอง
การที่ต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าจาก ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ จนถึงวันนี้ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีผู้ใดโชคดีรอดมาได้
“ข้ายังพอมีวิชาลับที่น่าจะช่วยลดการเชื่อมโยงของเจ้ากับพลังกลิ่นอายมรณะได้” เศษเสี้ยววิญญาณครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานนัก พลังเศษเสี้ยววิญญาณที่เลือนรางริบหรี่ก็หมุนวนรอบดวงวิญญาณของจ้าวเฟิง
จ้าวเฟิงสัมผัสได้เพียงแค่ว่ารอบดวงวิญญาณของตนมีกลิ่นอายลึกลับแฝงอยู่มากมาย
“จ้าวเฟิง พลังของข้าทำได้มากที่สุดเท่านี้ ช่วยปิดผนึกพลังมรณะให้เจ้าได้อย่างน้อยก็เจ็ดส่วน”
น้ำเสียงของเศษเสี้ยววิญญาณดูเหน็ดเหนื่อย
“ขอบคุณผู้อาวุโสมาก” จ้าวเฟิงปิดดวงตาลง แล้วจึงพบว่าความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ออกมาจากดวงตาเทพเจ้าลดลงเล็กน้อย
เขาจัดแจงกระตุ้นพลังสายเลือดดวงตาอีกครั้งเพื่อปิดกั้นดวงตาเทพเจ้า ในระยะเวลาสั้นๆ ดวงตาซ้ายของจ้าวเฟิงก็ค่อยๆ กลับมาเป็นสีดำอย่างชัดเจน
“หืม? ผลลัพธ์จากการปิดกั้นสายเลือดดวงตาสูงถึงเก้าส่วนขึ้นไปเชียว” จ้าวเฟิงมีทีท่าประหลาดใจอย่างเด่นชัด
แน่นอนว่าในเวลานี้ จ้าวเฟิงแน่ใจแล้วว่าตนเองอยู่ในมิติสือเฉิงไม่ได้อีกแล้ว