Skip to content

King of Gods 560

King Of Gods

บทที่ 560 จากลา

ในวันเดียวกัน จ้าวเฟิงบอกจ้าวหยูเฟ่ยและเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงว่าตนต้องการจะออกจากมิติซากปรักหักพัง

วิหารซากปรักหักพังสามชั้น

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงถอนหายใจน้อยๆ นางเสียดายแต่ไม่ได้ประหลาดใจ ทั้งยังไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้

ที่จริงแล้วจ้าวเฟิงไม่อาจอยู่ในซากปรักหักพังสือเฉิงได้อีกต่อไป

บนร่างเขายังมีพลังมรณะของ ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ หลงเหลืออยู่ ไม่ว่าร่างของเขาจะอยู่ที่ใด ก็ดึงดูดความตายและภัยพิบัติไปที่แห่งนั้นได้

ถ้าหากจ้าวเฟิงอยู่ที่เศษซากปรักหักพังต่อ นอกจากจะไม่สามารถปกป้องที่นี่ได้ อาจจะนำเอาภยันอันตรายใหญ่หลวงกว่าเดิมมายังที่แห่งนี้ด้วย

สามสำนักที่โลกภายนอกเป็นอันตรายกับซากปรักหักพังสือเฉิงมากพอแล้ว หากว่ามีจักพรรดิสูงสุดเพิ่มมาอีกคน ผลร้ายที่ตามมาคงยากจะคาดคิดได้

แน่นอนว่าจ้าวเฟิงย่อมไม่ต้องการเห็นสถานการณ์แบบนั้น

“จ้าวเฟิง ถ้าหากสายเลือดดวงตาของเจ้าเป็น ‘เนตรเทพเจ้า’ ประเภทหนึ่งจริงๆ เช่นนั้นก็จะเหมือนกับแปดเนตรเทพเจ้า คือมีเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว”

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยพึมพำ

“เนตรเทพเจ้า? เอกลักษณ์?”

จ้าวเฟิงนึกขึ้นได้ทันทีว่าปราชญ์ลิ่วอูเคยทำนายเรื่องเกี่ยวกับตน

ปราชญ์ลิ่วอูเคยคาดการณ์ไว้ว่า ดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงมีโอกาสจะสูงส่งเทียบเท่ากับ ‘เปดเนตรเทพเจ้า’

“ ‘เนตรเทพเจ้า’ ทุกประเภทล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังการล่มสลายในยุคบรรพกาล เนตรเทพเจ้าทั้งแปดแต่ละประเภทมีเพียงหนึ่งเดียวในโลกเท่านั้น ซึ่งคือเนตรของพวกบรรพบุรุษ สายเลือดดวงตาประเภทอื่นที่เหลือ ถึงจะเป็นเลิศที่สุดก็มีสายเลือดเนตรเทพเจ้าเพียงน้อยนิดเท่านั้น” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงอธิบาย

“นั่นหมายความว่าแค่ ‘เนตรมรณะ’ ยังดำรงอยู่ สายเลือดดวงตาจำพวกมรณะอื่นๆ ก็ไม่อาจกลายเป็นเนตรเทพเจ้าประเภทเดียวกันได้งั้นหรือ” จ้าวเฟิงเหมือนจะสัมผัสถึงบางสิ่งบางอย่างได้

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเหมือนเอ่ยเตือนอะไรบางอย่างกับตน

“ไม่ผิด แปดเนตรเทพเจ้าเกี่ยวพันกับกฎเกณฑ์ดั้งเดิมของโลก เนตรทุกชนิดจะมีได้เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้นในช่วงเวลาเดียวกัน” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงพยักหน้า

“ไม่มีหนทางไหนที่จะฝึกจนกลายเป็นเนตรเทพเจ้าได้หรือ?” จ้าวเฟิงรู้สึกคาดไม่ถึง

“ไม่ได้!” เศษเสี้ยววิญญาณส่ายศีรษะ “สายเลือดดวงตาธรรมดา ต่อให้ฝึกตนอีกเท่าไหร่ ก็ไม่อาจฝึกจนบรรลุเป็นเนตรเทพเจ้าได้”

เงียบไปครู่หนึ่ง เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงก็เอ่ยสำทับอย่างมีนัยอีกว่า

“ว่ากันว่าหากต้องการเนตรเทพเจ้า มีเพียงวิธีการเดียวคือสังหารผู้ครอบครองเนตร รับตำแหน่งจากเขา หรือไม่ก็แย่งชิงเนตรเทพเจ้ามาตรงๆ”

แย่งชิงเนตรเทพเจ้า! ใจจ้าวเฟิงพลันสั่นระรัวเมื่อเข้าใจความหมายทั้งหมดของเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง

สามารถพูดได้ว่า เพียงแค่ ‘จักรพรรดิแห่งความตาย’ ช่วงชิงเอาดวงตาเทพเจ้าของจ้าวเฟิงไปได้ ก็จะกลายเป็นผู้ครอบครองดวงตานั้น

 

“ต้องเตือนอีกสักหน่อย กลิ่นอายพลังมรณะบนตัวเจ้า ถึงแม้ว่าจะปิดผนึกไปกว่าเก้าส่วนแล้วก็ตาม แต่ว่าพลังของจักรพรรดิแห่งความตายก็ยังคงรับรู้ได้ถึงบริเวณที่เจ้าอยู่ เพียงแต่ไม่สามารถระบุแน่ชัด” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยปาก

“ผู้น้อยเข้าใจ” ถึงแม้ว่าจ้าวเฟิงจะผนึกกลิ่นอายของพลังมรณะไปแล้วกว่าเก้าส่วน แต่ว่าความรู้สึกอันตรายก็ยังไม่หายไปอย่างแท้จริง

เพราะว่าจ้าวเฟิงทำได้เพียงแค่ลดทอนพลังของจักรพรรดิแห่งความตาย แต่ไม่ได้ปิดผนึกให้หายไปจนหมด

“จ้าวเฟิง เจ้ายังพอมีเวลาเตรียมพร้อมระยะหนึ่ง ทรัพยากรในมิติสือเฉิง เจ้าเอาออกไปได้บางส่วนตามที่ต้องการ จักรพรรดิแห่งความตายนั่นคงไม่สามารถตามมาถึงที่นี่ได้ในเร็วๆ นี้ เขาอยู่ไกลจากที่มากนัก ไกลกว่าทวีปบุปผาครามไม่รู้กี่เท่า”

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยยิ้มๆ

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมาก” จ้าวเฟิงรู้สึกซาบซึ้งใจ

สองครั้งที่เขาเข้ามาภายในมิติสือเฉิง เขาล้วนได้รับความช่วยเหลือในเรื่องทรัพยากรจำนวนมาก

สามวันหลังจากนั้น

จิตวิญญาณ ดวงวิญญาณ และพลังดวงตาของเขาล้วนแต่ฟื้นฟูกลับไปสู่สภาวะสูงสุด

ต่อมา

จ้าวเฟิงและเจ้าหอโครงกระดูกเริ่มเก็บรวบรวมทรัพยากรล้ำค่าบางส่วนภายในมิติ ซึ่งแน่นอนว่าทรัพยากรส่วนมากนำมาเพื่อสร้าง ‘แผนการร้อยศพ’ ให้สำเร็จ

 

 

“จากนี้เป็นต้นไป ข้าไม่อาจใช้สายเลือดดวงตาได้ง่ายๆ แล้ว มิฉะนั้นจะเป็นการเพิ่มปฏิกิริยาตอบสนองกับจักรพรรดิแห่งความตายให้ยิ่งแข็งกล้าขึ้น ‘ค่ายกลหุ่นเชิดศพต้องสาป’ นี้เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมากของพลังข้า” จ้าวเฟิงจึงให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก

ครึ่งเดือนให้หลัง

หลังจากที่ตระเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว

ภายในแหวนเหล็กโบราณของจ้าวเฟิงวางทรัพยากรไว้เป็นกองพะเนิน บางส่วนเพื่อจัดเตรียมแผนการร้อยศพ ยังมีบางส่วนเป็นทรัพยากรหายากที่ต่อไปในภายภาคหน้าอาจจะใช้ได้

แล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมา เจ้าหอโครงกระดูกยังสร้างหุ่นเชิดศพต้องสาปบางส่วนได้สำเร็จ

ยามนี้แผนการร้อยศพลุล่วงไปหกสิบส่วนแล้ว  เจ้าหอโครงกระดูกก็ฟื้นคืนสู่สภาพยามรุ่งโรจน์ การสร้างหุ่นเชิดศพจึงเร็วขึ้นมาก  แต่ว่าเงื่อนไขที่จ้าวเฟิงมีต่อแผนการร้อยศพก็เพิ่มมากขึ้น

หุ่นเชิดศพต้องสาปภายในค่ายกลหุ่นเชิดศพ ทุกร่างจะต้องพัฒนาให้ถึงขั้นนายเหนือแท้ระดับสูงสุด

จากการที่ใช้ทรัพยากรชั้นเลิศภายในซากปรักหักพังจำนวนมาก หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬสองร่างก็มีพลังใกล้เคียงกับขั้นครึ่งก้าวสู่ขอบเขตแก่นก่อกำเนิด

จุดมุ่งหมายของจ้าวเฟิงคือทำให้หุ่นเชิดศพพิษเงินทมิฬสองร่างนี้พัฒนาไปถึงขั้นผู้สูงศักดิ์!

“ทรัพยากรตระเตรียมไว้เพียงพอแล้ว จุดหมายก็ใกล้เข้ามาอีกก้าวหนึ่ง”

ในที่สุด วันนี้จ้าวเฟิงก็ออกจากการปิดด่านฝึกตนอย่างสมบูรณ์

ชั้นสามของวิหารสือเฉิง

จ้าวเฟิงมาพบกับเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงและจ้าวหยูเฟ่ยอีกครั้ง

“ผู้อาวุโสสือเฉิง ทั้งหมดได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ข้าต้องออกไปจากที่นี่แล้ว” จ้าวเฟิงสูดหายใจลึก

นัยน์ตาของจ้าวหยูเฟ่ยคลอน้ำตาจนพร่าเลือน รู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย

ยามที่จ้าวเฟิงเป็น ‘ผู้ดูแล’ ในซากปรักหักพังสือเฉิง นางรู้สึกปีติยินดี จิตใจสงบสุขทุกวัน

“จ้าวเฟิง เจ้าจะไปที่ใด?” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยถาม

จ้าวเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ภายในใจของเขามีคำตอบอยู่แล้ว

อย่างแรก เขากลับไปที่ทวีปบุปผาครามไม่ได้อย่างแน่นอน อย่างน้อยๆ หากยังหลบหนีจากภยันอันตรายไม่พ้นก็กลับไปไม่ได้

อีกอย่าง ภายในใจเขามีปมเกี่ยวกับ ‘หลิวฉินซิน’ ผู้เป็นคู่หมั้นหมายของเขา

ในความทรงจำ สตรีผู้นั้นเงียบขรึม นิ่งสงบสูงส่ง งดงามดุจเทพเซียนในภาพวาด ทุกรอยยิ้มของนางปรากฏขึ้นในหัวของเขา

“ขอบังอาจถามผู้อาวุโสสือเฉิง ท่านจะพอจะรู้จัก ‘มรดกเซียนพิณสวรรค์’ หรือไม่?” จ้าวเฟิงเปิดปากถาม

มรดกเซียนพิณสวรรค์?

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงย้อนระลึกอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยตอบ

“ข้าจำได้ว่า ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของชางไห่ ภายในเขตปกครองของ ‘ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ฝูเมิ่ง’ มีสำนักสองดาวชื่อ ‘ตำหนักเซียนพิณสวรรค์’ มรดกของสำนักนี้ค่อนข้างแปลกพิสดาร”

ตำหนักเซียนพิณสวรรค์? แปลกพิสดาร?

เมื่อจ้าวเฟิงได้ยินดังนั้นแววตาจึงปรากฏความยินดี

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงไม่เสียทีที่มีความสามารถลึกล้ำสะเทือนจักรวาล ความรู้ประสบการณ์ช่างมากมายนัก

จ้าวเฟิงมีความรู้สึกบางอย่างว่ามรดกเซียนพิณสวรรค์กับตำหนักเซียนพิณสวรรค์จะต้องเกี่ยวข้องกันแน่

“แต่ว่านั่นเป็นความทรงจำเมื่อหมื่นปีก่อน เหตุการณ์ในตอนนี้ข้ายากจะคาดเดาได้” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงกล่าวเสริม

“ผู้อาวุโส ท่านพอจะส่งข้าไปยังพื้นที่ใกล้ๆ กับตำหนักเซียนพิณสวรรค์ได้หรือไม่” จ้าวเฟิงเอ่ยขอ

การที่เขาออกจากซากปรักหักพังสือเฉิง หนึ่งเป็นเพราะว่าเริ่มหนีเอาชีวิตรอด สองคืออยากไปหาข่าวคราวของหลิวฉินซินที่โลกต่างแดน

“ตำหนักเซียนพิณสวรรค์อยู่ห่างจากที่นี่มากจนเกินไป ข้าทำได้เพียงพยายามส่งเจ้าออกไปไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยอย่างขมขื่น

วันสองวันจากนั้น

เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเริ่มตระเตรียมทรัพยากรผลึกหินต่างๆ ภายในมิติ ที่ช่วยลดการสิ้นเปลืองพลังของนางในการส่งจ้าวเฟิง

สองวันต่อมา

การตระเตรียมในด้านการส่งก็พร้อมสรรพแล้ว

“จ้าวเฟิง พลังเศษเสี้ยววิญญาณของข้านานวันยิ่งลดน้อยลง ข้าทำได้เพียงส่งเจ้าไปยังเขตชายแดนของ ‘ดินแดนหมู่เกาะเทียนหลู’ ” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยปากขอโทษ

จ้าวเฟิงประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

ในครั้งก่อนเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงยังสามารถส่งเขาไปยังทวีปบุปผาครามที่อยู่ใกล้ๆ ‘ดินแดนหมู่เกาะกู่ชิง’

แต่การส่งในครั้งนี้ห่างจากตอนนั้นหลายปี พลังเศษเสี้ยววิญญาณของนางถดถอยลงไปอีกขั้น ถึงขนาดที่ว่าไม่สามารถส่งจ้าวเฟิงไปยังนอกดินแดนหมู่เกาะเทียนหลูได้

“ต้องลำบากผู้อาวุโสแล้ว” ถึงจะเป็นเช่นนั้น จ้าวเฟิงก็รู้สึกพอใจแล้ว

ก่อนที่จะแยกจากกัน

“พี่จ้าวเฟิง ท่านจะไปตามหามรดกเซียนพิณสวรรค์นั่นทำไมกันหรือ? แล้วเมื่อไหร่จึงจะกลับมา?”

ขอบตาของจ้าวหยูเฟยแดงระเรื่อ รู้สึกใจหายที่อีกฝ่ายจะจากไป

จ้าวเฟิงไม่ได้ปกปิดอะไร เขาเล่าถึงสาเหตุที่ต้องตามหา ‘มรดกเซียนพิณสวรรค์’ โดยย่ออีกครั้งหนึ่ง

“หลิวฉินซิน? ตามหาคู่หมั้น…ของท่านงั้นหรือ?”

จ้าวหยูเฟ่ยยืนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ประดุจได้ยินข่าวร้ายอย่างฉับพลัน

วิ้ง~

ประตูมายาสีม่วงสุกใสปรากฏขึ้นกลางวิหารสามชั้น

“ไว้เจอกันวันหลัง” เพียงก้าวเดียวจ้าวเฟิงก็เข้าไปในประตูสีม่วงเจิดจ้า

คืนก่อนที่จะจากลา จ้าวเฟิงพบว่าจ้าวหยูเฟ่ยยืนนิ่งอึ้งอยู่ที่เดิม ท่าทีโศกเศร้าเสียใจผิดไปจากเดิมเป็นอย่างมาก

ภาพนั้นทำให้จิตใจเขาสั่นไหว  รู้สึกเจ็บปวดเกินจะทน

วินาทีที่ก้าวเข้าไปภายในประตูสีม่วง จ้าวเฟิงก็พลันหายวับไป

“หยูเฟ่ย! หยูเฟ่ย!” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงรีบร้องเรียก

ณ วิหารสามชั้น จ้าวหยูเฟ่ยยืนนิ่งอยู่นานราวกับวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง หยาดน้ำตาไหลรินบนผิวแก้มซีดเผือด

“เพราะ…เพราะอะไร?” น้ำเสียงของจ้าวหยูเฟ่ยสั่นเครืออย่างเจ็บปวดรวดร้าว

มือขาวนวลเนียนจับตรงบริเวณหัวใจ เรือนร่างแบบบางสั่นสะท้าน ความผิดหวังและความเศร้าโศกไม่รู้เลยว่ามาจากที่ใด

แม้ไม่ใช่ความเจ็บปวดแบบโดนฉีกกระชากหัวใจ แต่มันคงอยู่ยาวนานไม่หายไปไหน ประหนึ่งฝนตกลงกร่อนแผ่นหิน หลายวสันตฤดูผ่านไป ร่องรอยก็ยังตราตรึงอยู่เช่นเดิม

นับดูแล้วเป็นเวลากว่าหกเจ็ดปีที่จ้าวเฟิงและจ้าวหยูเฟยออกจากตระกูลจ้าวแห่งเมืองประกายอรุณ

“หยูเฟ่ย ปล่อยวางสักหน่อยเถิด ข้ามองว่า ‘หลิวฉินซิน’ คู่หมั้นของจ้าวเฟิงคนนี้ เก้าสิบเก้าส่วนน่าจะเก็บตัวอยู่ภายในมรดก” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยปลอบ

เสียงสะอื้นของจ้าวหยูเฟ่ยเบาลงเล็กน้อย

หากคิดให้ละเอียดตามหลักการทั่วไป ‘หลิวฉินซิน’ ไม่มีข่าวคราวอะไรมานานแล้ว เป็นไปได้มากกว่าครึ่งว่าไม่น่ามีชีวิตรอด

ขนาดปราชญ์ลิ่วอูยังเคยกล่าวว่าโชคดีมีน้อยเหลือเกิน

“จ้าวเฟิงไปตามหา ‘หลิวฉินซิน’ น่าจะทำตามลิขิตฟ้า เขาคงไม่อยากปล่อยให้เกิดเป็นบาดแผลในใจ เจ้าและเขาเป็นเพื่อนเล่นกันมาแต่เด็ก ไม่ได้ข้ามเส้นความสัมพันธ์บางๆ นั้น จึงไม่อาจนำหลิวฉินซินมาเปรียบกันได้” เศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิงเอ่ยยิ้มๆ ยังคงปลอบต่อไป

ใบหน้าของจ้าวหยูเฟ่ยเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ความเศร้าโศกเสียใจค่อยๆ คลายลง

“ถ้าหากว่าหลิวฉินซินตายแล้วจะดีเพียงใด….” ความคิดนี้ผุดขึ้น ขนาดตัวนางเองยังรู้สึกละอาย

ในเวลาเดียวกัน ณ เขตแดนของดินแดนหมู่เกาะเทียนหลู

ในครรลองสายตา พื้นที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาเต็มไปด้วยทะเลหมอกสีเทาที่เวิ้งว้างและลึกลับ

“ที่นี่คือทะเลความว่างเปล่า?” จ้าวเฟิงมองไปรอบตัวก็ไม่เห็นจุดสิ้นสุด

ทะเลความว่างเปล่าเป็นพื้นที่ว่างนอกดินแดนหมู่เกาะ ระดับของสิ่งของต่างจากที่ทวีปมาก

ยามอยู่ท่ามกลางทะเลความว่างเปล่า จ้าวเฟิงรู้สึกว่าร่างกายเบาบางไร้น้ำหนัก ถึงไม่มีเจตนาจะบิน แต่ก็ล่องลอยอยู่ในนั้นประหนึ่งขนนก

แรงดึงดูดและแรงต้านของอากาศต่ำกว่าที่ทวีปมาก

จ้าวเฟิงคิดว่าหากตนเองบินที่นี่จะเร็วกว่าบนทวีปสิบเท่า หรืออาจจะถึงสิบกว่าเท่า

“จุดหมายการเดินทางในครั้งนี้ของข้าคือชางไห่ เขตปกครองอีกแห่งของ ‘ดินแดนจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ”

ในหัวของจ้าวเฟิงปรากฏภาพแผนที่ซึ่งได้มาจากเศษเสี้ยววิญญาณสือเฉิง

แต่ว่าในเวลานี้ ใจจ้าวเฟิงเต้นระรัวเมื่อสัมผัสได้ถึงปฏิกิริยาตอบสนองที่แปลกแต่คุ้นเคย ซึ่งมาพร้อมความรู้สึกไม่ปลอดภัย อีกทั้งการตอบสนองนี้ไม่ได้มาจากจักรพรรดิแห่งความตาย แต่มาจากปัจจัยอื่น

จ้าวเฟิงหน้าเปลี่ยนสี เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าตนมองข้ามเรื่องหนึ่งไปเสียแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version